เมื่อสัปดาห์ก่อน เราได้นำเสนอราคารถ Bigbike จากฝั่งอังกฤษ Triumph ซึ่งได้ประกาศลดราคาลงอย่างเป็นทางการกันไปเรียบร้อย วันนี้เราจะมานำเสนอบทความที่ทางผู้เขียนได้มีโอกาสพูดคุยกับ คุณดอม เหตระกูล กรรมการบริหาร Britbike ในครั้งนี้ด้วย
อย่างที่เราได้บอกไปแล้วว่า ภายในงาน Motor Expo 2014 นี้ ทางฝั่งของรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ Bigbike นั้นถือว่าได้รับความสนใจไม่น้อยไปกว่ารถยนต์ เพราะหลากหลายค่าย ต่างเปิดรถยนต์ใหม่ ในโอกาสนี้ แม้ทางฝั่งของ Triumph โดย บริษัท Britbike ผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย อาจจะไม่ได้มีการเปิดผ้าคลุมรถในงานนี้ แต่กลับมีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้น นั่นคือการรีแบรนดิ้ง ของ Triumph ซึ่งเริ่มตั้งแต่โลโก้ โดยจะเห็นได้ว่า โลโก้เดิม ที่มีเพียงแต่ตัวหนังสือภาษาอังกฤษ ได้ปรับใหม่ เป็น รูปสามเหลี่ยมคว่ำ และมีสัญลักษณ์ธง Union Flag หรือ ธงสหราชอาณาจักร วางอยู่ ภายใน ซึ่งว่ากันตามจริงแล้วทา โปรเจ็ครีแบรนดิ้งของ Triumph ได้มีมาจากทางบริษัทแม่ตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยทาง Britbike ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย ได้เลือกโอกาสนี้ ในการประกาศรีแบรนดิ้ง รวมไปถึงโครงสร้างราคาอย่างเป็นทางการในงานนี้
สาเหตุหลักของการลดราคา มาจากการส่งเสริมของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน BOI ได้อนุมัติโครงการสนับสนุนการลงทุนให้โครงสร้างภาษีนำเข้าลดลง ซึ่งทำให้ Triumph ปรับลดราคาลงทุกรุ่น มากถึง 30-40% ซึ่งจากเดิมจะโดนภาษีนำเข้าทุกรุ่นสูงถึง 80% ยกเว้นรุ่น Scrambler ที่ยังโดนใบภาษีนำเข้าอยู่ จึงยังคงโดนราคาสูง แต่ก็ถือว่าได้ปรับลดลงมาจากแต่ก่อนแล้ว
จากการสนับสนุนของทางภาครัฐ นี้นอกจากจะช่วยให้ลูกค้าได้ราคารถที่เหมาะสมแล้ว ยังช่วยให้พนักงานของบริษัท รวมไปถึงการจ้างงาน และการลงทุนที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย
และหลังจากนี้ทาง Britbike เอง ก็คงจะต้องลุยทำการตลาดในส่วนของ ดิจิตัล มีเดีย มากขึ้น เนื่องจากสังคมในยุคปัจจุบันเป็น ยุคของโลก ดิจิตัล ออนไลน์ ซึ่งจะช่วยขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ได้อีกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอัพ cc หรือกลุ่มที่ขับรถยนต์ 4 ล้อ หันมาจับรถ Bigbike รวมไปถึงกลุ่มที่เล่นรถ Bigbike ขนาดกลางขึ้นไปอยู่แล้ว แต่ต้องการโยกแบรนด์จากฝั่งญี่ปุ่น มาเป็นยุโรป เป็นต้น
