เมื่อช่วงเดือน สค. ปี 2014 ที่ผ่านมา ณ งาน Big (Bangkok International Grand) Motor Sale 2014 (มหกรรมยานยนต์ เพื่อการขาย ใหญ่ที่สุดในอาเซียน) ทางบริษัท โมโต วิชั่น ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถ Bigbike แบรนด์พรีเมียม MV Agusta ได้ฤกษ์ดี เปิดตัวรถคันงาม อีกหนึ่งผลงานระดับ Masterpiece นั่นคือ MV Agusta Brutale 800 Dragster ซึ่งได้ใช้พื้นฐานรถ Brutale 800 มาปรับแต่งให้อยู่ในรูปโฉม Dragster ซึ่งหล่อโดนใจนักเลง 2 ล้อ อย่างเราๆ เป็นอันมาก โดยมีให้เลือก 2 สี ขาว, เทาด้าน และในวันนี้ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้มีโอกาสลองทดสอบกันกับสุดหล่อ Brutale 800 Dragster สีเทาด้าน คันนี้กัน
MV Agusta Brutale 800 Dragster แม้ว่าจะใช้พื้นฐานของ Brutale 800 ได้ก็ได้ถูกปรับดีไซน์เสียใหม่ จนทำให้มันเป็น Bigbike ที่มีดีไซน์ฉีกกรอบรถ Naked เดิมๆ ทิ้ง เมื่อมองจากด้านหน้าพบว่าจะไม่ต่างจากเดิมมากนัก แต่จุดแตกต่างหลักๆ อยู่ที่เอกลักษณ์ด้านท้าย ที่มีความสวยงาม ดุดัน ด้วยท้ายสั้นโล่ง แนว Dragster มอบความสปอร์ตเต็มพิกัด
ไฟท้ายแบบ LED เรียงอยู่ที่ขอบด้านข้างของทั้งสองฝั่ง ดูสวยงามล้ำสมัย ไฟเลี้ยวหลังถูกยกไปวางไว้ที่ตำแหน่งบังโคลนล้อหลัง เช่นเดียวกับที่พบในรุ่น Rivale แฮนด์สามารถปรับมิติและปรับให้เข้ากับสรีระของผู้ขี่ได้ 3 ระดับ สำหรับรถคันนี้ได้ใส่ท่อแต่ง Zero มาด้วย ซึ่งต้องขอบคุณ ที่ท่อแต่งสำนักนี้ที่ช่วยคงความเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของดีไซน์ท่อในแบบ 3 ช่องของ MV Agusta เอาไว้
นอกจากนั้นยังได้ติดตั้งการ์ดท่อคาร์บอนไฟเบอร์ จาก Design Corse อีกด้วย เรียกได้ว่าหล่อแบบครบสูตร
สำหรับล้ออลูมีนัมอัลลอยแบบ 10 ก้านสีนี้ดำ ซึ่งทางด้านหลัง ได้ปรับให้มีขนาดกว้างขึ้นเป็น 6” พร้อมสวมยางหลังกว้าง ขนาดถึง 200 มม. ในขณะที่ Brutale 800 จะสวมยางหลังกว้าง 180 มม. จาก Pirelli Diablo Rosso II เช่นเดียวกัน
ในด้านมิติรถ ส่วนสูงรถ ก็ถือว่าไม่มากเกินไป สำหรับรถ Naked Dragster คันนี้ เพราะความสูงเบาะอยู่ที่ 811 มม. (สูงกว่า Brutale 800 และ 675 อยู่ 1 มม.) ช่วยให้ผู้ขี่ที่มีส่วนสูงไม่มาก ยังสามารถที่จะยืนเหยียบคร่อมตัวรถได้เต็มเท้า ขณะที่น้ำหนักตัวเท่ากันกับ Brutale 800 และ 675 ที่ 167 กก. สำหรับถังน้ำมัน ขนาดใหญ่คงความจุเดิมอยู่ที่ 16.6 ลิตร และนอกจากนี้ แม้ท้ายจะสั้น และดูขนาดเล็กมาก แต่เรายืนยันว่า มันสามารถนั่งซ้อน 2 ได้จริง! ถูกต้องตามกฎหมาย เพียงแต่ผู้ซ้อนอาจจะต้องเป็น ญ สาว ที่รูปร่างไม่ใหญ่นัก
กลับขึ้นมาดูที่หน้าจอ LCD ไฟสีส้ม มีตัวเลขบอกความเร็วเป็นแบบดิจิตัล, วัดรอบเป็นสเกลในแนวนอน วางอยู่ขอบบน มีตัวเลขบอกตำแหน่งเกียร์อยู่ทางซ้าย ติดกันจะเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ ซึ่งบ่งบองถึง Engine Map ที่ใช้อยู่ ณ ขณะนั้น S=Sport N=Normal R=Rain C=Custom สเกลในแนวตั้งวางอยู่ทางขวา คือ ระดับความร้อนของเครื่องยนต์ นอกจากนี้ยังมีลูกเล่น นาฬิกาจับเวลา Lap Record มาให้ พร้อมเลือกปรับค่า TC (Traction Control) ได้มากถึง 8 ระดับ และเลือกเปิด-ปิด ระบบ ABS ได้
ขุมพลังเครื่องยนต์ 3 สูบเรียง อันเป็นเอกลักษณ์ของ MV Agusta บล๊อก F3 800 ความจุ 798cc 12 วาล์ว ให้พละกำลัง 125 แรงม้า (bhp) @12,000rpm และแรงบิด 84Nm @ 8,600rpm มีความเร็วปลายที่ 245 กม./ชม.
