ในวันนี้เราได้มีโอกาสทดสอบรถยนต์ Kia เป็นครั้งแรก กับโมเดล Cerato Koup ซึ่งถูกเปิดตัวไปในช่วงงาน Big Motor Sale 2014 เมื่อเดือน สค. ที่ผ่านมานี้ และล่าสุดเพิ่งส่งมอบรถคันแรกให้กับลูกค้าไปเมื่อไม่นานมานี้ ก่อนอื่น ผู้เขียนจะขอเกริ่นถึงแบรนด์ Kia กันสักเล็กน้อยก่อนเข้าเรื่องที่ตัวรถคันนี้
พูดถึงรถยนต์แบรนด์ Kia แบรนด์รถเกาหลีใต้ที่ใหญ่ที่สุดเป็นลำดับที่ 2 โดยว่ากันตามในประเทศไทยแบรนด์นี้อาจจะยังไม่เป็นที่นิยมนัก ซึ่งยังไม่เหมือนกับ Hyundai ซึ่งเป็นแบรนด์พี่น้องสายเลือดกิมจิ และเป็นแบรนด์รถที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ แต่ทว่า Kia นั้นได้เติบโตในแบรนด์โลกขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้รับรางวัล Interbrand 2014 ในลำดับที่ 74 ขยับขึ้นมา 10 ลำดับจากปี 2013 ที่อยู่ในลำดับที่ 83 และมีแนวโน้มจะก้าวกระโดดต่อไปเรื่อยๆ จากการเป็นผู้สนับสนุนในรายการต่างๆ อย่าง Fifa World Cup แต่นั่นเองหลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าที่จริงแล้ว Hyundai ถือได้ว่าเป็นเจ้าของ Kia เพราะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Kia Motors นั่นก็คือ Hyundai Motors เพราะฉะนั้นไม่น่าแปลกใจที่เราจะเห็นเทคโนโลยี ต่างๆ เหมือนกันในหลายๆ ด้าน
ขอกลับมาที่รถ Kia Cerato Koup คันนี้อีกครั้ง หากถามถึงชื่อ Cerato หลายคนอาจจะไม่ค่อยได้ยินชื่อนี้ เพราะส่วนใหญ่น่าจะคุ้นหูกับชื่อ Forte มากกว่า ที่จริงแล้วเจ้า Cerato Koup นี้มีชื่อเรียกหลากหลาย ตามแต่ละพื้นที่ โดยตลาด US จะใช้ชื่อ Forte Koup และเกาหลี ชื่อ K3 Koup สำหรับในบ้านเรา Kia Cerato Koup รถคูเป้สุดหล่อคันนี้ได้ให้ออปชั่นครบครัน ในแบบที่รถ Compact หลายคันไม่มี ทั้งฟังก์ชั่น Flex Steer (แบบเดียวกับ Hyundai Elantra Sport) และ ช่องแอร์ตอนหลัง เป็นต้น
รูปลักษณ์ภายนอก Kia Cerato Koup แค่ชื่อก็บอกแล้วว่าเป็นรถ คูเป้ 2 ประตู โดยโมเดลรุ่น Cerato ถือว่าอยู่ในกลุ่ม C-Segment ซึ่งมีมิติ ยาวxกว้างxสูง = 4,530x1,780x1,420 มม. มีระยะฐานล้อ 2,700 มม. จากมิติดังกล่าว เรียกได้ว่าไซส์อยู่ในระดับเดียวกับรถ Compact ที่ขายในบ้านเราหลากหลายคัน
Cerato Koup มีดีไซน์โดดเด่น ด้วยรูปลักษณ์เหมือนลิ่มหากมองทางด้านข้าง ซึ่งหากมองจากมุมด้านข้างจะเห็นได้ว่าเป็นรถที่มีระยะจากด้านหลังประตูไปจนถึงท้ายรถที่ยาว กว่ารถคูเป้ทั่วไป และรถคันนี้มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน (cd) เพียง 0.27 เท่านั้น
