มิตซูบิชิเตรียมเดินหน้าจับมือนิสสันหาแนวทางลดต้นทุนร่วมกันทั้งในตลาดโลกและประเทศไทย มั่นใจตลาดประเทศไทยฟื้นตัวไตรมาส 4 แต่รับมีปัจจัยเสี่ยงต้องจับตาอีกเพียบ กัดฟันรักษาเป้าหมายการจำหน่ายในประเทศ-ส่งออกเท่าเดิม
โมะริคาซุ ชกกิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) เปิดเผยว่าหลังจากการก่อตั้งพันธมิตรนิสสัน มิตซูบิชิ นั้น ขณะนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน เนื่องจากอยู่ในช่วงของการเจรจาเพื่อหาแนวทางในการร่วมมือกันพัฒนาธุรกิจของทั้ง 2 แบรนด์ต่อไปในอนาคต
อย่างไรก็ตาม แนวทางเบื้องต้นน่าจะเน้นไปที่เรื่องของการร่วมมือกันเพื่อลดต้นทุนในการผลิต ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของโลจิสติก หรือการจัดซื้อ เป็นต้น ซึ่งแนวทางดังกล่าวเป็นแนวทางที่จะเกิดขึ้นทั้งในตลาดโลกและในประเทศไทย แต่ยังไม่สามารถระบุช่วงเวลาที่จะเกิดขึ้นได้
“อย่างไรก็ตาม มิตซูบิชิก็ยังเป็นมิตซูบิชิและนิสสันก็ยังคงเป็นนิสสัน ตอนนี้เราอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อหาแนวทางการดำเนินการร่วมกัน แต่ยังไม่สามารถบอกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น”
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย คาดว่าน่าจะกลับมาเติบโตได้อีกครั้งในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ เป็นผลมาจากภาพรวมของเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น การลงทุนภาครัฐที่น่าจะมีความชัดเจน รวมไปถึงการปลดล็อกโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรกที่จะเริ่มขึ้นในปีนี้
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในเรื่องของการส่งออกที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการโหวตเพื่อออกจากอียูของประเทศอังกฤษ ที่ไม่สามารถคาดการณ์ผลกระทบได้ แม้สภาวะเงินบาทอ่อนน่าจะส่งผลดีกับการส่งออกจากประเทศไทยก็ตาม
“จริง ๆ แล้วภาพรวมของตลาดในปีนี้น่าจะเติบโตขึ้นได้ในช่วงไตรมาสสุดท้าย แต่ก็อย่างที่บอกว่าเรามีปัจจัยหลายอย่างที่เราต้องพิจารณาอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม มิตซูบิชิไม่ได้ปรับเป้าหมายการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศไทยที่วางส่วนแบ่งตลาดที่ 9% และเป้าหมายการส่งออกที่วางไว้กว่า 3 แสนคันในปีนี้”
ทั้งนี้ มิตซูบิชิประเมินว่ายอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศไทยในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ลดลงไป 1.72% หรือมียอดจำหน่าย 295,103 คัน ขณะที่มิตซูบิชิมียอดจำหน่ายรวม 24,484 คัน เติบโตขึ้น 2.9% และมีส่วนแบ่งตลาด 8.6% เพิ่มขึ้นมา 1.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ใกล้เคียงเป้าหมายที่วางไว้
สำหรับยอดการส่งออกรถยนต์จากประเทศไทยในปีงบประมาณ 2558 ที่ผ่านมา พบว่ามียอดการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปจำนวน 280,764 คันและชิ้นส่วนเพื่อการประกอบ 21,640 คัน โดยมียอดการส่งออกที่หดตัวเล็กน้อย 5.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ก็คาดว่าจะกลับมาเติบโตได้อีกครั้งในปีนี้
ความคิดเห็น