[ลองขับ] 2015 เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี300บลูเทคไฮบริด เอสเตท ขับแล้วไม่อยากคืน!!!

หนึ่งในรถยนต์ที่ขับแล้วแทบไม่อยากจะส่งคืน สำหรับ 2015 เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี300บลูเทค ไฮบริด เอสเตท ที่ค่ายตราดาวอย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์สั่งนำเข้ามาจำหน่ายแบบสำเร็จรูปทั้งคัน ในราคาจำหน่ายที่แพงกว่ารุ่นซีดานที่ประกอบในประเทศเล็กน้อย

แม้รูปทรงและหน้าตาจะประหวัดไปทางรถครอบครัวที่ต้องการเน้นการขนผู้โดยสารและสัมภาระจำนวนมาก แต่การติดตั้งชุดแต่งเอเอ็มจีและมาพร้อมเครื่องยนต์ที่ดีที่สุดในยุคนี้ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ก็ทำให้ตัวรถสามารถจับกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย แม้สนนราคาจะแรงปลายไปถึง 3.39 ล้านบาท

ราคาที่แพงกว่าพี่น้องร่วมตระกูลซี-คลาส ซีดานอยู่หลักไม่กี่แสน ทำให้มันมีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย สำหรับพื้นที่ที่ได้เพิ่มมากขึ้น ขณะที่การตอบสนองต่อการใช้งานนั้นเป็นไปในแนวทางของรถเอสเตท ที่น่าสนใจก็คือ เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงความสนุกสนานในการขับขี่อันเป็นหัวใจของรถกลุ่มนี้ไว้อย่างเหนียวแน่น

แม้จะติดตั้งชุดแต่งรอบคันรถจนทำให้รถคันนี้ดูเตี้ยไปมากพอสมควร โดยจำเป็นที่จะต้องเพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่มากขึ้น แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะในถนนที่เป็นหลุมบ่อ รถสามารถผ่านได้อย่างสบาย แต่เวลาเจอกระดูกงูสูง ๆ อาจจะต้องหย่อนช่วยรถสักเล็กน้อย

เครื่องยนต์ที่แรงตั้งแต่จุดเริ่มออกตัวรถและส่งกำลังได้อย่างต่อเนื่องผ่านเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ทำความเร็วปลายทะลุ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้สบาย แถมยังไม่ออกอาการโคลงเคลงให้หวาดเสียว เรียกว่าใช้งานได้ดีทั้งในโหมดสปอร์ตหรือโหมดครอบครัว

ถ้าเงินถึงเมื่อไหร่ ได้ถอยมาจอดในโรงรถสักคันแน่นอน!!!

รูปทรงเอสเตื สวยงาม จุของเยอะ!!!

การออกแบบตัวถังภายนอกนั้น เรียกได้ว่าแทบจะตัดครึ่งหน้าของซี-คลาส เวอร์ชั่นซีดานกันแล้วยกมาเลยทีเดียว แต่ปรับเรื่องของชุดแต่งกันเล็กน้อย ทำให้ตัวรถดูเตี้ยกว่า มาพร้อมล้อแมกซ์ขนาด 18 นิ้ว ใหญ่ที่สุดในคลาสของค่ายนี้

ระบบไฟหน้าแบบอัจฉริยะถูกติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมด้วยไฟส่องสว่างในเวลากลางวันที่ออกแบบมาอย่างลงตัวสวยงาม ขณะที่เส้นสายแม้จะหยิบยืมมาจากรุ่นซีดาน แต่เมื่อปรับให้เข้ากับตัวถังทรงเอสเตท ก็ให้บรรยากาศที่โอ่โถง หรูหราผสมบึกบึนอยู่เหมือนกัน

แม้จะเข้าใจได้ว่านี่คือการยืดตัวถังออกไปเป็นเอสเตทเพื่อให้ได้พื้นที่บรรทุกสัมภาระ แต่ต้องยอมรับว่าทีมออกแบบของเมอร์เซเดส-เบนซ์นั้นแน่จริงที่ไม่ได้ทิ้งกลิ่นอายและเอกลักษณ์ของความเป็นซี-คลาสไปแม้แต่น้อย บรรยากาศที่คุ้นเคยในรุ่นซีดานจึงมีให้สูดกันได้อย่างเต็มที่

