จะต้องบอกว่านี่เป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์สำคัญของวงการ MotoGP เมื่อวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมานั้น มาร์ค มาร์เกวซ นักบิดชื่อดังจากทีม เรปโซล ฮอนด้า ควบเจ้ารถคันเก่งอย่าง RC213V คว้าชัยในรายการ “อินเดียนาโปลิส กรังด์ ปรีซ์” เข้าป้ายช่วง 4 รอบสุดท้าย ด้วยเวลา 41 นาที 55.371 วินาที เมื่อแข่งครบ 27 รอบ ทำให้เป็นชัยชนะครั้งที่ 700 ของทีมฮอนด้า นับตั้งแต่ชัยชนะครั้งแรกในการลงแข่งขันกรังค์ ปรีซ์ เมื่อ ค.ศ. 1961
สำหรับจุดเริ่มต้นในการเดินทางอันยาวนานของทีมฮอนด้านั้นจะต้องย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1954 เมื่อทางคุณ โซอิจิโร่ ฮอนดะ (Soichiro Honda) ผู้ก่อตั้งค่ายรถฮอนด้า ได้แสดงเจตจำนงอย่างชัดเจนว่าจะเข้าร่วมการแข่งขัน มอเตอร์ สปอร์ต ระดับพรีเมี่ยม ในรายการหฤโหดอย่าง Isle of Man TT ซึ่งเขาตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องกลายเป็นเจ้าแห่งความเร็วของโลกให้ได้
โดยใช้เวลา 5 ปีหลังจากนั้นในการพัฒนาและวิจัยเครื่องยนต์ รวมไปถึงพวกเทคโนโลยีต่างๆ สำหรับการแข่งขัน ที่จะต้องมีศักยภาพสูงกว่ารถมอเตอร์ไซค์ทั่วไป และแล้วทางค่ายฮอนด้าก็ได้กลายเป็นรถสัญชาติญี่ปุ่นโรงงานแรก ที่ได้เข้าร่วมในการแข่งขัน Isle of Man TT
หลังจากนั้นอีก 1 ปีต่อมาเมื่อ ค.ศ. 1960 ทางค่ายฮอนด้าเองนั้นก็ได้เข้าร่วมชิงชัยในคลาส 125cc และ 250cc กับรายการ FIM Road Racing World Championship และก้าวที่สำคัญของฮอนด้านั้นก็คือในปี 1961 เมื่อ ทอม ฟิลลิส (Tom Phillis) นักบิดจากแดนจิงโจ้ ออสเตรเลีย คว้าแชมป์ครั้งแรกให้กับทีมฮอนด้าในรายการ Spanish Grand Prix World Championship กับรถของฮอนด้าในคลาส 125cc ซึ่ง ทอม ฟิลลิส เองนั้นนับได้ว่าเป็นนักบิดคนแรกของทางค่ายที่ไม่ได้เป็นชาวญี่ปุ่น
หลังจากนั้นทางฮอนด้ายังได้รุกหน้าต่อไปโดยการส่งรถเข้าแข่งในคลาส 350cc ในปี 1962 และพัฒนาต่อไปสำหรับรถคลาส 500cc เพื่อลงแข่งขันในปี 1966 รวมกับคลาสอื่นๆ อีก 4 คลาสด้วยกัน และในปีนั้นเองทางฮอนด้าก็ได้คว้าชัยทั้ง 5 คลาสที่ส่งลงแข่งขัน นับเป็นการประกาศความยิ่งใหญ่ในขณะนั้นของทางค่ายให้โลกได้รับรู้
ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นี้ทำให้ทางค่ายฮอนด้านั้นตระหนักดีว่าด้วยเทคโนโลยีชั้นยอดที่ถูกบรรจุเข้าไปในรถแข่งของทางค่ายและช่วยให้คว้าชัยได้นั้น ควรจะถูกนำไปพัฒนาให้กับรถที่วางขายในตลาดด้วย ดังนั้นแล้วหลังจากหมดฤดูกาลแข่งขันในปี 1967 ทางฮอนด้าเองก็ได้หยุดพักโรงงานสำหรับพัฒนารถที่ใช้ในการแข่งลงชั่วคราว รวมไปถึงไม่ได้เข้าร่วมในรายการแข่งขัน กรังด์ ปรีซ์ อีกเลยด้วย (ก่อนจะกลับมาร่วมแข่งขันอีกครั้งใน 11 ปีให้หลัง) เพื่อมุ่งมั่นในการพัฒนาถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับรถที่จะวางขายทั่วไปเป็นหลัก ซึ่งทางฮอนด้าเองคว้าชัยไปทั้งหมด 138 สนามจากการแข่งขัน กรังด์ ปรีซ์ ในขณะนั้น
