ลองขับ นิสสัน ลีฟ Nissan Leaf Test Drive in Singapore
ถือเป็นโอกาสสุดพิเศษจริงๆ สำหรับทีมงาน AutoSpinn ที่ได้รับเชิญจากทาง นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) เข้าร่วมงาน Nissan Futures งานแสดงเทคโนโลยี และการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ณ ประเทศสิงคโปร์
ซึ่งนอกจากจะได้ความรู้ และข้อมูลต่างๆ มากมายแล้ว แอดโค้ก ยังมีโอกาสได้ทดลองขับ Nissan Leaf รถยนต์ EV รุ่นยอดนิยมรุ่นใหม่ก่อนใคร พร้อมลองเทคโนโลยีต่างๆ ในรถมากมาย ซึ่งที่ชอบมากทีสุดคือแนวคิด e-Pedal หรือการพัฒนาการทำงานของแป้นคันเร่ง ที่กล่าวไปในข้างต้นว่า แป้นเดียว เที่ยวทั่วไทย จะเป็นอย่างไร เดี๋ยวจะกล่าวให้ฟังด้านล่าง
รูปลักษณ์ภายนอกโฉบเฉี่ยว ตามสมัยนิยม
จากที่เคยทำข่าวเกี่ยวกับ Nissan Leaf รุ่นใหม่ไป ต่างได้เสียงตอบรับจากแฟนๆ ชาวไทยได้ค่อนข้างดี เกี่ยวกับรูปลักษณ์ที่มีการออกแบบได้ค่อนข้างสวยงาม ถูกใจคนไทย เริ่มต้นกันที่ ด้านหน้ายังคงมาในเส้นสายสไตล์ V-Shape ที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของค่าย
ชุดโคมไฟหน้าแบบ LED โปรเจคเตอร์คู่ พร้อมไฟเดย์ไทม์รันนิ่งไลท์รูปทรง L นอน ด้านบนตามแบบซึ่งเป็นลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Nissan กระจังหน้าถูกตกแต่งด้วยชิ้นโครมเมี่ยมรูปทรงตัว V ลากยาวรับกับเส้นสายที่ลากมาจากฝากระโปรง พร้อมชิ้นพลาสติกสีดำแบบโปร่งใส หากได้รับแสงหรืออยู่กลางแจ้งจะเห็นรายละเอียดภายในเป็นลักษณะทรงเพชรสีน้ำเงินแสดงถึงความเป็นรถ EV สวยงามไปอีกแบบ
ถัดมาด้านล่างจะพบชุดไฟตัดหมอกซึ่งเป็นไฟตัดหมอกแบบ LED แสงสีขาวเรียบร้อย สังเกตุได้ว่าบริเวณเสาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เสาA เสาB และเสาC จะถูกตกแต่งด้วยสีดำเงาสีเดียวกันกับหลังคาซึ่งทำให้ตัวรถดูมีมิติ และมีความแปลกใหม่มากยิ่งขึ้น (หากตัวถังไม่ใช่สีดำ)
ด้านล้อจะมาพร้อมล้ออลูมิเนียมลวดลายใหม่สีทูโทน สเปคยาง 215 50 R17 บริเวณประตูหน้าจะพบเพลท Zero Emission บ่งบอกถึงความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เส้นสายด้านข้างตัวรถชัดเจน ในส่วนด้านท้ายโดดเด่นด้วยไฟท้ายรูปทรงบูมเมอแรง ทรงยอดฮิตของค่าย พร้อมฝาท้ายสีดำลากยาวมาตั้งแต่หลังคา ทำให้ด้านหลังมีมิติ ด้านล่างจะพบชุดดิฟฟิวเซอร์พร้อมตกแต่งด้วยคิ้วสีฟ้า บ่งบอกความเป็นรถไฟฟ้า
ชม Nissan Leaf รอบคันกันแบบชิลๆ ได้ข้างล่าง
ภายในเรียบหรู ฟังก์ชั่นครบครัน
