ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส ได้จัดกิจกรรม “Cayman Driving Experience 2014” เชิญสื่อมวลชนทดสอบรถสปอร์ตวางกลางน้องเล็กของค่าย Porsche Cayman ณ ลานอเนกประสงค์ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ เมื่อวันที่ 31 ตค. 2014 ที่ผ่านมา
ในครั้งนี้รถยนต์ที่ได้นำมาทดสอบ คือ 2014 Porsche Cayman เจนเนอเรชั่น 3 ใหม่ล่าสุด มาพร้อมกับคำจำกัดความที่ว่า Code of the curve โดยในรุ่นที่ได้ทดสอบวันนี้เป็นรุ่น Standard เครื่องยนต์ 2.7 ลิตร คันสีขาว ราคา 8.99 ล้านบาท
รูปลักษณ์ Porsche Cayman ใหม่ ได้รับการพัฒนาทางด้านดีไซน์ให้ โดดเด่นกว่าเดิม และมีประสิทธิภาพที่มากขึ้น มีระยะ Hang Over ที่สั้นลง 26 มม. ตัวรถต่ำกว่าเดิม 10 มม. มิติ กว้าง x ยาว ก็มากกว่าเดิมด้วยเช่นกัน และ ระยะฐานล้อยาวขึ้น 60 มม. โดยในคันทดสอบนี้ มากับล้อขนาด 18” หุ้มยาง Dunlop SP Sport Maxx GT ไซส์ 235/45/18 (หน้า) และ 265/45/18 (หลัง)
ซึ่งจากรายละเอียดทั้งหมดนี้ จะทำให้ Cayman ใหม่ เป็นรถสปอร์ตวางกลางที่มีประสิทธิภาพในการควบคุม และการยึดเกาะที่ยอดเยี่ยมในรถคลาสเดียวกันนี้ นอกจากนั้นในด้านของการใช้วัสดุเบา เช่นอลูมีเนียมที่ตัวฝากระโปรง (ช่วยลดน้ำหนักตัวลงได้อีกถึง 30 กก. ในรุ่น Cayman S)
สำหรับอีกหนึ่งข้อสงสัยที่หลายคน มักจะชอบถามกัน หรือหาความแตกต่างของรุ่น Cayman กับ Boxster นั้นก็ คือ รถที่เป็นหลังคาแข็ง Hard Top และ แบบเปิดประทุนหลังคาผ้า (Convertible) โดยสังเกตุง่ายๆ Cayman จะมีการเปิดประตูบานหลังแบบยกขึ้นทั้งบานกระจกหลัง องศาตั้งแต่หลังคารถไปทางด้านท้ายจึงดูเทลาด ในขณะที่ Boxster จะเป็นรถที่มีเพียงแค่เสา A เท่านั้น และด้านท้ายฝากระโปรงหลัง จะอยู่ในระนาบที่แบนราบ
สำหรับภายในห้องโดยสาร มองที่ปุ่มปรับตรงแผงคอนโซลเกียร์ มาเพียบพร้อมฟังก์ชั่น ทั้งปุ่มปรับ Sport, Sport+, Chassis ปรับ Normal และ Sport ฟังชั่น Auto Start/Stop รวมถึงเบรกมือไฟฟ้า นอกจากนั้นยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกในการขับขี่อย่างระบบ Adaptive Cruise Control ด้วย
ด้านเครื่องยนต์วางกลางคันนี้ หากเปิดฝากระโปรงท้ายจะพบพื้นที่เก็บสัมภาระท้าย ในขณะที่ส่วนตัวเครื่องยนต์นั้นจะถูกปกคลุมด้วยแผงอลูมีเนียมอย่างมิดชิด แต่ไม่ต้องกังวลว่าความร้อนจะเข้ามาภายในห้องโดยสาร เพราะมีช่องระบายความร้อนออกทางข้างหลังประตูทั้ง 2 ฝั่ง และจะมีค้ำตัวถังพาดกลางช่วงหลังเบาะโดยสาร
แม้เป็นรถสปอร์ต แต่ยังคงแฝงความสบายจากระบบปรับเบาะด้วยไฟฟ้า และระบบเสียงชั้นนำของโลกอย่าง Burmester Sound System ที่สามารถเลือกติดตั้งได้มอบความสุนทรีย์ในการขับขี่ โดยสามารถควบคุมผ่านจอ Touch Screen 7”
ด้านสมรรถนะในการขับขี่ ในรุ่น Cayman ตัว Standard คันนี้ เป็นรถเครื่องยนต์วางกลาง MR ใช้เครื่องยนต์ Boxer 6 สูบ เรียงนอน ความจุ 2.7 ลิตร ให้พละกำลัง 275 แรงม้า@7,400rpm และแรงบิด 290Nm@4,500-6,500rpm ส่งกำลังผ่านเกียร์ PDK 7 Speed อันเลื่องชื่อของ Porsche ลงสู่ล้อหลัง มีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 5.6 วินาที มีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 264 กิโลเมตร/ชั่วโมง
อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำแค่เพียง 7.7 ลิตร/100 กิโลเมตร (13 กม./ลิตร) (ประหยัดกว่ารุ่นเดิมถึง 15%)
มีการคายไอเสียที่ 180 กรัม/กม.
