FristDrive: All-New Mazda CX-5 เอสยูวีแดนอาทิตย์อุทัย ที่สมรรถนะและคุณภาพเข้าใกล้ยุโรปเข้าไปทุกที Share this

FristDrive: All-New Mazda CX-5 เอสยูวีแดนอาทิตย์อุทัย ที่สมรรถนะและคุณภาพเข้าใกล้ยุโรปเข้าไปทุกที

Coke Autospinn
โดย Coke Autospinn
โพสต์เมื่อ 23 November 2560

Frist Drive All-New Mazda CX-5

ทดสอบรถยนต์อเนกประสงค์รุ่นใหม่อย่าง มาสด้า (Mazda) CX-5 รุ่นปรับโฉมใหม่ รูปลักษณ์หรูหรา ออพชั่นแน่น สมรรถนะที่ยอดเยี่ยม

ถือเป็นการจัดทริปการทดสอบที่ค่อนข้างไวทีเดียวเพราะรถยนต์อเนกประสงค์ (SUV) รุ่นนี้เพิ่งเปิดตัวสดๆ ร้อนๆ ไปในวันที่ 13 พ.ย 60 ที่ผ่านมาเท่านั้นซึ่งนับว่ารวดเร็วมาก แต่ก็ถือว่าเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุกท่าน

สำหรับเส้นทางที่ได้ทดสอบก็ถือว่าท้าทายเนื่องจากตลอดทริป 3 วันเต็ม (ราวๆ 900 กม.) กว่า 90% จะเป็นทางขึ้นเขา-ลงเข้า เลี้ยวโค้งพับ โค้งรูปตัว S ต่างๆ มากมาย พื้นผิวก็มีทั้งแบบออนโรดและออฟโรด ซึ่งทำให้ได้ทดสอบเจ้า All-New Mazda CX-5 ได้อย่างเต็มที่

โดนเราเริ่มต้นทริปกันที่ มาสด้าสินธานี สาขาบ้านดู่ จังหวัดเชียงราย เพื่อไปจบเส้นทางที่จังหวัด อุดรธานี ซึ่งทริปนี้ทีมงานออโต้สปินน์ได้ทดสอบทั้งตัวเครื่องยนต์ SKYACTIV-G และ SKYACTIV-D เลยทีเดียว

ภายนอกดีไซน์ใหม่ตามสไตล์ KODO เน้นหรูหรา เส้นสายชัดเจนขึ้น

เริ่มต้นกันที่รูปลักษณ์ภายนอกที่มาพร้อมดีไซน์ KODO แบบเต็มรูปแบบหลังจากปล่อยให้พี่น้องร่วมขายรุ่นอื่นๆ ปรับเปลี่ยนกันไปแล้ว ซึ่งการดีไซน์ต่างๆ ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นมาสด้าอย่างชัดเจนไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้า เส้นสายไฟหน้า ไฟท้าย รวมไปถึงเส้นสายตัวถังรถยนต์ ที่เน้นความไหลลื่นเคลื่อนไหว

หากเทียบกับ CX-5 รุ่นก่อนหน้า ในส่วนของชุดไฟหน้าและไฟท้ายจะมีขนาดที่เล็กลง ผสานกับกระจังหน้าออกแบบใหม่ทำให้ ฟิลลิ่ง เปลี่ยนไปเน้นความสปอร์ตหรูหราขึ้น ชุดโคมไฟหน้าพร้อมไฟ DRL แบบ LED เต็มระบบพร้อมไฟหน้า LED แบบอัจฉริยะ

ไฟท้ายเช่นเดียวกันปรับเปลี่ยนให้มีความเพียวมากขึ้น ลำดับเส้นสายเหลี่ยมสันที่ชัดเจนทำให้มีความหรูหราสปอร์ต ซึ่งหากถามเรื่องความสวยงาม แต่ละคนก็จะมองไปคนละแบบ เพราะเรื่องความสวยงามอยู่ที่แต่ละท่านจริงๆ

จุดเปลี่ยนและถือเป็นจุดเด่นอีกประการคือกระจังหน้า ที่มีการดีไซน์ใหม่สังเกตุดีๆ จะมีรายละเอียดเยอะมากขึ้น มีมิติมากขึ้น (ความสวยงามนี้ก็อาจแลกมาด้วยความยากในการล้างที่เพิ่มมากขึ้น) กับโลโก้มาสด้าขนาดใหญ่มากบริเวณกลางกระจัง ที่ทุกรุ่นจะมีกรอบพลาสติกเคลือบไว้อีกชั้น แต่สำหรับรุ่น XD เครื่องดีเซลจะไม่มีกรอบจะเป็นดีเทลเลย