ไฟหน้าโปรเจ็คเตอร์ HID (มาพร้อมระบบเปิดไฟหน้าอัตโนมัติ) พร้อมไฟหรี่ และไฟ DRL แบบ LED ไฟท้าย และไฟเบรกดวงที่ 3 ก็เป็นแบบ LED (อยู่ใต้เสาอากาศแบบ Shark Fin) ที่กระจกมองข้างมีไฟเลี้ยว LED และไฟ Pocket Light ปลายท่อไอเสียโครเมียมออกด้านขวา และมีดิฟฟิวเซอร์ท้าย พร้อมสปอยเลอร์ทรง Duck Tail สวมล้ออัลลอยขอบ 17” ลวดลายดูคล้าย Advan RS สี Gun Metallic (ดูสวยลงตัวไม่ต้องไปเปลี่ยนแม็กให้เปลืองเงินเพิ่ม) หุ้มยางไซส์ 215/45/17 Bridgestone Potenza RE002
เมื่อเดินพกกุญแจระบบ Keyless เข้ามาใกล้ที่ประตูรถ ไฟ Pocket Light จะสว่างขึ้น และสามารถกดปุ่มที่มือจับประตูเพื่อปลดล๊อกได้ทันที เมื่อเปิดประตู จะพบประตูเป็นแบบ Frameless Door (ประตูไร้ขอบ) ให้ Look แบบรถสปอร์ตอย่างแท้จริง เข้ามาพบกับห้องโดยสารภายใน ใช้วัสดุเบาะหนังทรงสปอร์ตสีดำ ตัดขอบแดงเพิ่มความหรู มีที่คาดเข็มขัด มีที่เลื่อนปรับระดับได้ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน ถึงแม้ภายนอกจะเป็นรถยนต์ 2 ประตู ซึ่งโดยส่วนใหญ่ พื้นที่โดยสารตอนหลังเรียกได้ว่า แทบจะนั่งไม่ได้จริง แต่ไม่ใช่กับ Cerato Koup คันนี้ เนื่องจากภายใน Cockpit ห้องโดยสาร ถือว่ามีพื้นที่กว้างขวาง เกินรูปลักษณ์ ทั้งด้านหน้าที่นั่งสบาย และทางด้านหลังที่นั่งได้จริง 3 คน โดยยังมีพื้นที่ Leg Room อยู่ในระดับรถ Compact ทั่วๆไป ส่วนออปชั่นภายใน แม้จะไม่ได้ให้ออปชั่นแบบหรู แต่ก็ถือว่ามีมาให้ครบในแบบรถยนต์ Compact ทั่วไป (มากกว่ารถในคลาสเดียวกัน ในอีกหลายรุ่น) เริ่มตั้งแต่ พวงมาลัยหนัง 3 ก้าน ที่มีปุ่มปรับเครื่องเสียง, ควบคุมความเร็ว และปุ่มปรับ Flexsteer ปุ่มควบคุมจอ MID ด้านหลังมี Paddle Shift ปุ่ม Engine Start มีปุ่มเซนเซอร์ถอยจอด อยู่ตรงตำแหน่งเกียร์ แม้เครื่องเสียงจะเป็นวิทยุเครื่องเล่น CD MP3 แต่ก็รองรับ AUX และ USB และมีช่องจ่ายไฟให้ 2 ตำแหน่ง นอกจากนั้นลิ้นชัก ยังเป็นช่องเก็บของรักษาความเย็นอีกด้วย ช่องวางแก้วก็มีให้มากมายหลายตำแหน่ง ได้แก่ เบาะหลังทั้ง 2 ฝั่งประตู ที่เท้าแขน ที่นั่งตอนหลัง คอนโซลกลาง และแผงประตูทั้ง 2 ข้าง และสิ่งที่ไม่คาดคิด คือแอร์ตอนหลังที่ให้มาด้วย พร้อมสัมภาระท้ายความจุ 433 ลิตร
ต้องเรียกได้ว่า Kia Cerato Koup เป็นรถคูเป้ ที่สามารถพาครอบครัวไปไหนมาไหนได้ ไม่ใช่เพียงแค่สวีทกัน 2:2
เครื่องยนต์ Nu 2.0 ลิตร หัวฉีด MPI พร้อมวาล์วแปรผันคู่ Dual CVVT 4 สูบ DOHC ความจุ 1,999cc รองรับน้ำมัน E20 ให้กำลัง 161 แรงม้า@6,500rpm และ แรงบิด 194Nm@4,800rpm ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 Speed ลงสู่ล้อคู่หน้า เคลมตัวเลข 0-100 กม./ชม. ใน 8.95 วินาที