การวาง Track ทดสอบ Cayman ณ ลานอเนกประสงค์ กรมทหารราบที่ 11 ครั้งนี้ แตกต่างจาก 2 ครั้งก่อนหน้า ที่ทดสอบ Porsche Macan และ Bentley Continental GT V8 S เพื่อให้ตรงกับนิยาม Code of the Curve ของ Porsche Cayman คันนี้ จึงได้ปรับช่วงออกตัวทางตรงยาวนั้น ซอยออกเป็นช่องหักเบี่ยงหลบซ้าย-ขวา ด้วยความเร็วได้ และตรงไปอีกระยะ จะพบกับ Pylon ให้ Slalom ซ้าย-ขวา-ซ้าย โดยมีระยะห่างกันเพียง 8 เมตร เท่านั้น ซึ่งจุดนี้จะต้องเบรกลงหนักก่อนที่จะหักเข้า Pylon แรก เนื่องจากถ้าหากเข้าด้วยความเร็วสูงเกินไป และการหักหลบ Pylon แรกออกไป ในจังหวะที่ตวัดหักพวงมาลัยกลับ ด้วยรถที่มี Handling คมไว และเครื่องยนต์วางกลาง จึงง่ายต่อการเกิดอาการ Oversteer (ท้ายปัด) และ จะทำให้รถไม่สามารถผ่านเข้าช่อง Pylon ถัดไปได้ หลังจากผ่านพ้นช่วง Slalom แล้ว จะเป็นโค้งซ้าย U-Turn กว้างๆ ก่อนที่จะตรงกลับมา และจะพบกับ Chicane คอขวด ซึ่งจะต้องวิ่งเลียบด้านขวา เพื่อเปิด Line หักเลี้ยวเข้าทางซ้าย ก่อนที่จะคืนพวงมาลัยมาทางขวานิดพร้อมเติมคันเร่งบานออกซ้ายไป และวิ่งตรงไปจนสุดเพื่อ U-Turn ซ้าย กลับรถอีกครั้งเป็นอันครบรอบ 1 Lap
ในด้านของฟีลลิ่งการขับขี่นั้น ผู้เขียนพบว่า การตอบสนองใน Mode Normal คันเร่งจะยังแข็งดูหน่วงไปสักนิด แต่เมื่อเติมน้ำหนักคันเร่งที่เท้าอย่างเต็มที่ พละกำลังของเครื่องยนต์ก็สามารถกระชากให้หลังติดเบาะได้อย่างไม่ยากเย็น ขณะที่ยังคงแฝงด้วยความนุ่มนวลของการขับขี่ และจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ที่ Smooth ตามเอกลักษณ์ของเกียร์ PDK ชุดนี้
เมื่อลองกดปุ่ม Sport จะพบได้ว่า คันเร่งไฟฟ้านี้ตอบสนองได้อย่างว่องไว ทันใจยิ่งขึ้น การ Hold รอบเครื่อง และลากรอบสูงจนเข้าชนขีด Redline ก่อนตัดขึ้นเกียร์ ทำให้ได้ฟีลกระตุกจากจังหวะเกียร์บ้างเล็กน้อย แต่โดยภาพรวมแล้ว มันก็ยังคงให้การโดยสารที่สบายได้อย่างลงตัว แม้เกียร์จะไม่ Smooth เหมือน Normal Mode แต่ ลักษณะของช่วงล่างที่เป็นแบบปกติ ยังรู้สึกได้ว่า ยังโดยสารได้อย่างนุ่มในระดับหนึ่ง เพราะแม้ว่าจะใส่ล้อขอบ 18” แต่แก้มยางที่หนา ระดับ 45 มม. ก็ยังคงทำให้ภาพรวมระบบกันสะเทือนไม่ดูแข็งมากนัก
เมื่อกดปุ่ม Sport + จะพบว่านี่ล่ะ ไฮไลท์ความดิบแบบรถสปอร์ตขนานแท้ ราวกับคุณขับขี่รถเกียร์ธรรมดาเลย
ในโหมดนี้ คุณสามารถออกตัวแบบ Launch Control ได้ ด้วยการเหยียบเบรกค้างไว้ และเบิลคันเร่งทางด้านขวา ซึ่งจะเป็นการเปรียบเสมือน เหยียบคลัช กรอรอบเครื่องก่อนออกตัว และเมื่อปล่อยเบรก รถก็ออกตัวพุ่งทะยานหลังกระชาก ด้วยกำลังเครื่องยนต์ในระดับ 270 ม้า จะมอบอรรถรสในการขับขี่ได้ เสียงเครื่องคำรามแบบทุ้มๆ นุ่มๆ ซึ่งมันไม่ดังแสบแก้วหู หรือหน้าหนวกหู แต่อย่างใด จนผู้เขียนรู้สึกว่ามันออกจะเงียบเรียบร้อยไปด้วยซ้ำ การเปลี่ยนเกียร์ในโหมด Sport + นี้ ยังให้ความรวดเร็ว แต่ที่สำคัญคือ ฟีลลิ่งในการขับขี่ มันใช่เลย! รู้สึกราวกับ ยกคลัชกระชากเท้าออกจากอย่ารวดเร็ว สนุกทุกครั้งที่ลากเข้า Redline และ การเปลี่ยนเกียร์ที่ช่วยเสริมความเร้าใจ แม้ว่าในบางจังหวะ ที่เราเบรกชะลดความเร็วลง เกียร์ ที่ Shift ลงเองในโหมดอัตโนมัตินี้ ยังคงที่เป็นสไตล์การเปลี่ยนเกียร์แบบกระชากเช่นเคย ซึ่งเหมาะเป็นอย่างยิ่งกับการทำ E-Brake (ลดความเร็วด้วยการ Shift เกียร์ลง) แต่น่าเสียดายที่บนลานที่เราทดสอบนี้ ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ Trick นี้ในการเลี้ยวโค้ง จึงอาจทำให้บางจังหวะที่เราชะลอ รถทำให้รถดูกระตุกไปสักนิด
ในโหมดนี้ ช่วงล่างจะปรับเป็นแบบ Sport ให้เองอัตโนมัติ ซึ่งทำให้เราได้สัมผัส ถึงความแน่น และมั่นคงของช่วงล่างมากยิ่งขึ้นในการหักเลี้ยวผ่านช่องแคบคอขวดไปได้อย่างมั่นใจ
และที่สำคัญพวงมาลัยผ่อนแรงไฟฟ้า วงนี้ที่ให้ความเฉียบคม และว่องไว มันเป็นกุญแจสำคัญอย่างยิ่งในการ เลี้ยวโค้ง หรือ Slalom เพราะพวงมาลัยวงนี้นอกจากจะว่องไวและแม่นยำ แล้ว มันยังมีแรงต้านมือในระดับที่เหมาะสมกับความเร็วขณะอยู่ในวงเลี้ยวโค้ง U-Turn มันก็พร้อมที่จะกลับมาอยู่ในตำแหน่งปกติ คืนตัวได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นเมื่ออยู่ในช่วงพื้นผิวที่ไม่ราบเรียบพวงมาลัย จะช่วยราวกับมีระบบ Active Steering ที่คอยจะคัดพวงมาลัยกลับเข้าสู่สภาวะที่ควรจะเป็นด้วย สร้างความมั่นคงเป็นการบังคับรถได้เป็นอย่างดี แม้พวงมาลัยจะมีแรงต้านหน่วงมือในระดับที่มั่นคง แต่ทว่าหากใช้ความเร็วน้อยกว่าระดับ 50 กม./ชม. มันก็ช่วงผ่อนแรงในการสาวรถ ได้อย่างง่ายดาย ไม่ต่างกับพวงมาลัยผ่อนแรงไฟฟ้าปกติของรถยนต์บ้านทั่วๆไป
สรุป 2014 Porsche Cayman ใหม่ เครื่องยนต์ 2.7 ลิตร ในรุ่น Standard คันนี้ มันพร้อมที่จะให้คุณสัมผัส จิตวิญญาณของรถสปอร์ตจาก Stuttgart เครื่องวางกลางขับหลังได้เป็นอย่างดี แม้ว่ามันจะมีแรงม้าไม่ถึง 300 ตัวเหมือนอย่างรุ่น Cayman S ซึ่งพวกบ้า Hardcore แรง G ตีนหนักคงคิดว่ามันมีพละกำลังที่ธรรมดาไป แต่อย่างน้อย ลูกเล่นในการขับขี่ ก็มีให้อย่างเต็มเปี่ยม มันพร้อมที่จะให้คุณขับใช้งานในประจำวันได้อย่างง่ายดาย ขับแบบสุขุม หรือต้องการขับแบบ Sport จนไปถึงรูปแบบการขับดิบๆ อย่าง Track Day ก็ทำได้ในคันนี้คันเดียว
ถ้าหากต้องการสัมผัสหรือ รู้จักกับรถ Sport จาก Porsche แล้วล่ะก็ Cayman ใหม่นี้น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี ในราคาเริ่มต้นที่ 8.99 ล้านบาท
ขอขอบคุณ Porsche ประเทศไทย โดย AAS Auto Service สำหรับกิจกรรมการทดสอบ Porsche Cayman ในครั้งนี้
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ชมภาพเพิ่มคลิ๊ก
ความคิดเห็น