ถือเป็นมวยไซส์เฮฟวี่เวตที่สมน้ำสมเนื้ออย่างมาก สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7 และเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส ล่าสุด ค่ายรถจากแคว้นบาวาเรียส่งซีรีส์ 7 รุ่นใหม่ที่ทำให้แบรนด์จากสตุทการ์ทต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
ถึงแม้เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาสจะออกมาทำตลาดล่วงหน้ามาก่อนหลายปี แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเสียเปรียบเรื่องความสดใหม่ เพราะชื่อชั้นแบรนด์ดาวสามแฉกยังคงแข็งแกร่งทั้งในตลาดไทยและทั่วโลก เราลองไปชมกันว่าทั้งสองรุ่น มีความโดดเด่นอะไรกันบ้าง
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส
แน่นอนว่าโมเดลระดับแฟล็กชิพอย่างเอส-คลาสย่อมมาพร้อมความหรูหรารอบคัน ทางเมอร์เซเดส-เบนซประกาศว่าเอส-คลาสใหม่คือความทะเยอทะยานสู่การเป็นยานยนต์ที่ดีที่สุดในโลก (The best automotive in the world) ด้วยปัจจัยทางด้านวิศวกรรมที่สำคัญ 3 ประการ ประกอบไปด้วย การขับเคลื่อนอย่างฉลาดล้ำ เทคโนโลยีแห่งความประหยัด และสัมผัสแห่งความหรูหรา พร้อมก็อปปี้การตลาดที่ค่ายรถรายอื่นอาจหมั่นไส้เอาได้ง่ายๆ อย่าง “ดีที่สุดหรือก็ไม่มีเลย” (The best or nothing)
ในแง่มุมของสัมผัสที่หรูหรานั้น แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนที่การออกแบบภายในของตัวรถ แสงไฟเป็นแบบ LED เต็มรูปแบบที่ปรับได้ 7 สีและ 5 ระดับ ตกแต่งด้วยลายไม้ sunburst brown myrtle ที่มีความมันเงาเป็นพิเศษ มีหน้าจอแสดงผล Comand Online ขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ระบบเครื่องเสียงรอบทิศทางของ Burmester พร้อมลำโพง 13 ตัว ส่วนเบาะที่นั่งด้านหลังเป็นแบบแยกส่วนเพื่อความเอ็กซ์คลูซีฟ นอกจากนี้ ในค็อกพิทจะมีกระบวนการไอออนไนซ์เพื่อให้อากาศมีความบริสุทธิ์ตลอดการเดินทาง
ในแง่ของความปลอดภัยโดดเด่นด้วยระบบ PRE-SAFE® ที่เริ่มใช้มาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว และต่อเนื่องมากับระบบ DISTRONIC PLUS ที่ให้ผลลัพธ์ออกมาที่มิติใหม่ของการขับขี่ เมื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยถูกควบรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ เรียกว่าการขับเคลื่อนอย่างฉลาดล้ำ ซึ่งระบบใหม่ที่พัฒนาเข้ามาช่วยให้เอส-คลาสใหม่ สะดวกสบายและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
ขุมพลังขับเคลื่อนเป็นเทคโนโลยีบลูเทคไฮบริด แบ่งเป็นรุ่นย่อยเอส300 บลูเทค ไฮบริด เอ็กซ์คลูซีฟและเอส300 บลูเทค ไฮบริด เอเอ็มจี พรีเมียม เครื่องยนต์ดีเซลแถวเรียง 4 สูบ ขนาด 2.1 ลิตร พละกำลัง 204 แรงม้าที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,600 – 1,800 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 20 กิโลวัตต์ แรงบิด 250 นิวตันเมตร ส่งำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 7 สปีด
อัตราเร่งของทั้งสองรุ่นย่อย 0-100 กม./ชม. ทำได้ที่ 7.6 วินาที ความเร็วสูงสุดโดยประมาณ 240 กม./ชม. อัตราการบริโภคน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 21.3 – 22.7 กม./ลิตร ปล่อยมลพิษไอเสย 115 – 124 กรัม/กม.
เมอร์เซเดส-เบนซ์สามารถบรรลุเป้าหมายในการทำให้เครื่องยนต์ 150 กิโลวัตต์ ใช้น้ำมันเพียง 4.4 ลิตรต่อการวิ่ง 100 กิโลเมตร สำหรับเอส-คลาสใหม่ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานต่ำเพียง 0.24 นอกจากจะทำลายสถิติของรุ่นเดิมแล้ว ยังถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถยนต์ในกลุ่มระดับเดียวกันไปโดยปริยาย
รถยนต์คันดังกล่าวยังสร้างสถิติเป็นรถยนต์คันแรกของโลกที่ไม่มีการใช้หลอดไฟส่องสว่างแบบเดี่ยวในทุกระบบส่องสว่างทั้งภายในและภายนอกตัวรถ โดยได้นำเทคโนโลยีแอลอีดีมาใช้งานทั้งหมด โคมไฟหน้าจะประกอบด้วยแอลอีดี 56 ดวง ไฟท้ายประกอบด้วยแอลอีดี 35 ดวงและเพิ่มอีก 4 ดวงสำหรับไฟตัดหมอกหลัง ขณะที่ห้องโดยสารภายในจะใช้ไฟแอลอีดีรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 300 ดวง
เอส-คลาสไม่เพียงเหมาะสำหรับผู้บริหารหนุ่มใหญ่เท่านั้น แต่ยังได้รับการการันตีด้วยรางวัลรถยอดเยี่ยมสำหรับผู้หญิงประจำปี 2014 ที่ได้รับการพิจารณาจากสไตล์ รูปลักษณ์ การออกแบบ ฟังก์ชั่น คุณภาพการขับขี่ เนื้อที่ ความสะดวกสบาย ปัจจัยกระตุ้นความตื่นเต้น แรงดึงดูดทางเพศและความคุ้มค่าของตัวรถ
ราคาจำหน่ายของเอส-คลาส บลูเทค ไฮบริด เอ็กซ์คลูซีฟเริ่มต้นที่ 5.99 ล้านบาท ส่วนเอส-คลาส บลูเทค ไฮบริด เอเอ็มจี พรีเมียมอยู่ที่ 6.790 ล้านบาท ความแตกต่างของทั้งสองรุ่นอยู่ที่ชุดแต่งเอเอ็มจีและอุปกรณ์มาตรฐานบางอย่าง
บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7
สำหรับในตลาดโลก บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7 รุ่นใหม่ได้รับการออกแบบด้วยการผสมผสาน “สมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้น” เข้ากับ “ความสะดวกสบายในการขับขี่ทางไกล” รูปลักษณ์ภายนอกมีความทันสมัยยิ่งขึ้น หลังจากมีเสียงวิจารณ์หนาหูว่าเน้นสไตล์แบบอนุรักษ์นิยมมากเกินไปในอดีต
ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทยนำโดยมร. แมทธิอัส พฟาลซ์ ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “นับเป็นครั้งแรกที่คอนเซปต์ Carbon Core นำมาใช้ในบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 โฉมใหม่ โดยเราได้นำหลักการของคาร์บอนไฟเบอร์ที่ใช้ในบีเอ็มดับเบิลยู ไอ8 มาใช้กับบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 โฉมใหม่นี้ การผสมผสานที่ก้าวล้ำของการใช้วัสดุต่างๆ ทำให้ยานยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ทรงพลังสูงสุดและน้ำหนักเบาที่สุด แต่ยังคงความเป็นรถซีดานที่หรูหราและทรงประสิทธิภาพที่สุดด้วยเช่นกัน”
“แน่นอนว่า บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 โฉมใหม่ ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับผู้ขับขี่เท่านั้น เรายังได้สร้างสรรค์ความเป็นยานยนต์ระดับ “เฟิร์สคลาส” สำหรับผู้โดยสารตอนหลังด้วยเช่นกัน ลูกค้าของเราจะได้รับความรู้สึกพิเศษ จากการต้อนรับในแบบเอ็กซ์คลูซีฟด้วย Light Carpet กับแนวไฟสามมิติที่ส่องทอดยาวจากแนวประตูด้านหน้าสู่พื้น Panorama Sky Lounge ที่ช่วยสร้างอารมณ์อันสมบูรณ์แบบด้วยแสงไฟจาก 15,000 ดวงภายใต้หลังคา เพื่อบรรยากาศในห้องโดยสารที่เหนือระดับยิ่งขึ้น โดยสามารถเลือกสีของไฟได้ตามใจชอบ และยังรวมถึง BMW Touch Command ด้วยจอแท็บเล็ตขนาด 7 นิ้วที่สามารถควบคุมความบันเทิงและความสะดวกสบายต่างๆ ได้อย่างเต็มที่”
