Autospinn ได้มีโอกาสนำ Nissan Note สีชมพู สวีทพิงค์ มารีวิวทดสอบกันอีกครั้ง โดยในครั้งนี้ เรามีโจทย์ในการทดสอบครั้งใหม่ คือ ขับยาวขึ้นเขา พร้อมด้วยผู้โดยสารอีก 3 คน พร้อมสัมภาระหลังรถ
รีวิว Nissan Note
หลังจากที่ Nissan Note ได้เปิดตัวในประเทศไทยไปเมื่อช่วงต้นเดือนมกราคมปีที่ผ่านมา ซึ่งหลายๆคนรอคอยการมาของ Ecocar คันถัดไปของค่าย Nissan หลังปล่อยให้รุ่นพี่อย่าง Nissan March และ Nissan Almera ทำตลาดในไทยมานานพอควร
เล่าให้ฟังก่อน Nissan Note มาพร้อมกับตัวถังที่ออกแบบใหม่ที่เพิ่มความสปอร์ตขึ้นชัดเจน ตั้งแต่กระจังหน้าแบบ V-motion ไฟหน้า LED ไฟท้ายแบบบูมเมอแรงพร้อมเบรค LED เส้นสายรอบคัน รวมถึงเทคโนโลยี Nissan Intelligence Driving ที่ถือว่าใช้งานได้จริง (มีในรีวิว) สำหรับ Note จะมีด้วยกันทั้งหมดสองรุ่นย่อย คือ V และ VL สำหรับรุ่นที่เราได้มาทดสอบคือ VL
สเป็ครถ Nissan Note
สำหรับสเป็ครถ Nissan Note จากเว็บไซต์ของ Nissan ใช้เครื่องยนต์รหัส HR12DE 3 สูบแถวเรียง DOHC ขนาด 1,198 ซีซี 79 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที ให้แรงบิดสูงสุด 106 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที พร้อมเกียร์อัตโนมัติ XTRONIC CVT ซึ่งก็เป็นเครื่องยนต์เดียวกับ Nissan March นั่นเอง
ส่วนความแตกต่างคร่าวๆระหว่างรุ่น V และ VL นอกจากออปชั่นรอบๆคันแล้ว จะมีเรื่องของระบบ Nissan Intelligence Driving ซึ่งไม่ว่าจะเป็นกล้อง 4 ตัวรอบทิศทาง เทคโนโลยีการแจ้งเตือนต่างๆทั้งเตือนการชนก่อนหน้า เบรคฉุกเฉินอัจฉริยะ ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน ซึ่งจะมีให้ในรุ่น VL เท่านั้น นอกเหนือจากนี้ถือว่าไม่หนีกันมากทั้งภายในและภายนอก (อยู่ที่ความชอบส่วนบุคคล)
ขับยาวจากกรุงเทพ ถึง เขาใหญ่
ผมและทีมงานอีกสามชีวิตขับ Nissan Note สีชมพูหวานแหว๋วคันนี้ออกจากกรุงเทพมุ่งสู่จังหวัดนครราชสีมา โดยเรามีจุดหมายปลายทางที่เขาใหญ่ พร้อมด้วยสัมภาระในการถ่ายทำรีวิวครั้งนี้เต็มหลังรถ
นอกเรื่องรีวิวนิดนึง ผมเพิ่งเคยขับรถสีชมพูครั้งแรกในชีวิต ปกติจะเน้นแนวสีดุๆ … ตอนรับรถมาขับ แอบเขิลนิดๆ เวลาใครมอง โดยเฉพาะสาวๆ ที่ชอบเหล่มามอง(รถ) อิอิ
เข้าเรื่องรถกว่า เส้นทางปกติที่ไม่ต้องมีการขึ้นทางชันสูงๆ Note สามารถพาผมและทีมงานทำความเร็วบนถนนได้อย่างไม่ลำบาก อัตราเร่งที่ค่อยๆไหลขึ้นตามสไตล์ของเกียร์ CVT ที่ไม่ได้พุ่งกระโชกโฮกฮาก แต่ก็ค่อยๆเร่งไปจนความเร็วไม่เกินที่กฎหมายกำหนดได้ไม่ยากลำบากนัก
จุดเด่นอย่างแรกที่ผมรู้สึกได้ผ่านเบาะที่ผมขับคือ ช่วงล่างครับ มีความนุ่มสบายเกินกว่าที่คาดคิดไว้ในโฉมรถ ecocar อยู่มากทีเดียว ทั้งลูกระนาด พื้นถนนที่แตก หลุมและบ่อ รวมถึงคอสะพานที่หัก ผมพยายามขับทั้งแบบชะลอรถผ่านจุดดังกล่าวและปล่อยคันเร่งแต่ไม่แตะเบรคให้รถไหลรูดไป ต้องถือว่าสัมผัสผ่านเบาะคนขับดีมากครับ อันนี้ประทับใจจริงๆ