สิ่งที่อาจจะต้องระวังมากเป็นพิเศษก็คือด้วยการติดตั้งล้อแมกซ์ใหญ่ที่มาพร้อมยางบาง และติดตั้งชุดแต่งเอเอ็มจีรอบคัน การขับขี่ก็อาจจะต้องระมัดระวังกันมากเป็นพิเศษ เพราะถนนและฟุตบาทเมืองไทยก็สูงเอาเรื่องอยู่ ถ้าไม่ระวังก็อาจจะเป็นรอยได้ง่าย ๆ เหมือนกัน

เครื่องยนต์เลอเลิศ ทั้งแรงทั้งประหยัด

เครื่องยนต์รุ่นนี้ของเมอร์เซเดส-เบนซ์นั้น ได้รับการทดสอบและรับรองมาอย่างนักหนา ถึงความดีเลิศเลอที่เหนือกว่าเครื่องยนต์หลาย ๆ รุ่นทั้งของตัวเองและของคู่แข่ง จนเมอร์เซเดส-เบนซ์ถึงกับนำมาใช้เป็นเครื่องยนต์หลักในกลุ่มสินค้าหลักทั้ง 3 คลาสที่จำหน่ายทั่วโลก

เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบแถวเรียง ขนาด 2,143 ซีซี. ที่ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้าที่ 3,800 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,600-1,800 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลัง 27 แรงม้า และแรงบิด 250 นิวตัน-เมตร

ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 7จี-ทรอนิก พลัส ตามสเปกระบุว่าใช้เวลาวิ่งจาก 0-100 กิโลเมตรตต่อชั่วโมงในเวลาแค่ 6.7 วินาที พร้อมทำความเร็วสูงสุด 238 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยเคลมอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ยที่ 23.8-26.3 กิโลเมตรต่อลิตร

ประตูที่ 5 และน้ำหนักห้อยท้ายที่เพิ่มเข้ามา ไม่ได้มีผลอะไรต่อการขับขี่แม้แต่น้อย การส่งกำลังเครื่องยนต์ยังคงไหลลื่นปรื๊ดปร๊าดเหมือนเดิม และเป็นรถที่ขับได้อย่างสนุกสนาน จนเมื่อเหลือบตามองมาตรวัดความเร็วอาจจะตกใจว่าเร็วขนาดนี้แล้วหรือ

ภายในหรูหรา โอ่อ่าจุของเต็มที่

ห้องโดยสารของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในยุคหลัง ๆ นั้น พัฒนาขึ้นมาอย่างเต็มที่ จนแม้แต่ในกลุ่มรถเล็กอย่างซี-คลาสก็มีของเล่นให้ใช้งานไม่แพ้รุ่นพี่อย่างอี-คลาสหรือเอส-คลาสแม้แต่น้อย รวมไปถึงการเลือกใช้วัสดุที่เรียกได้ว่าหรูเนี๊ยบเกินใคร

แผงคอนโซลหน้าเน้นโทนสีเข้มตัดสีเงินเมทัลลิกเพิ่มอารมณ์สปอร์ตให้เต็มพิกัด ตัดกับเบาะโดยสารและการบุหนังในห้องโดยสารสีแดง ซึ่งทำให้ห้องโดยสารของซี-คลาส เอสเตทคันนี้ดูตัดกันอย่างลงตัว และดูไม่เบื่อง่ายจนเกินไปนัก

อุปกรณ์ติดตั้งมาอย่างเต็มพิกัด จอแสดงผลขนาด 7 นิ้ว ควบคุมผ่านแป้นควบคุมแบบสัมผัสที่ติดตั้งไว้ที่พื้นที่ตรงกลางระหว่างเบาะคู่หน้า 2 ตัว พวงมาลัยแนวสปอร์ตแบบมัลติฟังชั่นส์ ช่วยให้การควบคุมการใช้งานต่าง ๆ ในรถทำได้อย่างง่ายดาย