ระบบอิเล็คโทรนิคในการควบคุมเครื่องยนต์ MVICS เทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยมของ MV Agusta มากับ Riding Mode 4 โหมด คือ Sport, Normal, Rain และ Custom โดยเป็นโหมดที่ควบคุมด้วยคันเร่งไฟฟ้า( Ride By Wire) ซึ่งจะปรับ Torque ให้เหมาะสมตามแต่สภาวะการขี่ นอกจากนี้ยังมี Traction Control ที่ให้เลือกได้ตั้งแต่ระดับ 0-8 และมันก็ยังคงมี Quick Shifter (MV EAS) ติดตั้งมาให้พร้อมช่วยการเข้าเกียร์ได้ง่ายและรวดเร็ว
ด้วยความที่รถคันนี้ ได้ใส่ท่อแต่งของ Zero ทันทีคุณติดเครื่องยนต์ขึ้น เสียงกระหึ่ม พร้อมกับโทนเสียงทุ้มอันอื้ออึง ก็ดังกระหึ่มขึ้น และเมื่อลองเบิลคันเร่ง นั่นจะช่วยดึงดูดความสนใจให้ทุกคนหันมามองที่รถคุณภายในทันที ไม่ว่าคุณจะอยู่บนถนนเส้นไหน เพราะเสียง มันดังราวกับเกิดระเบิดลั่นดังขึ้น อาจจะทำให้หลายคนตกใจได้ แต่เมื่อขับขี่ และใช้รอบเครื่องยนต์สูงขึ้นเรื่อยๆ กลับพบว่า เสียงมันดูแว้ดลั่น ทั้งทุ้มปนแหลม ซึ่งให้อารมณ์ การขับขี่ราวกับมีรถ Supercar แล่นผ่าน เสียอย่างนั้น
ในด้านของการขับขี่นั้น ทั้งเครื่องยนต์บล๊อกเดียวกัน ระบบส่งกำลังอัตราทดเกียร์ต่างๆ ได้เซ็ตเหมือนกับ Rivale 800 ที่เราได้เคยขี่ไปก่อนหน้าทุกอย่าง นั่นจึงทำให้ฟีลลิ่งโดยรวม นั้นคล้ายคลึงกันมาก รวมถึงตัวเลขเคลม Top Speed ที่ยังเคลมออกมาเท่ากันอีกด้วย
ลองเลือก Engine Map S ขี่กันก่อนเลย หลังจากตบคันเกียร์ลงตำแหน่งเกียร์ 1 ปล่อยคลัช เพียงเบาๆ รถก็พุ่งไหลออกไปด้วยแรงฉุดของกำลังเครื่องที่มีอยู่เต็มเปี่ยม และแค่เปิดคันเร่งเบาๆ ก็สัมผัสได้ถึง Torque ที่มากมาย เพียงพร้อมให้คุณหน้าเชิดได้ตลอดเวลา ซึ่งการขี่ในโหมดนี้ อาจจะยากลำบาก สักหน่อยเมื่อต้องขี่ขณะที่มีผู้โดยสารซ้อน และการขับขี่ในแบบที่เน้นนุ่มนวล สำหรับการขับขี่แบบชิลๆ เรื่อยๆ โดยทั่วไป สามารถขึ้นเกียร์ได้ตั้งแต่รอบ 2,000rpm และการใช้งานในเมืองนั้น ที่รอบเครื่องยนต์ระดับ 7-8,000rpm ก็ถือว่าเพียงต่อการเร่งแซงแล้ว แต่ถ้าต้องการซัดลากยาวๆ เป็น 10,000rpm รอบ ตั้งแต่ออกตัว ก็ยังทำได้ดี เราได้ลองลากเกียร์ 1 ไปถึงราว 10,000rpm ก่อนที่จะงัดขึ้นเกียร์เลยโดยไม่ต้องกำคลัชเพื่อความต่อเนื่องในการส่งกำลัง เราได้เปิด TC ไว้ที่ระดับ 6 พบว่า ด้วยล้อหลังขนาดใหญ่ ทำให้การซัดเร่งออกตัวอย่างรวดเร็วมันทำได้ดี และมั่นใจ อาจมีอาการเหมือนจะ Slip ที่ล้อหลัง แต่ TC ก็ยังช่วยทำให้มันคุมได้อย่างไม่ยากเย็น ซึ่งรู้สึกได้เลยว่า การควบคุมรถเมื่อเปิดคันเร่งหนักๆ Dragster สามารถควบคุมได้ง่ายกว่า Rivale