แต่ก็อย่างที่คิดเอาไว้ ช่วงล่างนุ่มนวลขนาดนี้ หากคุณขับรถด้วยความเร็วสูง อาทิ วิ่งบนทางด่วน แล้วเจอลมพัดแรงๆ รถมีอาการโยนบ้างนะครับ ซึ่งเมื่อบวกกับรูปทรงและความสูงของตัวรถก็พอเข้าใจได้อยู่ คุณได้รถที่นุ่มนวลขนาดนี้ แต่คุณก็ต้องแลกกับอาการโยนของรถที่มีบ้างเมื่อใช้ความเร็วสูง
เรื่องต่อมาที่อยากเล่าคือ การเก็บเสียงที่เมื่อวิ่งที่ราวๆ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีเสียงลมลอดเข้ามาอยู่นะครับ แต่ต้องแปลกใจที่การเก็บเสียงใต้ท้องรถทำได้ดีมาก เรียกว่าถ้าคุณขับรถขึ้นลงพื้นต่างระดับ คุณแทบไม่ได้ยินเสียงการกระแทกของโช้คหรือยางเลย
ส่วนภายในห้องโดยสาร ถ้าใครเคยขับ Nissan March หรือ Almera มา จะนึกว่าเป็นรถที่เคยขับมา เหมือนกันแทบทุกอย่างครับ ต่างที่คอนโซลกลางที่ตกแต่งด้วยสี Piano Black ดำเงาดูหรูหราไม่น้อยพร้อมช่องแอร์แบบทรงกลม ซึ่งแอร์รุ่นนี้หนาวมากก แต่ถ้าใครชอบก็ดีใจด้วยครับ แอร์เย็นเร็วทันใจจริงๆ ส่วนแผงประตูต่างๆ ถอดออกมาตรงกับรถรุ่นพี่เลยครับ
ในรุ่น VL ได้เครื่องเสียงระบบสัมผัส 7” จาก Kenwood พร้อมลำโพง 4 ดอก ถือว่าพอเพียงสำหรับคนที่ไม่ได้หูเทพ ต้องใช้เครื่องเสียงหรือลำโพงแต่งเพื่อสนองการฟังเพลงครับ ที่ชอบมากคือตอบสนองต่อการสัมผัสไวไม่มีหน่วงให้เห็น เสียดายที่ไม่มี navigator มาให้ในตัว ต้องเชื่อมผ่านโทรศัพท์มือถือ
ที่ต้องชมอีกเรื่องคือ พวงมาลัยที่ออกแบบมาใหม่ D-Shape พร้อมมัลติฟังก์ชั่นควบคุมเครื่องเสียงและการโทรศัพท์รับสาย ที่ผมชอบคือสัมผัสของพวงมาลัย คือรู้นะว่าเป็นยูรีเทน แต่เออ เค้าทำมาดีจริงนะ เราจับแล้วไม่แข็งโป๊กหรือนุ่มไม่จับมือเกินไป เวลาหักเลี้ยว กระชับมือมาก รวมถึงให้น้ำหนักที่ไม่เบาหวิวหรือหนักมือเกินไป นอกจากนี้การสั่งบังคับทิศทางต่างๆ คม ไม่หลุดจากระยะที่กะไว้ครับ
อีก Feature เด็ดคือ Nissan Intelligence Driving ที่ให้มา ผมไล่ไปตั้งแต่กล้องมองรอบทิศทาง 4 ตัวก่อน กล้องจะทำงานอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่แสดงผลบนกระจกมองหลังจนกว่าจะเข้าเกียร์ถอยหลัง แต่สามารถเลือกกดได้ว่าจะให้ทำงานอยู่ตลอด หรือเลือกแสดงบางมุม รวมถึงยังต่อสัญญาณเข้าหน้าจอเครื่องเสียงได้อีกด้วย ซึ่งกล้องจะซ่อนอยู่ที่โลโก้หน้ารถ กระจกมองข้างสองบาน และบริเวณคิ้วเปิดท้ายรถ
ในส่วนของระบบการแจ้งเตือนการเบรคล่วงหน้า และเบรกฉุกเฉิน อันนี้ยังไม่ได้ลองครับแล้วก็ไม่อยากลองด้วย ฮ่าๆ แต่คิดว่าหากเกิดอะไรฉุกเฉินจริงๆ รถสามารถช่วยเราได้ในระดับนึงครับ(แต่อย่าไปลองระบบมันเลย ขับแบบปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าครับ) และอันสุดท้ายคือระบบแจ้งเตือนหากมีการเปลี่ยนเลนโดยไม่ตั้งใจ ส่วนนี้จะทำงานเมื่อรถความเร็วเกิน 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนะครับ โดยหากคุณขับเปลี่ยนเลนผ่านเส้นประหรือเส้นทึบบนถนน ระบบสัญญาณเตือนในรถจะร้องเตือนและหน้าปัดรถจะขึ้นสัญญาณเตือน
