มาเซราติ ประเทศไทย ได้จัดทริปทดสอบมาเซราติ เลอวานเต้ ให้กับสื่อมวลชนในประเทศไทย โดยมีโอกาสได้ทดลองกันคนละประมาณเกือบ ๆ 100 กิโลเมตร เพื่อจับอาการกันแบบสั้น ๆ ว่าเอสยูวีพี่เบิ้มคันนี้มีความน่าใช้งานมากน้อยขนาดไหน
เลอวานเต้ถือเป็นรถรุ่นใหม่ล่าสุดของมาเซราติและเป็นรถเอสยูวีรุ่นแรกของค่าย แน่นอนว่าในหลาย ๆ ด้านอาจจะยังไม่ได้ลงตัวเป๊ะ แต่นี่คือรถยนต์ที่มียอดจองคิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% ในประเทศไทย หลังการเปลี่ยนตัวแทนจำหน่ายรายใหม่
เอ็มจีซี-เอเชีย ก็เดินหน้าเอาใจลูกค้าแบรนด์นี้อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดก็คือการทุ่มงบประมาณอีก 150 ล้านบาท ปรับโชว์รูมเอ-สแควร์ ให้กลายเป็นโชว์รูมและศูนย์บริการแบบครบวงจร เพื่อรองรับลูกค้าที่เริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบันและอนาคต
ผมมีโอกาสไปที่โชว์รูมแห่งใหม่นี้ในวันธรรมดา 2 ครั้งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา และก็พบว่ามีลูกค้าเริ่มมาทดสอบรถหรือเดินชมรถกันมากขึ้น ขณะที่การตกแต่งของโชว์รูมนั้นก็หรูหราอู้ฟู่ ด้วยชุดแต่งทั้งหลายตามซีไอของมาเซราติ อิตาลี แบบเป๊ะเวอร์
มาเซราติ เลอวานเต้ สีน้ำเงินสด ซึ่งเป็นสีขายหลักของรุ่น จอดรออย่างโดดเด่น ด้วยหน้าตาที่บอกเลยว่าไม่เป็นรองใครทั้งสิ้น หากมองในด้านการออกแบบภายนอกแล้ว ต้องบอกว่า เลอวานเต้คือรถเอสยูวีที่ดูสวยและมีความโดดเด่นเมื่ออยู่บนท้องถนน
ด้วยสนนราคาค่าตัวสำหรับรุ่นดีเซลที่อยู่ที่ 7.99 ล้านบาทสำหรับรุ่นมาตรฐาน ทำให้การทำตลาดของรถรุ่นนี้อยู่เหนือกว่าเอสยูวีรุ่นใหญ่ที่ผลิตในประเทศ โดยเน้นการเจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการความโดดเด่นและแตกต่างเมื่อยามขับขี่บนท้องถนน
โครงสร้างของตัวถังเป็นเหล็กผสมอลูมิเนียมเพื่อให้ได้น้ำหนักตัวถังที่เบาขึ้น การออกแบบแบบอิตาเลียน ดีไซน์ ที่แม้จะนำมาปรับใข้กับเอสยูวีก็ยังเน้นความโฉบเฉี่ยวด้วยการลดค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานลงไปเหลือเพียง 0.31 ซึ่งถือว่าปังมากสำหรับเอสยูวีไซส์นี้
กระจังหน้าโครเมียมแนวตั้งคือความโดดเด่นของตัวถังด้านหน้า สอดรับกับโคมไฟหน้าที่ออกแบบมาอย่างโดดเด่น พร้อมไฟตัดหมอก แก้มหน้าเจาะช่องระบายอากาศ ดูสวยคมและให้ความหรูหราไปพร้อมกันด้วยเส้นสายของตัวถังที่ดูสวยงามแบบสปอร์ตคูเป้
การออกแบบเสาซีให้ลาดเอียงแบบรถคูเป้ ทำให้ดูจะเสียพื้นที่ศีรษะสำหรับผู้โดยสารตอนหลังไปบ้าง กรอบประตูแบบไร้กรอบอันเป็นเอกลักษณ์ และเพิ่มความดุดันด้วยปลายท่อไอเสียคู่ พร้อมดิฟฟิวเซอร์ที่ดูลงตัวกับตัวถังขนาดใหญ่