ในส่วนภายนอกการดีไซน์ออกแบบเน้นความเรียบง่าย ไม่ซ้ำซ้อน ช่องแอร์สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่บริเวนด้านข้างทั้งสองฝั่ง พร้อมช่องแอร์สี่เหลี่ยมบริเวณกลางคอนโซลออกแบบสอดรับกับ ชุดจออินโฟรเทนเมนท์กลาง ที่สามารถควบคุมระบบเอนเตอร์เทรนเมนต์ต่างๆ อยู่ในระดับสายตา
ถัดลงมาจะพบแผงควบคุมระบบปรับอากาศต่างๆ ที่มาพร้อมระบบแอร์ออโต้ ถัดลงมาด้านล่างจะพบ ปุ่ม สตารท์เครื่องยนต์ พร้อมช่องเสียบ USB ช่องเสียงไฟ 12V และปุ่มควบคุมระบบเป่าลมเบาะนั่ง (ซึ่งเมื่อเข้าไทยไม่แน่ใจว่าจะมีออพชั่นนี้หรือไม่)
ด้านจอมาตรวัดมาพร้อมจอแสดงผลขนาดใหญ่บริเวณฝั่งซ้าย พร้อมมาตรวัดรอบเครื่องยนต์และบบการส่งกำลังรูปแบบวงกลมในฝั่งขวา พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบสามก้านทรงสปอร์ต ท้ายตัดออกแบบมาได้ค่อนข้างสวยงามตามแบบสมัยนิยมของรถยนต์ในรุ่นใหม่ๆ
โดยรวมถือเป็นการดีไซน์ที่เรียบๆ ใช้งานครบครัน ไม่ได้หวือหวาเท่าไรนัก แต่ไฮไลท์คงจะหนีไม่พ้นปุ่ม e-Pedal และชุดเกียร์ทรงกลมเล็กๆ กระทัดรัด พร้อมตกแต่งด้วยริ้วสีฟ้าให้ความรู้สึกล้ำอนาคต แต่การใช้งานไม่ได้ยากอย่างที่เห็นเพียงเพราะแผ่นป้ายตำแหน่งเกียร์ก็บอกอยู่บริเวณเหนือคันเกียร์
ไฮไลท์อีกประการคงจะหนีไม่พ้นเบาะนั่ง ทั้งตอนหน้า และตอนท้าย ที่โดดเด่นมากในเรื่องความกว้างขวาง โปร่งโล่งสบาย ไม่ว่าจะเป็นเฮดรูม ที่เหลือ และที่อลังการณ์คือพื้นที่ช่วงขาหรือเลขรูม ทียาวมาก (แอดสูงประมาณ 172 ซม.) ยังนั่งไขว้ห้างได้สบายๆ หากใครนึกภาพไม่ออก ความยาวจะพอๆ กับ Nissan Note ในบ้านเราเลยทีเดียว
ขุมพลังอัพเกรดใหม่ ขับได้ไกลถึง 400 กม. ตามสเปคโรงงาน
New Nissan Leaf จะมาพร้อมพละกำลังจากมอเตอร์ถึง 110 กิโลวัตต์ หรือ 150 แรงม้าแรงบิดมหาศาลถึง 320 นิวตันเมตร เลยทีเดียว พร้อมขับได้ไกลถึง 400 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มๆ 1 ครั้ง (ระยะเวลาการชาร์จอยู่ที่เสาจ่ายไฟฟ้า) ซึ่งการใช้งานจริงอาจต้องลบระยะทางสักหน่อย ตามสภาพแวดล้อมการขับของแต่ละคน
อย่างที่ทราบๆ กันว่ารถยนต์ EV การทำงานของมอเตอร์สามารถเร่งความเร็วได้โดยไม่ต้องรอบเครื่องยนต์จากการทดสอบภายในสนามเล็กๆ ที่ทำความเร็วได้ไม่มากเท่าไรนัก พบว่าอัตราเร่งถือว่าไม่ได้ขี้เหร่ทีเดียว แต่จะให้กดหลังติดเบาะขนาดรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ Tesla ก็ไม่ใช่
เนื่องจาก Nissan Leaf ถือเป็นรถยนต์นั่งประเภทใช้งานทั่วไป ไม่ได้เน้นเพอฟอร์แมนซ์ขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้อืดหรือเร่งช้าแต่อย่างใด (แอดโค้กไม่มีโอกาสวัด 0-100 เนื่องจากพื้นที่จำกัด) แต่ที่โดดเด่นคือความเงียบและการเก็บเสียงที่คนเดินภายนอกแทบจะไม่ได้ยินเลยทีเดียว
