เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ฉลองศักราชใหม่ด้วยการเปิดตัวรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริดถึง 2 รุ่นพร้อมกัน ประกอบไปด้วยซี-คลาส และรุ่นใหญ่ที่เราได้ขับอย่าง เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส500อี เอเอ็มจี พรีเมียม ที่มาพร้อมในทุกด้านสำหรับมหาเศรษฐี
ด้วยสนนราคาค่าตัว 6.99 ล้านบาท ที่แพงกว่ารุ่นเครื่องยนต์ดีเซล ไฮบริดมาเพียง 2 แสนบาท ทำให้ลูกค้าอาจจะเลือกลำบากว่าจะตัดสินใจเป็นเจ้าของรุ่นไหน ในงานแถลงข่าวต้นปีที่เชียงใหม่ เราได้มีโอกาสสัมผัสกับพี่ใหญ่ของค่ายที่มาพร้อมหัวใจใหม่คันนี้
จริง ๆ แล้วเบนซ์ได้จัดเส้นทางให้เราได้ขับทั้งเอส-คลาสและซี-คลาสนะครับ แต่ด้วยระยะทางและเวลาที่จำกัด เราก็เลยขอเลือกไม่เปลี่ยนคันดีกว่า เดี๋ยวพอมีเวลาว่าง ๆ เราค่อยไปเอามาขับอีกครั้งก็ยังไม่สาย
ภายนอกไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากเอส-คลาสรุ่นก่อนหน้าเลย ที่เพิ่มเติมมาก็คือช่องเสียบไฟที่ด้านท้ายตรงมุมขวาของกันชนหลังเท่านั้น ช่องนี้มีไว้สำหรับต่อกับสายชาร์จไฟที่ทำงานได้เป็นอย่างดีกับไฟบ้าน ไม่ได้มีอะไรยุ่งยากแต่อย่างใด
ภายในมาพร้อมกับความหรูหราแบบเต็มพิกัด พร้อมอุปกรณ์ของเล่นที่ยังไงก็ไม่มีทางเล่นได้หมดในช่วงเวลาสั้น ๆ เอาเป็นว่าแค่เบาะหนังนัปป้าที่รองรับน้ำหนักโดยสารได้เป็นอย่างดี แถมการปรับก็ละเอียดยิบ หมอนรองคอนุ่มชวนหลับ ก็เกินพอ
แผงคอนโซลมีจอควบคุมขนาดใหญ่ต่อกันเป็นพรืด มาพร้อมฟังชั่นส์ที่เลือกปรับแต่งได้หลากหลาย ถามว่ามีเวลาเล่นไหมได้ขับแค่นี้ เอาเป็นว่าระบบอุปกรณ์ทั้งหมดเยอะแยะจนเล่นไม่หมดในทริปการทดสอบสั้น ๆ นี้อย่างแน่นอน
บรรยากาศภายในและภายนอกของรถนั้นให้ความรู้สึกในการอยากเป็นผู้โดยสารมากกว่าเป็นผู้ขับขี่ แต่เมื่อเขาชวนมาขับก็ต้องขับล่ะครับ รับกุญแจที่ดูแล้วมันไม่ได้แตกต่างจากกุญแจรุ่นอื่น ๆ ตรงไหน จริง ๆ น่าจะทำให้หรูกว่านี้ให้สมฐานะเสียหน่อยก็จะดีเลย
ขึ้นมานั่งที่ตำแหน่งผู้ขับขี่ ต้องบอกว่าแม้รถจะมีขนาดที่ใหญ่และยาวระดับหน้ายื่นหลังโยน แต่ก็ไม่ได้ทำให้การปรับระยะและการขับขี่ยากเย็นไปแต่อย่างใด ผมยังสามารถเอารถลัดเลาะไปตามที่ต่าง ๆ ได้อย่างไม่มีปัญหา แค่ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น
แม้จะชื่อเอส500 แต่หัวใจในการขับเครื่องเป็นเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบคู่ขนาด 3.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 333 แรงม้าที่ 5,250-6,000 รอบต่อนาที พร้อมให้แรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตรที่ 1,600-4,000 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลัง 116 แรงม้าและแรงบิด 340 นิวตันเมตร
เมื่อทำงานร่วมกันส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 7จี-ทรอนิกพลัส จะทำให้รถคันนี้วิ่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลา 5.2 วินาที พร้อมทำความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำมากเพียง 62 กรัมต่อการวิ่งระยะทาง 1 กิโลเมตร
แบตเตอรี่ลิเธยมไออนขนาด 8.7 กิโลวัตต์ มีน้ำหนัก 114 กิโลกรัมถูกติดตั้งไว้ที่ใต้เพลาขับด้านหลัง ใช้ระบบหล่อเย็นจากน้ำและมีฝาป้องกันการกระแทก ชาร์ตให้เต็มได้ในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง สามารถวิ่งด้วยระบบไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ระยะทางไกลถึง 31 กิโลเมตร