โดยสรุปรูปลักษณ์ภายนอกโดยรวมสำหรับ All-New Mazda CX-5 รุ่นนี้ ถือว่ามีการออกแบบที่ตอบโจทย์ความสปอร์ตผสานความสวยงามหรูหรา มากขึ้นกว่าตัวก่อนในมุมแม้ขณะจอด หรือขณะวิ่งก็ตาม บวกกับสีสันตัวถังใหม่ที่มีการเคลือบพิเศษที่ช่วยให้ตัวรถมีความวาวสะท้อนแสงยิ่งออกแดดยิ่งสวย

ภายในดีไซน์ใหม่ ผิวสัมผัส วัสดุต่างๆ ทำมาค่อนข้างหน้าพอใจ

นอกจากดีไซน์ภายนอกปรับใหม่ที่เน้นความหรูหรา สปอร์ตแล้ว ภายในก็ไม่น้อยหน้า การออกแบบใหม่ที่ใช้รายละเอียดหลักเอกลักษณ์ของมาสด้ายุคใหม่มาดีไซน์ ไม่ว่าจะเป็นจอทัชสกรีนขนาด 7 นิ้ว บริเวณกลางคอนโซล

แผงคอนโซลดีไซน์ใหม่เน้นความเรียบหรู วัสดุค่อนข้างดี ช่องแอร์ดีไซน์ใหม่สอดรับกันทั้งหมด แผงรวมระบบเครื่องปรับอากาศที่เป็น ระบบดิจิตอล และมีโหมดออโต้ แต่การดีไซน์ยังมาแบบมือหมุน ให้อารมณ์รถสปอร์ต เหมือนรุ่นอื่นๆ ของมาสด้า

ระบบต่างๆ จัดเต็มเช่นเคย แต่สำหรับ All-New CX5 คันนี้เพิ่มเติมมาจากรุ่นก่อนคือ ระบบเบรกมือไฟฟ้า ระบบ Auto Hold หลังคาซันรูฟแบบปรับไฟฟ้า แอร์หลังที่ทุกท่านรอคอยมาจากรุ่นก่อนหน้านี้ ประตูท้ายรถเปิด-ปิด แบบไฟฟ้า และออพชั่นอื่นๆ อีกมากมายเช่น ช่องเสียบ USB 2.1A บริเวณที่เท้าแขนผู้โดยสารตอนหลังก็มีมาให้พร้อมช่องเก็บอย่างสวยงาม

เบาะนั่งหลังสามารถปรับเอนได้แล้ว เบาะนั่งหลังที่สามารถพับได้แบบ 40:20:40 คือเบาะนั่งทั้ง 2 ที่นั่งจะเป็นอิสระจาก เบาะนั่งหลังกลาง ไม่ติดส่วนใดส่วนหนึ่งแบบเบาะ 60:40 แบบรถทั่วไป ทำให้การพับการปรับแต่งหลากหลายมากขึ้น

พวงมาลัยดีไซน์ใหม่แบบสามก้าน พร้อมหน้าจอมาตรวัดแบบดิจิตอลใหม่เช่นกัน สรุปโดยรวม All-New CX-5 คันนี้มีการดีไซน์ที่ลงตัวขึ้น เน้นใช้วัสดุดีขึ้น (อันนี้ชมจากใจ) ทำให้รู้สึกว่าเข้าใกล้ความเป็นรถยุโรปมากขึ้นกว่าเก่า เบาะนั่งรับสรีระได้ค่อนข้างดี สำหรับผมค่อนข้างประทับใจกับดีไซน์และการเลือกใช้วัสดุใหม่ของรุ่นนี้

ขุมพลังเดิมปรับใหม่ทั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร และเครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร สมรรถนะดีทั้งคู่แต่แอบเสียงเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร

ด้านขุมพลังยังคงใช้เครื่องยนต์ตัวเดิมกับรุ่นก่อนหน้านี้ แต่ได้มีการปรับจูนใหม่ สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G ขนาด 2.0 ลิตร มาพร้อม 165 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิด 210 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที

การตอบสนองไว ทันทีที่คิกดาวน์รอบก็มาทันที แต่ด้วยแรงบิดที่ยังไม่มหาศาลเท่าเครื่องดีเซล จึงทำให้ตัวไม่รถเกรี้ยวกราดขนาดนั้น แต่ก็สามารถทดแทนด้วยโหมต Sport ที่มีให้เฉพาะตัวเบนซิน ทำให้ขับสนุกมากขึ้น การเร่งแซงสามารถไว้ใจและเชื่อมั่นได้ดีทีเดียว

การเซตเกียร์อัตโนมัติ อันนี้ต้องขอชื่นชม มาสด้า ที่ยังคงมีเกียร์อัตโนมัติแบบ Speed ให้เราได้ใช้กันอยู่ เพราะค่ายอื่นๆ เริ่มหันไปซบ CVT กันหมดเแล้วแม้จะนุ่มนวลก็จริง แต่ความสนุกและอารมณ์การขับขี่มันต่างกัน

เกียร์ SKYACTIV-DRIVE ปรับเซ็ตมาได้ค่อนข้างดีและฉลาด โดยเฉพาะเมื่อใช้โหมด Sport ตัวรถมีความกระฉับกระเฉงมากขึ้น มีการเร่งรอบรอ ในจังหวะที่พอดี ทำให้ขับขี่แม้ขึ้นเขา ที่ต้องใช้พลังเยอะ ก็ทำได้น่าประทับใจ โดยอัตราสิ้นเปลืองจากที่ทดสอบคันของผมเปิดโหมด Sport แทบจะตลอดเส้นทาง ระยะประมาณ 280 กิโลเมตร

ส่วนใหญ่จะใช้รอบสูงเนื่องจากมีขับขึ้นเขา-ลงเขาตลอดเวลา จะอยู่ที่ราวๆ 12-13 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งนับว่าค่อนข้างประทับใจแม้จะนั่งกันถึง 3 ท่าน พร้อมสัมภาระที่ค่อนข้างเยอะทีเดียว แต่สำหรับใครชอบสายบ้าพลัง ดิบๆ SKYACTIV-D ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเชิญติดตามต่อ

ในส่วนขุมพลังดีเซล SKYACTRIV-D ที่มาพร้อมแรงม้า 175 แรงม้า พร้อมแรงบิดมหาศาลที่ 420 นิวตันเมตร การตอบสนองของคันเร่งมีความแตกต่างกับตัวเบนซินชัดเจน เมื่อกดคิกดาวน์ต้องรอจังหวะประมาณ 1 วินาที ตัวเครื่องถึงจะเริ่มตบเกียร์ลงและกวาดรอบขึ้น

ซึ่งทันทีที่ระบบทำงานตัวรถจะมาพร้อมการปลดปล่อยพลังอย่างดุดัน ชนิดที่เรียกได้ว่าสายซิ่งมีแอบยิ้มในใจเบาๆ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่แบบสนุกสนาน ด้วยดีเลย์แบบนี้ อาจจะมีเหตุผลหลายประการไม่ว่าจะเป็นการช่วยถนอมเกียร์ เนื่องจากพลังแรงบิดมหาศาลขนาดนี้ หากเครื่องยนต์มีการตอบสนองทันทีที่คิกดาวน์ อาจทำให้ต้องเปลี่ยนเกียร์ลูกใหม่ก่อนวัยอันควรแน่นอน

สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลไม่มีโหมดการขับขี่แบบ Sport มาให้แต่อย่างใด ซึ่งน่าเสียดายมากเพราะด้วยแรงบิดขนาดนี้ ผสานการทำงานของเกียร์ SKYACTIV-DRIVE ที่ค่อนข้างฉลาดและเซ็ตมาเพื่อการขับขี่ทีสนุกสนานที่แท้จริง หากมีโหมดนี้มาให้ด้วย น่าจะจี๊ดจ๊าดชนิดทีเรียกว่า เราขับรถสปอร์ตในร่าง SUV เลยก็ว่าได้

เช่นเดียวกันแม้จะไม่มีโหมด Sport ให้ใช้งานแต่ก็ขับขี่ด้วยโหมด M ที่ใช้การชิฟท์เกียร์ + - เองส่วนใหญ่ ทางขับขี่ก็ ขึ้นเขา-ลงเขา เป็นส่วนใหญ่เช่นเดียวกัน อัตราการบริโภคน้ำมันจะอยู่ราวๆ 13-14 กิโลเมตรต่อลิตร ก็นับว่าไม่เลวเช่นเดียวกันในเรื่องความประหยัดน้ำมันสำหรับเครื่องทั้ง 2 เครื่องยนต์