ขณะเดียวกัน ยังมีระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อีกเพียบทั้ง Intelligent Lane Intervention, Lane Departure Warning, Intelligent Emergency Braking, Blind Spot Warning, Traffic Sign Recognition, Rear Cross Traffic Alert และ Intelligent Around View Monitor
ไฮไลท์อีกประกอบทีจะมาแชร์กันตามที่กล่าวไปข้างต้นก็คือแป้น e-Pedal กับการลองใช้งานครั้งแรกแบบเต็มๆ ที่บอกว่า แป้นเดียวเที่ยวทั่วไทย คืออะไร ต้องอธิบายการทำงานของแนวคิดแป้นนี้ก่อน ด้วยแนวคิดการออกแบบที่จะทำให้การขับขี่ง่ายดายมากขึ้น
แรงดึงต่างๆ หลังจากเราถอดเท้าออกจากคันเร่ง อารมณ์เดียวกันกับ เอนจิ้นเบรก ของรถยนต์ทั่วไป แต่ e-Pedal มีแรงดึงมากกว่าหลายเท่าตัว ทดสอบครั้งแรกด้วยความไม่ชิน และความคุ้นเคยการเหยียบคันเร่งและเบรก ของรถทั่วไปทำให้มีอาการหน้าทิ่มเหมือนกันหลังจากลองถอนเท้าทันทีเมื่อต้องการเบรก แต่เมื่อขับไปประมาณ 1 รอบสนามเริ่มจับน้ำหนักได้ ก็พบว่าแนวคิดนี้มีประโยชน์และช่วยลดความเหนื่อยล้าในการขับได้เช่นเดียวกัน
การใช้งานง่ายๆ เพียงแค่เวลาต้องการเบรกให้เราค่อยๆ ถอนน้ำหนักเท้าจากคันเร่งอย่างเบาๆ เท่านั้นรถจะเบรกให้จนหยุดสนิททันทีจนเราไม่ต้องเหยียบเบรกแต่อย่างใด (แต่แป้นเบรกก็ยังมีอยู่ตามปรกตินะครับ ยังใช้งานได้เหมือนเดิม ในเวลาทีต้องการเบรกฉุกเฉินก็เหยียบแป้นเบรกได้)
ประโยชน์ก็แบบที่เล่าไปคือ ระหว่างเราถอนเท้าจากคันเร่ง นอกจากแรงดึงต่างๆ ที่ช่วยกลับมาปั่นกระแสไฟฟ้ากลับเข้าแบตเตอรี่แล้ว ยังช่วยให้ขับขี่ในเมืองได้สบายมากขึ้น ลดการขยับขาสลับไปเหยียบไปมา ระหว่าง แป้นคันเร่ง และเบรก ซึ่งระบบนี้สามารถ เปิด-ปิด ได้หากใครที่ไม่ต้องการใช้งาน แต่สำหรับผมถือเป็นสีสันใหม่ในการขับขี่รถยนต์ทีเดียว
อ่านมากันจนถึงตรงนี้อาจจะอยากทราบแล้วว่า พวกเราชาวไทยมีโอกาส ได้ใช้หรือเห็น Nissan Leaf รุ่นใหม่ รุ่นนี้ในบ้านเราหรือไม่ ผมฟันธงเลยว่าได้เห็นกันแน่นอนครับ เพราะทาง Nissan เปิดเผยถึงการทำตลาด Nissan Leaf รุ่นใหม่แล้วแถมมีประเทศไทยอยู่ในรายชื่อด้วย โดยจะเริ่มทำตลาดในช่วงปีงบประมาณหน้า ก็คือไม่เกิน 2019 นี้ ได้เห็นในบ้านเราแน่นอน แต่ราคายังไม่เปิดเผยแต่อย่างใดนะครับ
ขอขอบคุณบริษัท นิสสัน มอเตอร์ส (ประเทศไทย) สำหรับทริป Nissan Futures ในครั้งนี้ด้วยครับ
ทดสอบและรีวิวโดย แอดโค้ก
ติดตามข่าวสารอัพเดตเพิ่มเติม ได้ที่นี่
ค้นหารถยนต์มือสองสภาพดีการันตีจาก วันทูคาร์ ได้ที่นี่่
ความคิดเห็น