การแข่งขันรถ Formula E ถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ให้แก่วงการแข่งรถ เนื่องจากเป็นการปฏิวัติการแข่งที่ขัดแย้งกับการแข่งรถทั่วๆไปที่จะสิ้นเปลืองทั้งพลังงานและการใช้ยางที่สร้างมลพิษ Formula E จึงถูกจัดแข่งขึ้นบนแนวคิดที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม เนื่องจากรถเป็นพลังงานไฟฟ้า 100% ไร้ซึ่งมลพิษและจำกัดปริมาณยางในการแข่งขัน ซึ่งจะทำให้ใช้ยางน้อยลงด้วยโดย การแข่งขัน Formula E นั้นจะมีขึ้นทั้งหมด 10 สนามใจกลางเมือง ซึ่งรถแต่ละคันจะเปลี่ยนยางได้เพียง10 เส้นเท่านั้น นับรวมรอบซ้อม, Qualified และการแข่งจริง
รูปแบบการแข่งขันที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม แต่กลับท้าทายทุกอย่างของคนในวงการรถยนต์ตั้งแต่นักแข่ง วิศวกร รวมถึงผู้ผลิตยางรถยนต์เพื่อการแข่งขันครั้งนี้ เพราะการผลิตยางเพื่อรถเครื่องยนต์ไฟฟ้าถือว่าเป็นสิงใหม่ที่ยากอยู่แล้ว แต่การผลิตยางบนเครื่องยนต์แบบใหม่และให้การวิ่งได้ยาวนาน บนที่ใช้กันทั่วไป ไม่ใช่สนามแข่ง และต้องวิ่งได้ทุกสภาวะไม่ว่าจะแห้งหรือเปียกและเน้นการเปลี่ยนยางให้น้อยที่สุด คือโจทย์สุดหิน ที่ต้องใช้ความทุ่มเท และประสบการณ์ที่คัดกลั่นมาอย่างดีถึงจะทำได้
MICHELIN จึงได้ถูกเลือกให้เป็น Official Partnership ตลอดการแข่งขันด้วยประสบการณ์อันมากเหลือบนเวทีมอเตอร์สปอร์ตบวกกับการเป็นผู้นำในการสร้างนวัตกรรมใหม่บนวงการยางรถยนต์ MICHELIN ได้ทำงานอย่างหนัก เพื่อคิดค้นเทคโนโลยี ในการผลิตยางที่ใช้แข่งขัน Formula E โดยเฉพาะ
ความท้าทายของ MICHELIN คือการผลิตยางบนการแข่งขันที่รูปแบบของกฏกติกาต่างจากความคุ้นเคย ทั้งเรื่องของเครื่องยนต์ที่วิ่ง จำนวนยางที่เปลี่ยน หรือสนามทีใช้ ยางต้องมีประสิทธิภาพดีทุกการแข่งบนเครื่องยนต์ไฟฟ้า100% นอกจากนี้ การแข่งถูกจำกัดด้วยจำนวนยางที่สามารถใช้ได้ หมายความว่ายางต้องเด่นเรื่อง Longevity มากๆและการวิ่งนั้นยังต้องทำได้ดีทั้งบนพื้นแห้งและเปียก รวมไปจนถึงทุกสภาวะอากาศในยางเส้นเดียว ทั้งหมดข้างต้น กลายเป็นโจทย์ที่ทีมออกแบบยาง MICHELIN Sport EV ค่อยๆเรียบเรียงหาวิธีพัฒนาอย่างเป็นสัดส่วน โดยได้อาศัยวิศวกรผู้มีประสบการณ์จากการออกแบบยางสำหรับรถ American Le Mans มาเป็นคนดูแล จากประสบการณ์บน Endurance racing สิ่งที่ท้าทายอีกสิ่งคือสนามแข่งจริงเป็นถนนหลวงที่ไม่สามารถไปวิ่งทดสอบกันบนพื้นแข่งจริงได้ รวมถึงสภาพพื้นผิวที่ไม่ราบเรียบ อุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อจากเส้นแบ่งเลนถนน MICHELIN จึงได้จำลองการออกแบบทดสอบบนเครื่อง Simulator ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วกับการออกแบบยางสำหรับรถ Delta Wing ปี 2012
จนกลายมายาง MICHELIN Sport EV ที่ผสานความสามารถทั้งยาง Slick และ ยาง Wet เข้าด้วยกัน ขนาดใหญ่ขึ้นกว่ายางแข่งรถปกติที่ 18” และมีหน้ากว้างที่แคบลง เพื่อลดแรงเสียดทาน และช่วยให้การหมุนล้อต่อรอบมีระยะทางที่เพิ่มขึ้น นอกจากนั้น MICHELIN ยังได้บุกเบิกวงการยางครั้งใหม่ ด้วย MICHELIN Sport EV ได้รับการฝังชิพ RFID (Radio Frequency Identification Device) ซึ่งช่วยให้สามารถติดตามสภาพยางตั้งแต่ออกจากโรงงานจนส่งกระทั่งส่งกลับไปยังโรงงาน และในเทคโนโลยีใหม่นี้ MICHELIN ได้อนุญาติให้นำเทคโนโลยีลิขสิทธ์นี้ไปใช้งานได้ เพื่อสร้างให้เป็นมาตราฐานเดียวกัน
ทั้งหมดเป็นเครื่องพิสูจน์ความก้าวล้ำของยาง MICHELIN และทีมงาน ที่ไม่หยุดคิดถึงสิ่งที่ดีกว่า เพื่อการแข่งขัน เพื่อคนที่ชื่นชอบความเร็ว เพื่อโลกของเรา และได้นำสิ่งที่ได้เรียนรู้พัฒนายางจริงๆลงสู่ถนนจริงๆ เพื่อเป็นยางให้ผู้บริโภคทุกคนได้งานจริงๆ
ความคิดเห็น