ถามผมว่ามันดีจริงไหม ใช้งานแล้วเป็นไง ตอบรวมๆเลยว่า ใช้งานดีจริงครับ โดยเฉพาะกล้อง 4 ตัวรอบคัน ซึ่งช่วยเราได้เยอะเมื่อต้องเข้าจอดในที่จำกัด ทั้งหมดนี้คุณสามารถเลือกเปิด/ปิดได้ ผ่านปุ่มคำสั่งควบคุมข้างๆพวงมาลัยทางขวาครับ อ่อ รถมีระบบ Idling Stop ตัดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อมีการเหยียบเบรคจนรถหยุดสนิทขณะเข้าเกียร์ D ซึ่งคุณก็สามารถปิดเองได้เช่นกัน
ส่วนเรื่องความสบายของผู้ขับขี่ เบาะถือว่ากระชับตัวอยู่พอควรครับ ผมขับรถไปกลับทั้งวันไม่เมื่อยนะ แต่ง่วงนอนมากกว่า(กินเยอะ) กระจกมองหลังให้มุมมองชัดเจนดีมาก อ่อ กระจกมองหลังมีตัวตัดแสงอัตโนมัตินะครับ ส่วนห้องโดยสารตอนหลังเหลือกินเหลือใช้เลยครับ นั่งสองคนด้านหลังนี่สบายๆไม่อึดอัดแน่นอน พร้อมประตูเข้าห้องโดยสารตอนหลังเปิดกว้างได้ถึง 85 องศาอีก รวมถึงประตูบานที่ห้าตามสไตล์รถแฮทแบ็ค 5 ประตูที่สามารถขนของได้สะดวกทีเดียว
มาถึงเรื่องสำคัญของบทความนี้ นั่นคือ Nissan Note พร้อมผู้โดยสารเต็มคันพร้อมสัมภาระ ลากยาวขึ้นเขาใหญ่ เป็นยังไงบ้าง ? ต้องเค้นคันเร่งครับ รถขึ้นได้ แต่จะค่อยๆไต่ขึ้นไป หากรถกำลังไม่พอ คุณกดปุ่ม Sport ข้างเกียร์ช่วยเพิ่มรอบให้แก่รถยังไงก็ขึ้นได้ครับ ในส่วนของการเร่งแซงรถคันหน้า ในทางปกติ ผมแนะนำว่าหากรถวิ่งมาด้วยความเร็วอยู่แล้ว แตะคิกดาวน์ก็แซงได้ครับ อาจจะต้องเผื่อระยะหากรถมีผู้โดยสารหลายคนอีกหน่อยก็ไม่มีปัญหาแล้วครับ
ส่วนอัตราการบริโภคน้ำมัน ขับใช้งานจริงพร้อมผู้โดยสารอีกสามคนบวกสัมภาระ หากวิ่งในกรุงเทพแบบติดขัดเช่นวิ่งเส้นถนนสุขุมวิท สาทร กินน้ำมัน กิโลต่อลิตรได้ประมาณ 13 ปลายๆครับ แต่ถ้าหากคุณวิ่งออกต่างจังหวัด มี 15-17 แน่นอนครับ และผมเอาไปทดสอบขึ้นลงเขามา กินน้ำมันราวๆ 13-15 ครับ
แต่! ถ้าคุณขับคนเดียว แล้วได้วิ่งยาวๆ มี 18-21 แน่นอนครับ! ถ้าคุณขับแบบรักษารอบความเร็ว และไม่กดคันเร่งเปลืองโดยใช่เหตุ รถเค้าประหยัดมากอยู่นะ
สรุป
ถ้าคุณมองหารถยนต์เครื่อง 1200 สำหรับครอบครัวขนาดย่อมๆ 3-4 คน ที่สามารถพาคุณไปไหนมาไหนด้วยความคล่องตัว พร้อมเทคโนโลยีที่รอบคันที่ใช้งานได้จริง ห้องโดยสารตอนหลังที่กว้างสบาย ทั้งหมดนี้พร้อมกับอัตราการกินน้ำมันราวๆ 13-21 กิโลเมตรต่อลิตร (ขึ้นกับจำนวนผู้โดยสารและสัมภาระในตัวรถ) ช่วงล่างที่นุ่มนวล กับค่าตัวเริ่มต้นที่ 568,000 บาท ถึง 640,000 บาท คุ้มหรือไม่ คุณเท่านั้นที่เป็นผู้ตัดสินได้ครับ
ขอบคุณช่างภาพ น้องกบ - Kittipong A, น้องธี Ananpong.C , น้องพงษ์ - Nattapong.T, รถสนับสนุนการถ่ายทำ น้องแชมป์ - Wongsathon.W
ขอบคุณบริษัท นิสสัน มอเตอร์(ประเทศไทย)จำกัด สำหรับ Nissan Note สีชมพูสวีทพิงค์ในการรีวิวทดสอบด้วยครับ :)
รีวิวโดย megaTON
ปล. เวอร์ชั่น vdo อดใจรออีกหน่อยนะครับ
ติดตามข่าวรถยนต์ ราคารถยนต์ รีวิวรถยนต์ และจักรยานยนต์ทุกยี่ห้อ กับเรา Autospinn
แชร์ความคิดเห็นบนเว็บบอร์ด Autospinn คลิกเลย webboard.autospinn.com
เช็คโปรโมชั่นรถใหม่ เช็คราคารถใหม่ ได้ที่นี่
ราคารถมือสอง ซื้อรถมือสอง ขายรถมือสอง เชิญได้เลยที่ one2car
ความคิดเห็น