ตัวรถนั้นสามารถเลือกฟังชั่นส์ที่ลดขนาดความสูงจากปกติลงมาได้ 40 มม. เพื่อความสะดวกสบายในการก้าวเข้าสู่ห้องโดยสาร แต่ในโหมดการขับขี่สามารถปรับความสูงของรถได้ 5 ระดับ ตามโหมดและความเร็วในการขับขี่รถคันนี้
ห้องโดยสารภายในสีแดงสด ให้ความรู้สึกดุดันด้วยการเล่นสีของห้องโดยสาร ปิดเสากรอบประตูด้วยผ้ากำมะหยี่ สอดรับกับหนังในตำแหน่งต่าง ๆ เพื่อให้สมกับที่เป็นรถหรูหรา พวงมาลัยมาพร้อมมัลติฟังชั่นส์ยุบยับที่ไม่มีวันใช้ได้หมดในการทดสอบสั้น ๆ
คอนโซลหน้ามาพร้อมจอสัมผัส 8.4 นิ้วและระบบการใช้งานที่เพียบพร้อมมากขึ้น รองรับไปจนถึงแอปเปิล คาร์เพลย์และแอนดรอยด์ ออโต้ ควบคุมทุกอย่างอย่างง่ายดายด้วยแป้นหมุนที่มีชื่อเรียกว่าโรตารี คอนโทรล แบบรถหรูทั่ว ๆ ไปพึงจะมี
มาเซราติ เลอวานเต้ รุ่นที่ทำตลาดในปัจจุบันมีเครื่องยนต์เดียวคือเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ วี6 ขนาด 3.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 275 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที พร้อมด้วยแรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตรที่ 2,000-2,600 รอบต่อนาที
ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติของแซดเอฟแบบ 8 สปีด ผ่านระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ Q4 ตามสเปกระบุว่าวิ่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลา 6.9 วินาที พร้อมด้วยความเร็วสูงสุดที่ทำได้ 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งาน
ต้องบอกก่อนว่า 80 กิโลเมตรที่อยู่หลังพวงมาลัยวันนี้ถือว่าไม่ได้ทดสอบระบบอะไรสักเท่าไร แต่ก็พอบอกได้ว่าเอสยูวีรุ่นแรงของมาเซราติอาจจะดูยังไม่ลงตัวมากนัก โดยเฉพาะเมื่อวิ่งบนถนนเมืองไทย ก็ทำให้ตัวรถแสดงอาการออกมามากขึ้น
แน่นอนว่ากลุ่มลูกค้าที่ซื้อเลอวานเต้คงไม่ได้เน้นเอาไปลุยหนักเป็นแน่ การออกตัวของรถบนถนนในโหมดธรรมดาถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานบนท้องถนน แต่หากอยากได้ยินมาเซราติ ซาวด์ที่มาพร้อมการตอบสนองฉับไว ต้องเลือกโหมดสปอร์ตเอาไว้เลย
เลอวานเต้ที่บรรทุกผู้โดยสาร 4 คน ค่อย ๆ คืบคลานผ่านการจราจรไปแบบช้า ๆ ต้องบอกว่าห้องโดยสารของรถนั้นให้บรรยากาศที่กระตุ้นการขับขี่และการเล่นกับรถมาก ปุ่มเล็กน้อยเต็มพื้นที่ไปหมด ถ้ามีเวลาอยู่ด้วยกันนาน ๆ คงได้เสียเวลาเล่นสักสองชั่วโมง
ขึ้นทางด่วนมาได้สักพัก ผมลองปล่อยรถไหล ๆ ไปด้วยโหมดการขับขี่ปกติ ตัวรถแม้จะมีสมรรถนะที่เพียงพอ แต่ก็ดูไม่ค่อยกระตือรือล้นในการพุ่งตัวไปข้างหน้าสักเท่าไรนัก ไม่อยากจะคิดเลยว่าในโหมดประหยัดจะออกอาการตื้อขนาดไหนกันแน่