และต่อมาในปี 1979 นั้นทางฮอนด้าได้กลับเข้ามาร่วมแข่งขันในรายการ FIM Road Racing World Championship อีกครั้งในคลาส 500cc หลังจากนั้น 3 ปี นักบิดชาวอเมริกาอย่าง เฟรดดี้ สเปนเซอร์ (Freddie Spencer) ก็สามารถคว้าชัยในรอบ 7 ที่ประเทศเบลเยี่ยมได้ ในปี 1982 ซึ่งรถที่เขาใช้ในการแข่งขันนั้นก็คือเจ้า Honda NS500 ซึ่งเป็นชัยชนะครั้งแรกของทางค่ายฮอนด้า หลังจากที่กลับเข้ามาร่วมการแข่งขัน กรังด์ ปรีซ์ อีกครั้ง
ทางค่ายฮอนด้าเองยังคงเดินหน้าเก็บชัยอย่างต่อเนื่อง โดยอีกก้าวที่สำคัญก็คือการคว้าชัยในรายการ กรังด์ ปรีซ์ เมื่อปี 2001 ซึ่งนับเป็นชัยชนะครั้งที่ 500 ของทางค่าย โดยฝีมือของยอดนักบิดชาวอิตาลี่ ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีอย่าง วาเลนติโน่ รอซซี่ (Valentino Rossi) ในคลาส 500cc กับรายการ season-opening Japan Grand Prix
และต่อมาในปี 2005 นักบิดชาวสเปนอย่าง ดานี่ เปโดรซ่า (Dani Pedrosa) ก็คว้าชัยให้กับฮอนด้าอีก ในการแข่งขันที่ออสเตรเลีย กับรถคลาส 250cc โดยควบเจ้า Honda RS250RW เข้าเส้นชัย ทำให้ทางค่ายฮอนด้าเป็นแชมป์ครั้งที่ 600 ในการแข่งขัน กรังด์ ปรีซ์
และล่าสุดอย่างที่เราทราบกันดีว่า มาร์ค มาร์เกวซ (Marc Marquez) นักบิดดาวรุ่งวัย 22 ปี ชาวสเปน ได้คว้าชัยเป็นครั้งที่ 700 ให้กับทีมฮอนด้า ซึ่งเขาได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า "การแข่งขันผ่านไปได้ด้วยดี ซึ่งทางเราได้พยายามอย่างเต็มที่ และท้ายที่สุดเราก็เป็นฝ่ายชนะ และแน่นอนว่าผมภาคภูมิใจอย่างมากกับชัยชนะครั้งที่ 700 ของทีม ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่และพิเศษมากๆ เลยทีเดียว"
ยิ่งไปกว่านั้นทางค่าย Honda ยังเพิ่งจะกวาดแชมป์ในรายการ Asia Road Racing Championship สนามที่ 4 โดยฝีมือของนักบิดชาวไทยเราอย่าง "ชิพ" นครินทร์ อธิรัฐภูวภัทร์ นักบิดสังกัดทีม เอ.พี.ฮอนด้า เรซซิง ไทยแลนด์ ที่ทำผลงานยอดเยี่ยม จากการลงแข่งขันที่ สนาม ช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ หลังประกาศศักดาคว้าแชมป์รุ่น เอเชีย โปรดักชัน ได้ถึง 2 เรซติดต่อกัน จากรถรุ่น CBR300R โมเดลใหม่ล่าสุดในคลาส 300 จากทางค่ายฮอนด้านั่นเอง
แน่นอนว่าทางฮอนด้าเองจะยังไม่หยุดเพียงแค่นี้ สถิติมีไว้ทำลาย เชื่อว่าในอนาคตเราจะได้เห็นการคว้าชัยจากทางฮอนด้ามากขึ้นอีกเรื่อยๆ และที่สำคัญก็คือทางค่ายเองนั้นได้มีแนวทางในการพัฒนาเทคโนโลยีมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีต เพื่อถ่ายทอด DNA จากการแข่งขันที่ฮอนด้าพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทำได้ดีขนาดไหน ลงมาสู่รถสายพันธ์สปอร์ตรุ่นต่างๆ ของทางค่ายอย่างตระกูล CBR ที่วางจำหน่ายกันในตลาด ซึ่งไล่ไปตั้งแต่ CBR150R, CBR300R, CBR500R, CBR650F และรุ่นใหญ่อย่าง CBR1000RR (ซึ่งสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.aphonda.co.th) ควบคู่ไปกับการชิงชัยในรายการ กรังด์ ปรีซ์ ที่ทวีความเข้มข้นในการแข่งขันสูงมากขึ้นเรื่อยๆ
CREDIT รูปภาพจาก hondaracingcorporation.com, hondaofcartersville.com, motorsportretro.com, pinterest.com, motorcyclespecs.co.za, vavel.com, aphonda.co.th
ความคิดเห็น