โหมดการขับขี่มีให้เลือก 4 รูปแบบ เริ่มจากระบบไฮบริดธรรมดาที่เป็นการทำงานผสานกันของเครื่องยนต์และระบบไฟฟ้า การวิ่งด้วยไฟฟ้าอย่างเดียว การวิ่งด้วยเครื่องยนต์อย่างเดียวเพื่อชาร์จไฟฟ้า และการวิ่งเพื่อรักษาระดับไฟฟ้าสำหรับการใช้งานในเมือง
ขึ้นรถไปลองของกันเบาเบาด้วยการวิ่งด้วยระบบไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว แม้เครื่องยนต์จะรองรับการวิ่งไฟฟ้าที่ความเร็วมากกว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ก็หมายถึงเท้าต้องนิ่งเอาเรื่อง เพราะหากกระทืบคันเร่งแรงไป เครื่องยนต์ก็จะกลับมาทำงานทันที
ที่โหมดการขับขี่ด้วยไฟฟ้าเครื่องยนต์จะตัดการทำงาน และมอเตอร์ไฟฟ้าก็จะทำหน้าที่อย่างต่อเนื่อง ส่งกำลังไปยังล้อให้วิ่งไปอย่างราบเรียบ ซึ่งเหมาะมากสำหรับการใช้งานในเมืองที่ไม่ได้ต้องการเรื่องของสมรรถนะเป็นหลัก
เปลี่ยนมาลองใช้ระบบไฮบริดแบบเต็มรูปแบบ โดยลองโฉบผ่านไปที่ระบบเครื่องยนต์ล้วนแค่ไม่นาน ไม่มีอะไรน่าสนใจ เพราะเครื่องยนต์เปล่า ๆ อาจจะดูไม่ค่อยปรื๊ดปร๊าดมากนัก เมื่อเจอกับน้ำหนักตัวรถขนาดใหญ่ระดับนี้
แต่ความรู้สึกดังกล่าวก็หายไปทันที เมื่อปล่อยให้ระบบไฮบริดได้ทำงานของมันอย่างเต็มรูปแบบ การตอบสนองของเครื่องยนต์และระบบไฟฟ้า ช่วยกันรีดพละกำลังออกมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ในการพาพี่ใหญ่ตราดาวพุ่งทะยานออกไปบนท้องถนน
การตอบสนองในช่วงของการเร่งแซงที่ไม่มีการเผื่อกำลังเครื่องยนต์ไว้อาจจะดูต้องใช้เวลาเล็กน้อย แต่แก้ได้ด้วยการเปลี่ยนเกียร์ลงที่แพดเดิลชิฟท์เพื่อลดเวลารอคอยในการตอบสนองการเร่งของเครื่องยนต์ ขณะที่การใช้กำลังเครื่องยนต์ช่วยเบรกก็ทำได้ไม่มีที่ติ
ช่วงล้างนั้นคุ้มค่าสมราคาด้วยความนุ่มนวลชวนฝันบนท้องถนน และความกระชับฉับไว ควบคุมได้ด้วยความแม่นยำ แม้จะเป็นรถยนต์นั่งขนาดใหญ่ก็ไม่ใช่ปัญหา การวิ่งบนเขาผ่านจากเชียงใหม่ไปเชียงรายด้วยความเร็วพอประมาณเป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี
จริง ๆ แล้ว สิ่งที่ควรจะทดสอบอย่างจริงจังก็คือโหมดการใช้งานทั้งสี่ของรถว่ามีความแตกต่างกันมากเพียงใด แต่เวลาไม่พอครับ เอาไว้ยืมรถออกมาอีกรอบจะทดสอบละเอียด ๆ ให้อีกที เอาเป็นว่ามีเวลาขับสั้น ๆ เก็บบรรยากาศ อารมณ์ความรู้สึกกันไปก่อน
โดยสรุปรวมความแล้ว เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส500อี คันนี้ เป็นพี่ใหญ่ที่มาพร้อมเทคโนโลยีล่าสุดของค่ายตราดาว ที่ให้การตอบสนองของเครื่องยนต์ที่กระฉับกระเฉงว่องไวด้วยหัวใจไฮบริดรักโลก ที่เชื่อกันว่าประหยัดน้ำมันมากกว่ารุ่นปกติ
ตัวรถน่าใช้งานด้วยความเป็นเมอร์เซเดส-เบนซ์อยู่แล้ว ภายนอกหรูหรา ภายในดูแพง โดยรวม ๆ เป็นรถที่ให้ความดีงามในการใช้ชีวิต แถมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยด้านอื่นก็เตรียมมาให้เพียบพร้อมระดับไม่ธรรมดา
รวมความแล้วหากต้องการหารถสำหรับผู้บริหาร พื้นที่ด้านหลังก็เปิดกว้างดูนั่งสบายอยู่ แต่หากต้องการรถที่ขับสนุกสนานไปไหนไปกัน รถคันนี้ก็พร้อมให้บริการ แม้มันจะทำให้คนขับกลายร่างเป็นคนขับรถไปก็ตาม
ไว้ยืมมาทดสอบละเอียด ๆ อีกรอบ แล้วค่อยมาหาข้อดี ข้อเสียกันแบบละเอียดละกันนะ...
ขอขอบคุณ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด สำหรับรถยนต์ทดสอบในครั้งนี้
ผู้เขียน golfautospinn พูดคุยกันได้ที่ pisan.i@icarasia.com เฟซบุ๊ค Autospinn.Fans และทวิตเตอร์ @Autospinn
ติดตามข่าวรถยนต์ ราคารถยนต์ รีวิวรถยนต์ และจักรยานยนต์ทุกยี่ห้อ กับเรา Autospinn
แชร์ความคิดเห็นบนเว็บบอร์ด Autospinn คลิกเลย webboard.autospinn.com
เช็คโปรโมชั่นรถใหม่ เช็คราคารถใหม่ ได้ที่นี่
ราคารถมือสอง ซื้อรถมือสอง ขายรถมือสอง เชิญได้เลยที่ one2car
ความคิดเห็น