มาพร้อมซันรูฟที่ควบคุมการเปิดด้วยไฟฟ้า ห้องบรรทุกสัมภาระตอนหลังโอโถ่ง แบกถุงกอล์ฟหรือกระเป๋าเดินทางได้หลายใบ และหากไม่พอ ยังสามารถพับเบาะที่นั่งตอน 2 ลงได้จากด้านท้ายรถด้วบการกดสวิตช์ที่ติดตั้งในห้องบรรทุกสัมภาระได้ทันที

ขับก็มัน นั่งก็สบาย แบกของไปไหนได้ทุกที่

หลาย ๆ คนที่เห็นผมขับรถคันนี้ไปไหนมาไหนมักจะถามว่ารถคันนี้ควบคุมยากหรือไม่ เพราะหลาย ๆ คนอาจจะเข้าใจว่ารถเอสเตทน่าจะขับยากกว่ารถซีดาน ซึ่งเอาจริง ๆ ก็ต้องกะระยะมากขึ้นเล็กน้อย แต่การขับขี่ในภาพรวมถือว่าไม่ได้แตกต่างอะไรมาก

แม้จะเป็นรถเล็กในกลุ่มซี-คลาส แต่พื้นที่การโดยสารนั้นให้มาอย่างสะดวกสบาย ตำแหน่งการวางเข่าของผู้โดยสารทั้งตอนหน้าและตอนหลังทำได้อย่างลงตัว เบาะที่นั่งรองรับน้ำหนัตัวได้เป็นอย่างดี แถมนั่งนาน ๆ ก็ไม่เกิดอาการย้วยของหนังแต่อย่างใด

แต่หากคุณเป็นคนขับ สิ่งที่คุณจะปลาบปลื้มไปกับรถคันนี้มากกว่าก็คือการตอบสนองของเครื่องยนต์ที่รวดเร็วทันใจ ไม่ได้ออกแนวดุดันแบบปรื๊ดปร๊าดไร้สาระ แต่เป็นในแนวของการตอบสนองตามคำสั่งของการกระทืบคันเร่งเสียมากกว่า

ในย่านความเร็วต่ำถึงปานปลาง หากต้องการเร่งความเร็วกระทันหัน อาการของรถจะออกตัวแบบตึง ๆ ทันทีเพื่อให้รู้สึกถึงการทำงานของเครื่องยนต์ และเชื่อเถอะว่าเผลอแผลบเดียวที่ละสายตาไปจากมาตรความเร็วและกดคันเร่งไปเรื่อย มองมาอีกทีจะเห็นความเร็วเหนือกว่าที่เราคาดไว้

เมอร์เซเดส-เบนซ์นั้นอัดอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยให้กับรถคันนี้แบบเต็มพิกัด ไม่ว่าจะเป็นระบบป้องกันก่อนหรือหลังเกิดอุบัติเหตุ ที่ไม่ต้องเสียเวลาท่องจำ เพราะหากเกิดเหตุกระทันหัน ระบบต่าง ๆ ก็จะพยายามช่วยกันให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้โดยสารมากที่สุด

ความดีงามที่ไม่อาจจะละเลยไม่กล่าวถึงได้ก็คือเรื่องของอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันที่ทำได้ดีสมชื่อเครื่องยนต์บลูเทคไฮบริด แม้จะสิ้นเปลืองกว่าตอนอยู่ในรุ่นซีดานเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับสมรรถนะและทุกอย่างแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องติติงอยู่ดี

ขับเสร็จแล้วไม่อยากคืนเลยจริง ๆ นะ ให้ตายสิพับผ่า!!!

รายละเอียดทางเทคนิค 2015 เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี300บลูเทคไฮบริด เอสเตท

ราคาจำหน่าย	3.39 ล้านบาท
เครื่องยนต์	ดีเซล 2,143 ซีซี. ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า
กำลังสูงสุด	204 แรงม้าจากเครื่องยนต์และ 27 แรงม้าจากมอเตอร์ไฟฟ้า
แรงบิดสูงสุด	500 นิวตันเมตรจากเครื่องยนต์และ 250 นิวตันเมตรจากมอเตอร์ไฟฟ้า
ระบบส่งกำลัง	อัตโนมัติ 7 สปีด พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์
อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.	6.7 วินาที
ความเร็วสูงสุด	238 กม./ชม.