ซีรีส์ 7 รุ่นฐานล้อยาวหรือ 740Li มาพร้อมฟังก์ชั่นที่น่าสนใจมากมาย เริ่มจากการเป็นรถยนต์รุ่นแรกของบีเอ็มดับเบิลยูที่ใช้ฟีเจอร์ Air Flap Control ซึ่งจะทำงานเมื่อระบบต้องการระบายความร้อนโดยนอกจากจะพัฒนาสมรรถนะด้านแอโรไดนามิกส์ให้กับรถแล้ว ยังดูสวยงามสะดุดตามากขึ้น
เทคโนโลยี BMW EfficientLightweight ช่วยลดน้ำหนักรวมของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 โฉมใหม่นี้ได้สูงสุดถึง 130 กิโลกรัมเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ด้วยโครงสร้างตัวถังที่ผลิตด้วย Carbon Core ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในบีเอ็มดับเบิลยู ไอ8 ทำให้บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 เป็นรถยนต์รุ่นแรกในเซ็กเมนต์นี้ที่ใช้โครงสร้างผลิตจากพลาสติกเสริมเส้นใยคาร์บอน (CFRP) ผสมผสานกับโครงสร้างเหล็กและอะลูมิเนียม
บีเอ็มดับเบิลยู เลเซอร์ไลท์ (BMW Laserlight) ซึ่งคล้ายกับที่ใช้ในบีเอ็มดับเบิลยู ไอ8 ด้วยเทคโนโลยีบีเอ็มดับเบิลยู เซเลคทีฟ บีม (BMW Selective Beam) ช่วยลดความพร่ามัวและเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกเพิ่มเติมจากไฟแอลอีดีในรุ่นมาตรฐาน ไฟหน้าแบบเลเซอร์นี้มีแสงสีขาวและให้ความสว่างได้ในระยะ 600 เมตร สำหรับไฟสูง ซึ่งเป็นระยะที่ไกลกว่าความสว่างจากไฟหน้าแบบแอลอีดีถึงสองเท่าและให้ความเข้มของแสงมากกว่าไฟหน้าแบบแอลอีดีถึงสี่เท่า
อีกหนึ่งฟังก์ชั่นใหม่ของการใช้งานร่วมกับระบบ iDrive คือ การสั่งงานด้วยการเคลื่อนไหวของมือโดยไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ หรือ BMW Gesture Control ซึ่งถูกนำมาใช้งานเป็นครั้งแรก เซ็นเซอร์ 3 มิติจะจับการเคลื่อนไหวของการสั่งงานระบบควบคุมความบันเทิงและการสื่อสาร ซึ่งใช้งานได้อย่างง่าย เช่น การปรับระดับเสียง การรับหรือปฏิเสธสายเรียกเข้าโทรศัพท์ เป็นต้น บีเอ็มดับเบิลยู 740Li โฉมใหม่ ยังมาพร้อมกับหลังคากระจกแบบ Sky Lounge Panorama ช่วยสร้างบรรยากาศเสมือนท้องฟ้า
บีเอ็มดับเบิลยู 740Li โฉมใหม่นี้ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียงรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นเครื่องยนต์รุ่นล่าสุดของบีเอ็มดับเบิลยู ความจุ 3.0 ลิตร ทวินพาวเวอร์ เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 326 แรงม้า ที่ 5,500 ถึง 6,500 รอบต่อนาที อัตราเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ภายใน 5.6 วินาที อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ 14.3 กิโลเมตรต่อลิตร และมีอัตราการปล่อย CO2 อยู่ที่ 166 กรัมต่อกิโลเมตรตามการทดสอบของอียู
ราคาจำหน่ายของบีเอ็มดับเบิลยู 740Li ยังไม่ได้รับการเปิดเผย แต่คาดว่าจะอยู่ระหว่าง 7-7.5 ล้านบาท เราจะคอนเฟิร์มอีกครั้งที่งานมอเตอร์ เอ็กซ์โป
ความคิดเห็น