การขับขี่ที่ตำแหน่งเกียร์ 6 ที่ความเร็วระดับ 120 กม./ชม. และลากขึ้นไปเรื่อยๆ เพียงไม่นานก็มีความเร็วแตะระดับ 170-180 กม./ชม. ได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อใช้ความเร็วสูงกว่านี้ อาจเริ่มเครียดไปบ้างทั้งจากลมปะทะ และแรงฉุดของตัวรถที่จะต้องแนบหนีบต้นขาให้กระชับกับถังน้ำมันไว้ พร้อมงุ้มข้อศอกเข้าหาลำตัว
ด้านอัตราสิ้นเปลือง ที่เราได้ลองวัดคร่าวๆ จากการเติมน้ำมันเต็มถังทั้งหมด 13.54 ลิตร และคำนวณจากระยะทางที่วิ่งไปได้ 246.4 กม. ได้ตัวเลข 18.2 กม./ลิตร สำหรับการเดินทางไกล โดยใช้ความเร็วเฉลี่ย ประมาณ 140 กม./ชม. สลับกับการทำความเร็วสูงบ้าง และ ขับที่ความเร็วประมาณ 100 กม./ชม. บ้างในจังหวะที่รถติด
และ การที่เราได้มีโอกาสอยู่กับมัน ราว 3 วันในช่วงสิ้นปี 2014 ที่ผ่านมา ซึ่งมีอากาศที่เย็นกำลังดี เหมาะสมกับการขี่รถท่องเที่ยว พบว่าไอความร้อนนั้น ไม่ได้รู้สึกออกมามากจนทรมาน แม้ว่าจะขับขี่ในเมือง
ในด้านของการควบคุมรถ แฮนด์ได้ปรับมาใช้เป็นแบบแฮนด์ยึดแผงคอ แต่องศา จะไม่หักงอเข้าหาลำตัวแบบรถสปอร์ต แต่จะกางยื่นยาวออกในรูปแบบแฮนด์บาร์ ซึ่งใน Dragster คันนี้สามารถปรับองศา แฮนด์ได้ 3 ระดับ พร้อมติดตั้งกระจกปลายแฮนด์ ซึ่งสามารถพับเก็บได้เพิ่มความสะดวกเวลาขี่ในเมือง ให้สามารถซอกแซกได้อย่างไม่ยากจนเกินไป แต่ทว่าองศาในการหักแฮนด์นั้นยังหักได้ไม่มากนัก ทำให้เวลาเลี้ยวกลับรถวงแคบ หรือการหักเพื่อเปลี่ยนช่องเลนขณะรถติด อาจลำบากอยู่ และด้วยความรู้สึกการถ่ายเท น้ำหนัก ที่อาจดูบาลานซ์แปลกไปบ้าง ซึ่งน้ำหนักจะทิ้งลงที่บริเวณถังน้ำมันเสียเยอะ โดยด้านหน้า และท้ายนั้นจะดูมีน้ำหนักเบา และอีกจุดที่อาจดูรำคาญ ก็คือแคร้งเครื่องยนต์ทางด้านขวา ที่ยื่นออกมาทำให้ในจังหวะที่ใช้เบรกเท้า นั้นยังโดนกับแข้งขาขวาอยู่
ระบบกันสะเทือน ช่วงล่างหน้า ใช้โช้คอัพ เทเลสโคปิคหัวกลับ MARZOCCHI ขนาด 43 มม. สามารถปรับ Rebound-Compression Damping และ Spring Preload ได้ด้วยการขันที่หัวโช้ค ส่วนด้านหลังเป็นโช้คอัพเดี่ยวพ่วงซัพแท้งค์ SACHS สามารถปรับตั้งค่าได้เต็มพิกัดเช่นเดียวกัน สวิงอาร์มหลังเดี่ยว ใช้แบบอลูมีนัม
