ดราม่าขั้นเทพ!!! ส.ธุรกิจก๊าซรถยนต์ออกตัวค้านนายกฯ เต็มพิกัด หลังเปรยยกเลิกแอลพีจี

น่าจะกลายเป็นหนังม้วนใหญ่ระดับชาติ เมื่อสมาคมธุรกิจก๊าซรถยนต์ ได้รวบตัวสมาชิกแถลงข่าวคัดค้านการที่นายกรัฐมนตรีออกมาให้สัมภาษณ์ว่าอาจจะพิจารณายกเลิกการใช้งานก๊าซแอลพีจีภาคขนส่งภายในอีก 1-2 ปีข้างหน้า

ทั้งนี้ เป็นที่รู้กันดีว่ารัฐบาลที่ผ่านมาหลายรัฐบาลได้พยายามยกเลิกการสนับสนุนการใช้งานแอลพีจี เพื่อที่จะทำให้ผู้ประกอบการขนส่งหันมาใช้งานเอ็นจีวีเพื่อทดแทน อย่างไรก็ตาม แอลพีจีที่สะดวกสบายกว่าในการใช้งานก็ยังได้รับความนิยมสูงกว่าอยู่ดี

สุรศักดิ์ นิตติวัฒน์ ประธานกรรมการ บริษัท เอนเนอร์จี รีฟอร์ม จำกัด ในฐานะนายกสมาคมธุรกิจก๊าซรถยนต์ไทย เปิดเผยว่าจากการที่กระทรวงพลังงานออกมาให้ข่าวว่าจะมีการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตรก๊าซเอ็นจีวี ปรับเพิ่มภาษีป้ายรถยนต์และปรับเพิ่มภาษีนำเข้าอุปกรณ์ ก่อให้เกิดความสับสนเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ ผู้บริโภคไม่มั่นใจถึงแนวทางที่ชัดเจนของรัฐบาลในการสนับสนุนด้านพลังงาน ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจการติดตั้งก๊าซหดตัวลง 20-30% ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งตนอยากให้นายกรัฐมนตรีเข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการในเรื่องนี้

"ผมไม่แน่ใจว่าท่านนายกฯ ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องหรือไม่ในเรื่องที่เกิดขึ้น อย่างเช่น การที่แอลพีจีภาคขนส่งไม่ได้มีการใช้งานมากที่สุด (26%) ซึ่งยังน้อยกว่าภาคปิโตรเคมี (37%) และภาคครัวเรือน (29%) ขณะที่การปรับขึ้นภาษีเฉพาะภาคขนส่งก็เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม"

ดังนั้น หากมีการปรับขึ้นภาษีต่าง ๆ จริง ก็จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการติดตั้งกว่า 1,000 ราย สถานีบริการแอลพีจีกว่า 2,000 แห่ง รวมไปถึงรถยนต์ที่ติดตั้งก๊าซแอลพีจีกว่า 1.5 ล้านคันทั่วประเทศ ซึ่งคิดเป็นเม็ดเงินที่ส่งผลกระทบกว่า 4-5 หมื่นล้านบาท

สมาคมฯ จึงเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดการแข่งขันเสรีให้กับพลังงานรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการเพิ่มการผลิตแอลพีจีในประเทศ จากที่มีการผลิตอยู่ 970 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จากกำลังผลิตรวม 2,500 ล้านลูกบาศก์ฟุตจากโรงแยกก๊าซ 6 แห่ง ทั้งที่ประเทศไทยมีความสามารถในการหาก๊าซสูงถึง 4,700 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

"ตรงนี้เราเสนอให้ปตท เปิดโรงงานผลิตเพิ่ม หากยังไม่เพียงพอ ก็ควรเปิดให้มีการนำเข้าก๊าซเพิ่มเติมได้ โดยอิงราคาจำหน่ายโลก ซึ่งเรามองว่ากลไกราคาควรเป็นไปอย่างเสรี สุดท้ายคืออยากเรียกร้องให้มีการตรวจสภาพรถแอลพีจีทุกปี เพื่อเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน"

ทั้งนี้ สมาคมฯ ได้เปิดเวบไซต์ให้ประชาชนเข้ามาร่วมลงชื่อคัดค้านการยกเลิกการใช้งานแอลพีจี ซึ่งตั้งเป้าหมายจะมีผู้มาลงชื่อกว่า 1 ล้านคน ก่อนที่จะนำรายชื่อไปเสนอให้กับหน่วยงานภาครัฐต่อไปในอนาคต