คนที่ติดตามข่าวสารในวงการยานยนต์โลกน่าจะทราบว่า ลัมบอร์กินี่กำลังพัฒนารถเอสยูวีรุ่นใหม่ “อูรุส” (Urus) เตรียมออกทำตลาดเคียงข้างกับอเวนทาดอร์และฮูราคาน ถือเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของค่ายรถซูเปอร์คาร์ตรากระทิง
ก่อนหน้านี้ ลัมบอร์กินี่สร้างชื่อเสียงมาจากการทำตลาดรถซูเปอร์คาร์ทั้งสิ้น คำถามคือทำไมพวกเขาต้องหันมาสร้างรถเอสยูวีที่สุ่มเสี่ยงต่อการลดทอนชื่อเสียงการเป็นค่ายรถสมรรถนะสูง สเตฟาน วินเคลแมนน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลัมบอร์กินี่มีคำตอบ
“เซกเมนท์รถเอสยูวีกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก” วินเคลแมนน์กล่าว พร้อมกับชี้ว่าดีมานด์รถเอสยูวีขยายตัวถึง 88% นับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมาซึ่งถือว่ารวดเร็วกว่าเซกเมนท์อื่น โดยปัจจุบันรถอเนกประสงค์มียอดขายคิดเป็นสัดส่วน 19% ของยอดขายรถทุกกลุ่มทั่วโลกและกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ที่สำคัญก็คือยอดขายรถเอสยูวียังกระจายการเติบโตครอบคลุมเกือบทุกภูมิภาคทั่วโลก ทั้งอเมริกา (ตลาดสำคัญที่สดของลัมบอร์กินี่) ยุโรป/ตะวันออกกลาง/แอฟริกา รวมถึงเอเชีย แปซิฟิก นั่นหมายถึงโอกาสการขยายฐานลูกค้าทั่วโลก
ลัมบอร์กินี่คาดการณ์ว่าเมื่ออูรุสออกจำหน่ายจริง รถซูเปอร์เอสยูวีรุ่นนี้จะกระตุ้นยอดขายเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวจากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 2,500 คันต่อปีให้เป็น 5,000 คันต่อปี ขณะเดียวกัน รถเอสยูวีซึ่งถือเป็นผลิตภัณฑ์ลำดับที่สามของลัมบอร์กินี่ยังจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วย
วินเคลแมนน์ยืนยันว่า รถเอสยูวีมีดีเอ็นเอความเป็นลัมบอร์กินี่อยู่เต็มตัว “แบรนด์ของเรามีประวัติศาสตร์การผลิตรถหลากหลายประเภท ทั้งจีที ซูเปอร์คาร์ รถแข่งและกระทั่งรถเอสยูวี ทั้งนักออกแบบและทีมวิศวกรของเราตระหนักดีว่าเวลานี้ตลาดรถเอสยูวีเปิดกว้างอย่างมาก”
“เราทำงานอย่างหนักนานหลายเดือนเพื่อพัฒนาโครงสร้างธุรกิจสำหรับรถเอสยูวีเพื่อให้โฟล์คสวาเกน กรุ๊ปอนุมัติ เพราะเราเชื่อมั่นว่ามันจะประสบความสำเร็จและโรงงานที่เหมาะสมที่สุดในการผลิตคือที่ Sant'Agata Bolognese” วินเคลแมนน์กล่าว “เราไม่ได้แค่เพิ่มสายการผลิตไปเท่านั้น แต่เราสร้างกระบวนการขึ้นมาใหม่ทั้งหมด”
สำหรับกลุ่มลูกค้ารถเอสยูวีของลัมบอร์กินี่ ทางวินเคลแมนน์เผยว่า “จะครอบคลุมทั้งลูกค้าซูเปอร์คาร์ที่เคยขับรถเอสยูวีของแบรนด์อื่น รวมถึงกลุ่มครอบครัวและลูกค้าทั่วไปที่ไม่เคยใช้รถของลัมบอร์กินี่มาก่อน”
ความคิดเห็น