อดใจไม่ไหว กดเปลี่ยนโหมดสปอร์ตมา ตัวรถดูครึกครื้นขึ้นทันที ด้วยเสียงเครื่องยนต์ที่ครางกระหึ่ม แถมการตอบสนองของคันเร่งและช่วงล่างก็กระชับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กดคันเร่งไปสักครู่ ก็ได้ทดสอบระบบสปอร์ตโหมด 2 ที่จะเปิดแบบอัตโนมัติที่ความเร็ว 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้ว
ระบบช่วยเหลือที่ติดตั้งมา ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกจากเลน หรือระบบเตือนเมื่อมีรถในมุมอับสายตา ทำงานได้อย่างลงตัว แม้จะมีเสียงเตือนที่เหมือนกันจนอาจจะทำให้เกิดความสับสนและเข้าใจผิดได้ก็าตาม แต่ก็เป็นระบบความปลอดภัยที่ดีที่มีมาให้
ส่วนตัวแล้วไม่ชอบระบบป้องกันการชนด้านหน้าของรถที่เตือนด้วยเสียงกรีดร้องแบบบาดแก้วหูซะเหลือเกิน ดูจะพาลทำให้ตกใจมากกว่า แต่โชคดีที่สามารถปิดได้ แม้จะต้องเลือกหาฟังชั่นส์จากบนหน้าจอสัมผัสก้นสักระยะก็ตามที
การตอบสนองของตัวรถนั้นให้อาการจี๊ดจ๊าดเอาเรื่องพอสมควร แต่ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อเบรกรถที่ความเร็วปานกลางขึ้นไป ตัวรถกลับมีอาการสะท้านที่พวงมาลัยมากกว่าปกติ ในบางจังหวะนี่เรียกว่าสั่นสะท้านจนน่ากลัวก็คงไม่ผิดนัก
ช่วงล่างของรถแม้จะดูให้ความมั่นคงและกระชับในการขับขี่ดี แต่จากการสอบถามเพื่อนร่วมทางก็รู้สึกว่าออกมาในแนวกระด้างพอตัว โดยเฉพาะในโหมดสปอร์ตที่เพิ่มความแข็งของรถขึ้นมาอย่างชัดเจน แถมจังหวะเจอกระดูกงูนี่สะเทือนอย่างเห็นได้ชัดเลย
ในรายละเอียดอื่น ๆ ของรถถือว่ามีความพยายามในการพัฒนาเอาใจลูกค้าทุกกลุ่ม อาทิ การย้ายปุ่มปิดประตูหลังมาไว้ที่ตำแหน่งด้านล่าง หรือตัวรถที่ลดต่ำลงได้เพื่อความสะดวกในการเข้าห้องโดยสารของเด็กหรือผู้สูงอายุ ถือว่าเป็นรถที่มีความน่ารักเลยล่ะ
โดยสรุปรวมความแล้ว มาเซราติ เลอวานเต้ คือรถเอสยูวีที่ถูกพัฒนามาโดยเน้นไปที่ผู้ขับขี่เป็นหลัก ด้วยเครื่องยนต์สมรรถนะดี ฟังชั่นส์การใช้งานที่หลากหลาย ขณะที่ความสะดวกสบายผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็มีให้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องไปติดตั้งอะไรอีก
แต่ความสมูทในการใช้งานอาจจะยังต้องปรับปรุงกันบ้าง ไม่ว่าจะเป็นช่วงล่างที่ออกแนวแข็ง หรือฟังชั่นส์ที่ดูจะรบกวนสมาธิในการขับขี่ในบางจุด แต่เมื่อหักลบกับหน้าตาและความโดดเด่นบนท้องถนน ก็ยังทำให้รถคันนี้ มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย
กลุ่มลูกค้าที่ควักเงินเกือบ 8 ล้านบาทจ่ายค่าตัว ก็คงคิดแบบนี้เหมือนกัน และก็คงทำให้เราเห็นเจ้าเลอวานเต้บนท้องถนนเพิ่มมากขึ้นแน่นอนในอนาคต!!!
ติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวของแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ได้ ที่นี่
ต้องการซื้อรถยนต์ใหม่และรถมือสอง ตรวจสอบราคา เชิญที่นี่
ความคิดเห็น