โดยรวมถือว่าเครื่องยนต์ตอบสนองได้ยอดเยี่ยมทั้งคู่ แต่มีฟิลการขับขี่ที่แตกต่างกันบ้างนิดหน่อยบ้างบางประการ ซึ่งแอบเสียดายที่ไม่มีรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตรมาให้เหมือนรุ่นก่อนหน้านี้ ไม่งั้นน่าจะสนุกสนานกว่านี้สำหรับสายเบนซิน

ขับง่าย ขับสนุก ออพชั่นเพียบ คุณผู้หญิงก็สามารถขับได้ง่ายมากขึ้นจากการปรับเซ็ตน้ำหนักต่างๆ ใหม่

ด้วยการปรับเซ็ตจูนมาใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักของพวงมาลัยไฟฟ้า ที่ในช่วงความเร็วต่ำจะมีน้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อนหน้า แต่ยังคงมีความคม ทุกระยะองศาการหมุนสามารถรับรู้ได้ถึงการควบคุมรถ ทำให้แม้ตัวถังขนาดใหญ่ ก็สามารถขับในเมือง หรือที่แคบได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงช่วยให้คุณผู้หญิงสามารถขับได้ง่ายมากขึ้น

น้ำหนักแป้นคันเร่ง+แป้นเบรก ก็มีการปรับระยะเหยียบให้มากขึ้น เพื่อป้องกันการเบรกหัวทิ่ม ให้ทุกการเบรกมีความนุ่มนวลสมูทมากขึ้น รวมไปถึงระยะฟรีของแป้นคันเร่งเช่นเดียวกันที่มีมากขึ้นจนรู้สึกได้ว่า น้ำหนักและความหนืดน้อยไปหน่อย ในส่วนนี้ความคิดเห็นส่วนตัวของผมรู้สึกชอบน้ำหนักแป้นคันเร่งและเบรกของรุ่นเก่ามากกว่า

อาจจะด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง รวมไปถึงแป้นเบรกที่ปรับมาให้มีระยะเหยียบที่มากขึ้น ทำให้บางจังหวะรู้สึกเหมือนเบรกไม่ค่อยอยู่ ทั้งๆ ที่รถเอาอยู่อยู่แล้ว แต่ด้วยความยังไม่คุ้นชินในการใช้งาน แต่ก็เป็นความคิดส่วนตัวที่อยากเอามาแชร์กันได้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ติดตามได้ทราบข้อมูลจริงๆ ก่อนการตัดสินใจ

ในส่วนออพชั่นระบบการขับขี่ที่เพิ่มเข้ามาต้องบอกว่าจัดเต็ม ระบบ GVC (G-Vectoring Control) ระบบที่รอคอยก็ใส่มาให้แล้ว อธิบายถึงระบบสำหรับท่านที่ยังไม่ทราบให้ฟังกันก่อนว่า ระบบนี้จะช่วยควบคุมสมรรถนะการขับขี่ให้แม่นยำมากขึ้น

โดยระบบจะทำการประมวลผลการบังคับพวงมาลัย ความเร็วของรถ รวมถึงน้ำหนักการกดแป้นคันเร่ง เพื่อควบคุมแรงบิดของเครื่องยนต์ ให้เกิดการถ่ายน้ำหนักที่เหมาะสมสู่แต่ละล้อ ทำให้รถเกาะถนนมากขึ้น และลดการโยนตัว

ระบบนี้มีประโยชน์มากหากขับขี่ในทางคดเคี้ยวและทางเขา ซึ่งทริปนี้มีให้ทดสอบตลอดเส้นทางกว่า 900 กิโลเมตร ช่วยให้คนที่เมารถบ่อยๆ ลดอาการการเวียนหัวลงได้อย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงการขับขี่ที่มั่นใจ เกาะถนนทุกโค้ง นับว่าตอบโจทย์สำหรับรถยกสูงแบบนี้เต็มๆ

และรุ่นนี้ได้ติดตั้งช่องแอร์หลังมาให้ทุกท่านเรียบร้อยแล้ว หลังจากเป็นที่ต้องการมากของแฟนๆ รวมไปถึงประตูหลังเปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า ก็มีมาให้แล้วช่วยให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้นสำหรับทุกคน

