เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี (Mercedes-AMG) ซับแบรนด์รถสมรรถนะสูงในเครือเดมเลอร์เตรียมเพิ่มยอดขายอีกเท่าตัวในอีกสามปีข้างหน้าด้วยการ “แตกไลน์” ผลิตภัณฑ์ที่มีราคาถูกลงกว่าไลน์เอเอ็มจีดั้งเดิม
ไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ดังกล่าวจะใช้ชื่อว่า เอเอ็มจี สปอร์ต (AMG Sport) ซึ่งรถสองรุ่นแรกจากไลน์นี้จะเปิดตัวที่งานดีทรอยท์ ออโต้โชว์ในช่วงต้นเดือนมกราคมปีหน้า เคาะราคาจำหน่ายสูงกว่ารถสแตนดาร์ดของเมอร์เซเดส-เบนซ์แต่ถูกกว่ารถไลน์เอเอ็มจีแบบดั้งเดิม เรียกว่าเติมเต็มช่องการทำตลาดตรงกลางนั่นเอง
กลยุทธ์การทำตลาดผลิตภัณฑ์เช่นนี้คล้ายกับออดี้ที่ประสบความสำเร็จในการนำเสนอรถเอส-ไลน์ (S-Line) ที่อยู่ตรงกลางระหว่างรถสแตนดาร์ดของออดี้และรถไลน์อาร์เอส (RS) สมรรถนะสูง
รถเอเอ็มจี สปอร์ตจะมาพร้อมเครื่องยนต์ 6 สูบที่มีพละกำลังเพิ่มขึ้น มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมการปรับปรุงแชสซีส์และระบบเบรกใหม่ อย่างไรก็ตาม เครื่องยนต์จะถูกปรับแต่งมาจากโรงงาน ซึ่งแตกต่างจากไลน์เอเอ็มจีดั้งเดิมที่จะใช้เครื่องยนต์ผลิตด้วยมือแบบ “หนึ่งคนหนึ่งเครื่อง” ซึ่งให้สมรรถนะสูงสุด
“เราเล็งเห็นว่าเอ250 สปอร์ต (A250 Sport) ประสบความสำเร็จ เราจึงตัดสินใจขยายโมเดลธุรกิจและไลน์ผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม” โทเบียส โมเออร์ส (Tobias Moers) ประธานกรรมการเมอร์เซเดส-เอเอ็มจีกล่าว พร้อมกับชี้ว่าไลน์เอเอ็มจี สปอร์ตใหม่ล่าสุดนี้จะมีสัดส่วนยอดขายอยู่ที่ 30 – 40% ของยอดขายรถเอเอ็มจีทั้งหมดในอนาคตอันใกล้
“ลูกค้าจะเข้าถึงเทคโนโลยีรถสปอร์ตได้มากขึ้นและดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากกว่าเดิม” โมเออร์ส กล่าวและย้ำด้วยว่าว่าถึงแม้ราคาจำหน่ายจะถูกลงแต่จะไม่ส่งผลต่อสมรรถนะที่เหนือชั้นอย่างแน่นอน
เอเอ็มจีกำลังก้าวสู่เป้าหมายยอดขายกว่า 40,000 คันในปีนี้ซึ่งเป็นสถิติใหม่ โดยได้อานิสงค์มาจากการทำตลาดผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุม ซึ่งมีทั้งซูเปอร์คาร์ระดับทะลุ 1 แสนยูโรอย่างเอเอ็มจี จีที (AMG GT) ไปจนถึงรถคอมแพกต์อย่างเอ-คลาส เอเอ็มจี (A-Class AMG) ที่มีค่าตัว 5 หมื่นยูโร
“ในอีกสามปีข้างหน้า เราต้องการเพิ่มยอดขายขึ้นอีกเท่าตัวจากในปี 2013 ซึ่งเราทำได้กว่า 30,000 คัน” โมเออร์สกล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าพวกเขาจะต่อสู้กับพอร์ชที่มียอดขายมากกว่าถึงสี่เท่าตัวได้อย่างไร โมเออร์สตอบว่า “เราไม่ต้องการแข่งขันในด้านยอดขาย แต่เราต้องการแข่งขันในด้านชื่อเสียงและการรับรู้ในแบรนด์มากกว่า”
LINE
ความคิดเห็น