ในด้านการขับขี่ใช้งานนั้น หากเคยสัมผัสกับรถยนต์ Hyundai Elantra Sport ใหม่มาก่อน จะพบว่ามันให้ความรู้สึกที่ใกล้เคียง ไม่หนีกันนัก มันให้ฟีลลิ่ง การขับขี่ที่เหมือนกับรถยนต์ Compact 4 ประตู เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ทั่วไป พละกำลังในการเร่งแซงใช้งานในเมืองเพียงพอ แม้คันเร่งไฟฟ้า อาจจะดูหน่วงไปเล็กน้อย เมื่อกดคันเร่งมิด รอบเครื่องจะถูกลากขึ้นไปที่ราว 6,500rpm ก่อนจะตัดขึ้นเกียร์ใหม่ พร้อมเสียงเครื่องยนต์ที่เข้ามาในห้องโดยสารให้ได้ยินกันพอสมควร การทำความเร็วในการออกตัวช่วงต้น และการเร่งแซงช่วงกลางยังทำได้หายห่วง รวมถึงการเร่งที่ความเร็วเดินทางระดับ 120 กม./ชม. ก็ยังทำได้ดีเช่นกัน
สำหรับการถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์ 6 Speed AT ให้การตอบสนองที่ค่อนข้างเร้าใจ มีกระชากนิดๆ ตามสไตล์เกียร์ Torque Converter ให้ความอรรถรสแบบสปอร์ต แต่หาก Shift Gear เอง จะพบว่า ยังตอบสนองช้าไป ในหลายจังหวะที่ต้องการ Shift Down เพื่อเร่งแซง ใช้กดคันเร่ง Kick Down น่าจะง่ายสะดวกกว่า และ การลดเกียร์ เพื่อ Engine Brake ที่เกียร์ยังดูตอบสนองช้าไป จึงอาจทำให้เสียจังหวะบ้าง ซึ่งอาจต้องกะระยะในการเบรกให้ดี
สำหรับตัวเลขสมรรถนะ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่เราทดสอบได้อยู่ที่ 11 วินาที และ ¼ ไมล์ ที่ระดับ 17.8 วินาที ซึ่งดูแล้วตัวเลขนั้นออกจะผิดคาด ไปพอสมควร ซึ่งอาจเป็นผลจากสภาพผิวถนน และลม ในวันที่ทดสอบ เพราะตัวเลขที่ได้ช้ากว่า Hyundai Elantra ตัวเก่าที่ใช้เครื่อง 1.8 ซึ่งผู้เขียนได้เคยทดสอบไปเมื่อต้นปีที่แล้ว
ด้านอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยได้ 9 ลิตร/100 กม (11 กม./ลิตร) ซึ่งเฉลี่ยสภาพการจราจรที่ติดขัด และการขับขี่เดินทาง ซึ่งใช้รอบเครื่อง ซึ่งจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงกับรถยนต์ 2.0 ลิตร Compact คันอื่นๆ
ระบบบังคับเลี้ยว พวงมาลัยไฟฟ้าแร็คแอนด์พีเนียน มีรัศมีวงเลี้ยว 5.3 ม. พร้อมจุดเด่นระบบ Flex Steer แบบเดียวกับ Hyundai Elantra Sport เด๊ะ โดยมีปุ่มปรับอยู่ที่สวิทช์ไฟด้านขวาบนพวงมาลัย เลือกปรับได้ 3 โหมด Normal, Sport, Comfort เหมาะกับทุกสภาพการจราจร ทั้งการเดินทางในเมืองที่ต้องการความคล่องตัว สาวพวงมาลัยด้วยน้ำหนักที่เบามือ ไปจนถึงการขับขี่เดินทางทั่วๆไป หรือต้องการรูปแบบสปอร์ตที่ต้องการความหนักแน่นมั่นคงในการควบคุมรถ