การเซ็ตช่วงล่าง แบบเดิมๆ โดยที่เราไม่ได้ปรับตั้งใดๆ มันช่างเหมาะสม ลงตัวสำหรับการขับขี่ออกทริปที่ใช้ความเร็วค่อนสูงไป แต่เมื่อขับขี่ในเมือง ก็ยังพบว่ามันมีอาการแข็งไปบ้างเล็กน้อย จากช่วง Damp และ Rebound ที่สั้น แต่มันให้ความรู้สึกเฟิร์มมั่นคง หนักแน่น รวมถึงการซับแรงที่ดีเยี่ยม
ระบบเบรก ด้านหน้าใช้จานดิสก์คู่ขนาด 320 มม. พร้อมคาลิปเปอร์เรเดียล 4 ลูกสูบจาก Brembo ปั๊มเบรกบนใช้งานของ Nissin ด้านหลังใช้จานดิสก์เดี่ยวขนาด 220 มม. พร้อมคาลิปเปอร์ 2 ลูกสูบ Brembo เช่นกัน โดยในคันนี้ติดตั้งระบบ ABS จาก Bosch มาให้ด้วย ซึ่งถ้าไม่ชอบใจก็สามารถเลือกปิดได้ แม้จะไม่ใช่คาลิปเปอร์เบรกงาน Monobloc ซึ่งถ้าติดตั้งมาให้ น่าจะดูหล่อ และเปี่ยมสมรรถนะมากกว่านี้ แต่สำหรับการใช้งานเบรกเรเดียลนี้ ก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีในระดับหนึ่ง ในการหยุดชะลอความเร็ว แตะก้านเบรกเข้าเพียงเล็กน้อยก็สามารถสัมผัสถึงความหนึบแน่นเบรกอยู่ติดปลายนิ้วได้ แต่ มันจะให้ความรู้สึกของแป้นเบรกที่หนักแน่น และดูแม่นยำมากขึ้นเมื่อปิดระบบ ABS ทิ้งซะ!
สรุป MV Agusta Brutale 800 Dragster รถแนว Dragster ระดับ Masterpiece ที่ไม่ว่าคุณจะขี่ไปไหนมาไหน ก็มีแต่คนมอง (ส่วนหนึ่งมาจากเสียง) และ ในการขับขี่ออกมาแต่ละครั้ง จะต้องมีคนถามเสมอว่ามัน คือรถอะไร? ราคาเท่าไร? ไม่ว่าจะไปจอดเติมน้ำมัน แวะพักในปั๊ม หรือแม้กระทั่งติดไฟแดง ด้วยสรีระที่ดูไม่ใหญ่โต น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์กลางๆ ไม่มากนัก รวมไปถึงการขับขี่ในเมืองที่ยังพอซอกแซกได้ มันจึงยังพอให้ความสนุกแม้จะขี่ในเมืองได้อยู่
ด้านสมรรถนะชื่อชั้นของ MV Agusta บล๊อก 800 ที่มีกำลังถึง 125 แรงม้า แรงเพียงพอสำหรับขับขี่ออกทริป และ Torque ที่หนักหน่วง น่ากลัวจนคุมยากไปในบางครั้งเมื่อใช้ Mode Sport มันก็สร้างความเร้าใจ ที่พร้อมจะพุ่งทะยานเร่งแซง ระดับเดียวกันกับรถ Supercar (กำลังแรงม้าจะอยู่ในระดับรถยนตื 1.6 ลิตรเท่านั้น)
อีกทั้งเทคโนโลยีอันเลื่องชื่อที่ติดตั้งมาให้มากมายของ MV Agusta ก็ทำให้มันดูไม่ด้อยไปกว่ารถคันใด แต่กลับยังรู้สึกว่ารถยังขาดๆ อะไรไป เพราะ ไม่มีไฟฉุกเฉิน และเกจ์วัดระดับน้ำมันมาให้ ซึ่งถ้าเพิ่มเติมมาให้ในอีก 2 จุดนี้น่าจะยอดเยี่ยมสมราคา 1.1 ล้านบาท อย่างแน่นอน
ขอขอบคุณ บริษัท โมโต วิชั่น สำหรับรถ MV Agusta Brutale 800 Dragster คันสีเทาด้าน Matt Metallic Grey
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ชมภาพเพิ่มคลิ๊ก
ความคิดเห็น