เท่านั้นยังไม่พอจัดเต็มออพชั่นทั้งระบบ MRCC (Mazda Rader Cruise Control) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมปรับรักษาระยะห่างจากคันหน้าได้, ระบบ DAA (Driver Attention Alert) ระบบเตือนเมื่อผู้ขับขี่เมื่อยล้า, ALH (Adaptive LED Headlamps) ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะปรับการทำงานไฟ สูง-ต่ำ ซ้าย-ขวา อัตโนมัติ

ระบบ SCBS (Smart City Brake Support) ที่ช่วยหยุดรถอัตโนมัติ หากเรดาห์ตรวจสอบว่าจะเกิดอุบัติเหตุอย่างแน่นอน, ระบบเตือนเมื่อขับออกนอกเลน, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน ซึ่งระบบทั้งหมดได้ทดสอบและใช้งานได้จริง รวมไปถึงการจับสัญญาณของเรดาห์ และการทำงานของระบบต่างๆ ค่อนข้างไวเลยทีเดียว

สรุปโดยรวมเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ SUV ที่น่าสนใจมากในเรื่องรูปลักษณ์อาจไม่พูดถึงเพราะล้วนแล้วแต่รสนิยมแต่ละท่าน แต่ดีไซน์ใหม่ค่อนข้างลงตัว หรูหรา และวัสดุที่เลือกใช้ทั้งภายใน ภายนอก ทำได้ดีขึ้นจริงๆ ระบบออพชั่นต่างๆ ที่รอคอยก็ถูกติดตั้งมาให้ในหลายๆ อย่าง

ตัวเลือกเครื่องยนต์ทั้งเบนซิน 2.0 ลิตร และดีเซล 2.2 ลิตร ที่ตอบสนองดีทั้งคู่แต่ก็มีนิสัย และฟิลการขับขี่ที่แตกต่างกันไปจากการเซ็ต ล้วนแล้วแต่ความต้องการ ล้วนแล้วแต่การใช้งาน

เทคโนโลยีใหม่ๆ ก็มีมาพร้อมใช้งานและสามารถใช้งานได้รวดเร็วและใช้ได้จริงในสภาพท้องถนนบ้านเรา และประเด็นสำคัญคือเรื่องของสมรรถนะที่ยอมรับว่าขับสนุกมาก สมรรถนะเครื่องยนต์ดี เกียร์ดี ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง และนี่ยังมีดีในเรื่องระบบช่วงล่างที่โดดเด่นของมาสด้า

ยิ่งทำให้เป็นรถที่น่าสนใจและเป็นอีกตัวเลือกที่อยากให้ทุกท่านได้ลองขับด้วยตนเองหลังจากอ่านบทความนี้เลยจริงๆ ว่าเป็นอย่างไร แม้การปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งน้ำหนักแป้นเบรก แป้นคันเร่ง รวมไปถึงพวงมาลัยจะเบาเกินไปนิด สำหรับความคิดเห็นส่วนตัวของผม แต่ก็ย้อนกลับไปข้างต้นอีกทีว่า ...อยากให้คนที่กำลังมองหารถ SUV รุ่นใหม่ลองไปทดสอบด้วยตัวคุณเองจริงๆ

แล้วมาแชร์กัน ว่าที่ผมจั่วหัวไว้ว่า เอสยูวีแดนอาทิตย์อุทัย ที่สมรรถนะและคุณภาพเข้าใกล้รถยนต์ฝั่งยุโรปเข้าไปทุกที เป็นจริงมั้ย ?

ขอขอบคุณบริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด สำหรับทริปการทดสอบ All-New Mazda CX-5 สุดประทับใจในครั้งนี้ด้วยครับ

สำหรับ All-New Mazda CX-5 มีดังนี้

เครื่องยนต์ดีเซล SKYACTIV-D

รุ่น XDL ราคา 1.77 ล้านบาท

รุ่น XD ราคา 1.56 ล้านบาท

เครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G

รุ่น 2.0SP ราคา 1.53 ล้านบาท

รุ่น 2.0S ราคา 1.40 ล้านบาท

รุ่น 2.0C ราคา 1.29 ล้านบาท

ทดสอบและเขียวรีวิวโดย แอดโค้ก Peerapat.h (เข้ามาร่วมพูดคุย สอบถาม แชร์ประสบการณ์กันได้ครับ ยินดีต้อนรับทุกท่าน)

ติดตามข่าวสารอัพเดตเพิ่มเติม ได้ที่นี่

ค้นหารถยนต์มือสองสภาพดีการันตีจาก วันทูคาร์ ได้ที่นี่


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