ในส่วนของกิจกรรมส่งเสริมการขาย ทาง Britbike ได้จะเน้นที่การปล่อยสินเชื่อ leasing มากกว่า จะไม่ทำราคาแบบบอลลูน เพราะการทำเช่นนี้ จะทำให้ราคาของตัวรถตกต่ำลง
สำหรับรุ่นรถที่ได้เปิดพร้อมโครงสร้างราคา ใหม่ ณ ขณะนี้ จะมีตระกูล Bonneville, Street Triple, Tiger Thruxton และ Scrambler
จะเห็นว่ารถในตระกูล 1000cc รวมไปถึง Daytona 675 ณ ขณะนี้ได้เลิกทำการตลาดไป ชั่วคราวก่อนในบ้านเรา เนื่องจากยังไม่ได้รับความนิยมในรุ่น Supersport ขนาดกลาง เพราะด้านราคาที่ยังดูสูง เมื่อเทียบแล้วคนส่วนใหญ่ จะหันไปเล่นที่ตัว Supersport 1000cc เสียมากกว่า ขณะที่รุ่น 1000cc ทางบริษัทฯ ยังคงต้องทำการศึกษาและ ประเมินความต้องการ เพราะผู้ขับขี่รถในกลุ่มนี้จะเน้นการใช้งาน เพื่อเป็น Lifestyle ดังนั้นความพึงพอใจของรถในการขับขี่ถือเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งรถที่น่าจะนำมาทำตลาดก่อน อาจจะเป็นตัว Thunder Bird รถในแนว Cruiser ที่น่าจะตอบสนองความต้องการในกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี
ด้านยอดขายของ Triumph ในส่วนของปีที่แล้ว มียอดเฉลี่ย 250 คัน สำหรับในปีนี้ ซึ่งจะตัดงบที่ช่วง กลางปี 2015 ได้ตั้งเป้าไว้ที่ 900 คัน (มิย. 2014- มิย. 2015)
ณ ขณะนี้ มีศูนย์บริการทั้งสิ้น 7 แห่ง ได้แก่ กทม. 2 แห่ง RCA, และ รังสิต อีก 5 แห่ง ที่ต่างจังหวัด เชียงใหม่, ขอนแก่น, อุบลราชธานี, หาดใหญ่ และ ภูเก็ต ซึ่งอาจจะมีการพิจารณา ขยายดีลเลอร์ ศูนย์บริการเพิ่ม ที่บริเวณภาคตะวันออก เหนือตอนล่าง และภาคใต้ตอนบน โดยไม่เน้นจำนวน หรือ การเพิ่มดีลเลอร์ อย่างรวดเร็ว เนื่องจากมองว่า จะต้องสร้างความแข็งแกร่งรากฐานที่ดีให้แก่ ดีลเลอร์เสียก่อน เนื่องจากปริมาณของศูนย์บริการ ณ ขณะนี้ ยังถือว่ามีเพียงพอต่อการดูแล รถของลูกค้าในปัจจุบัน และอนาคตข้างหน้า
สำหรับการพิจารณาขยาย เครือข่ายดีลเลอร์ ในตอนนี้ได้ ให้อำนาจในการพิจารณาตัดสินใจ ให้กับทางบริษัทแม่ที่อังกฤษ เป็นผู้ดูแล จากแต่ก่อนที่ Britbike ประเทศไทย ได้เป็นผู้พิจารณาตัดสินใจด้วยตนเอง
จากการรีแบรนดิ้งในครั้งนี้ เราเชื่อว่าในอนาคตข้างหน้า ยอดจำหน่ายที่ตั้งไว้ระดับ 900 คันน่าจะทะลุผ่านตัวเลขนี้ไปได้ในช่วงกลางปีหน้า อย่างไม่ยาก และ มีความเป็นไปได้สูงที่กลุ่มลูกค้าของ Triumph จะมีการตั้งกลุ่ม และจับกลุ่มขับขี่ท่องเที่ยวกันมากยิ่งขึ้น และนั่นเอง จะส่งผลให้กลุ่มลูกค้า จะเป็นผู้ช่วยในการประชาสัมพันธ์ ให้กับแบรนด์ ไปในตัวอีกด้วย
LINE
ความคิดเห็น