จากการใช้งานจริง เราพบว่าแม้จะเซ็ตพวงมาลัยไว้ที่ Comfort แต่เมื่อขับด้วยความเร็วในระดับหนึ่งขึ้นไป (มากกว่า 60กม./ชม.) พวงมาลัยก็คงดูหนักแน่นมั่นคงเช่นกัน และให้การตอบสนองโดยรวมที่ควบคุมได้อย่างแม่นยำ และว่องไวพอตัว ซึ่งอารมณ์ฟีลลิ่งแบบนี้ เช่นเดียวกับที่พบใน Hyundai Elantra Sport
ระบบกันสะเทือน ด้านหน้าเป็นแบบแม็กเฟอร์สัน สตรัท หลังแบบทอร์ชั่นบีม ภาพรวมในการขับขี่ ถือว่าดูดีทีเดียวกับรถช่วงล่างที่ใช้แบบคานแข็ง ทั้งความสบายจากห้องโดยสาร ที่ไม่นิ่มไม่แช็งจนเกินไป ถือเป็นรถสปอร์ต 2 ประตูที่นั่งได้สบายเลยทีเดียว แม้จะใช้ยางแก้มขนาด 45 มม. ในด้านการยึดเกาะ ถือว่าทำได้ดีพอตัว ทั้งการขับเข้าโค้งด้วยความเร็วที่มากกว่าปกติสักเล็กน้อย และด้วยการปรับเซ็ต Spring Rate ที่ไม่แข็งมาก จึงทำให้โดยรวมแล้ว ถือว่าCerato Koup เหมาะแก่การใช้งานทั่วไปเน้นด้านการโดยสาร ขับหล่อๆ สบายๆเป็นหลัก หรือจะขับขี่รูปแบบสปอร์ตบ้างเล็กน้อยก็ยังพอได้
ระบบเบรกแบบดิสก์ 4 ล้อ พร้อมช่องระบายความร้อน (คู่หน้า) จานคู่หน้ามีขนาด 280mm จานคู่หลังมีชนาด 262mm และมาพร้อมระบบเบรก ABS และ EBD กดเบรกนิดหน้าจิกตอบสนองฉับไว เหมาะแก่การขับขี่แบบสปอร์ต ซึ่งอาจไม่ชินหากขับรถที่ระยะเบรกตอบสนองแบบรถบ้านๆ ในช่วงแรก แต่กลับพบว่า หากขับขี่มาด้วยความเร็วในระดับหนึ่ง การหยุดรถนั้น กลับทำได้ไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น จนบางจังหวะอาจต้องใช้ Engine Break จากการ Shift Gear ลงเข้าช่วย เพื่อที่จะไม่ต้องกระทืบแป้นเบรกลงหนัก ซึ่งหากอยากจะหล่อ และต้องการประสิทธภาพในการเบรกที่ดียิ่งขึ้น อาจต้องไปทำ After Market เอง โดยการเปลี่ยนจานขยาย และใส่เบรกแบบคาลิปเปอร์ แต่นั่นอาจจะต้องดูในเรื่องของขนาดจานที่ใส่อาจจะต้องขยับขนาดล้อจาก 17” ขึ้นไปอีกด้วย
สรุป รถยนต์ Kia Cerato Koup คูเป้ 2 ประตู 5 ที่นั่ง เป็นรถที่เหมาะแก่ผู้ชื่นชอบรูปลักษณ์สปอร์ต โดดเด่นด้วยตัวถัง 2 ประตู แต่ยังคงเหมาะสำหรับการใช้งานเหมือนรถครอบครัว 4 ประตู ทั้งพื้นที่โดยสารและ ความนุ่มนวลในการโดยสาร พาเพื่อน หรือครอบครัวไปด้วยได้ แบบไม่เหนื่อย ไม่ใช่เน้นเพียงแค่ สวีทกับแฟน 2:2 เช่นรถ คูเป้ คันอื่นๆ นอกจากนั้นออปชั่นพื้นฐานก็มาให้ครบครัน และเกินคาดกับฟังก์ชั่น Flexsteer และ แอร์ตอนหลัง ด้านการขับขี่ก็อยู่ในเกณฑ์รถ Compact 2.0 ทั่วๆไป ที่อาจซิ่งได้บ้างเล็กน้อยในบางเวลา ด้วยราคาไม่เกินล้าน ถ้าคุณไม่ปิดกั้น เพียงแต่รถญี่ปุ่น ล่ะก็คุณอาจได้พบกับรถดีอีกคัน ที่หล่อเท่ห์ไม่เหมือนใคร
ขอขอบคุณ บริษัท ยนตรกิจ เกีย สำหรับรถทดสอบ Kia Cerato Coup สีแดง Racing Red ราคา 9.9 แสนบาท
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ชมภาพเพิ่มคลิ๊ก
ความคิดเห็น