[PR News] ก้าวเข้าสู่ยุคสมัยของพลังขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าอย่างแท้จริงกับ ปอร์เช่ ไทคานน์ ใหม่ (The new Porsche Taycan) Share this

[PR News] ก้าวเข้าสู่ยุคสมัยของพลังขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าอย่างแท้จริงกับ ปอร์เช่ ไทคานน์ ใหม่ (The new Porsche Taycan)

megaTON
โดย megaTON
โพสต์เมื่อ 22 October 2561

ปอร์เช่มุ่งเน้นลงทุนในภารกิจหลัก พัฒนากระบวนการผลิตรูปแบบใหม่ พร้อมเพิ่มเติมหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อพัฒนา บุคลากร


สตุ๊ทการ์ท. ด้วยการทุ่มงบประมาณลงทุนสูงถึง 6,000 ล้านยูโร พร้อมด้วยบุคลากรคุณภาพกว่า 1,200 ตำแหน่ง ทั้งหมดนี้เพื่อการถือกำเนิดของปอร์เช่ ไทคานน์ (Porsche Taycan) เท่านั้น พร้อมกับการมุ่งมั่นปรับปรุงพัฒนาสายการ ผลิตใหม่ Porsche Production 4.0 ผสานกับแคมเปญเผยแพร่องค์ความรู้ให้ กระจายทั่วถึงทุกภาคส่วนภายในองค์กร: ตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นต่อพันธกิจการสร้างสรรค์อนาคตของยานพาหนะพลังงานไฟฟ้า บริษัทผู้ผลิตยนตรกรรมสปอร์ต ระดับแนวหน้าของโลก กำลังดำเนินการเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างยิ่งใหญ่ และนี่คืออีกหนึ่งครั้งที่หน้าประวัติศาสตร์วงการ ยานยนต์จะต้องจารึกเอาไว้

“เราคาดการณ์ว่าภายในปี 2025 กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ของรถยนต์ปอร์เช่รุ่นใหม่ที่วางจำหน่าย จะเป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อน ด้วยพลังงานไฟฟ้า” ข้างต้นคำกล่าวของ Lutz Meschke รองประธานและสมาชิกคณะกรรมการบริหาร ผู้รับผิดชอบกำกับ ดูแลส่วนงานการเงินและเทคโนโลยีสารสนเทศของปอร์เช่ งบประมาณดังกล่าวจะครอบคลุมถึงการลงทุนในภาคปฏิบัติ อีกด้วย อาทิ การพัฒนาหน่วยงานและปรับปรุงกรรมวิธีการผลิต นอกจากนี้ยังรวมถึงการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตาม เป้าหมายในแง่ของผลกำไรขั้นต้นซึ่งจะต้องทำให้ได้อย่างน้อย 15 เปอร์เซ็นต์นั้นยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด "นอกเหนือจากกระบวนการผลิตที่ได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพ ในส่วนของรายรับจากผลิตภัณฑ์และบริการด้านดิจิทัลควร จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น สืบเนื่องจากความสำเร็จของธุรกิจหลักของเรา" Meschke กล่าวเสริม

อีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงถึงศักยภาพระดับสูงของกระบวนการผลิตรถยนต์และการประยุกต์ใช้ทรัพยากรในสายการผลิต
ปอร์เช่ ไทคานน์ ใหม่ (The new Porsche Taycan) นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า “factory within a factory” ในโรงงานหลักที่ Zuffenhausen ปอร์เช่เริ่มส่งสัญญาณที่บ่งบอกถึงการยกระดับตนเองออกจากขั้นตอนการผลิตรูปแบบเดิม Albrecht Reimold สมาชิกคณะกรรมการบริหารผู้ดูแลรับผิดชอบสายการผลิตและโลจิสติกส์ อธิบายว่า: “ด้วยการนำกระบวน การผลิตแบบยืดหยุ่นมาปรับใช้งาน ปอร์เช่จะกลายเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่ใช้ระบบการขนส่งของสายงานแบบ driverless transport systems อย่างต่อเนื่องในสายพานการผลิต” สิ่งนี้จะช่วยให้เกิดการผสมผสานข้อได้เปรียบนานับ ประการระหว่างวิธีการผลิตแบบดั้งเดิมอันรวดเร็วและวิธีการผลิตแบบยืดหยุ่นที่เต็มไปด้วยความอเนกประสงค์ ยิ่งไปกว่านั้นวิธีการดังกล่าวยังช่วยเพิ่มจำนวนรอบในการปฏิบัติงานให้สูงขึ้น โดยที่ใช้พื้นที่ในการผลิตเท่าเดิมด้วยแนวคิด ที่ยึดตามหลัก “smart, green, lean” ปอร์เช่ยังสามารถควบคุมการใช้ทรัพยากรสำหรับการผลิตได้อย่างดี เยี่ยมอีกด้วย กระบวนการผลิตปอร์เช่ ไทคานน์ (Porsche Taycan) นั้น ไม่ก่อให้เกิดมลพิษจากสารประกอบคาร์บอน สายการผลิต แห่งนี้ตั้งเป้าหมายเพื่อการเป็นโรงงานที่ปราศจากผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยสมบูรณ์ในอนาคต

การผลิตปอร์เช่ ไทคานน์ (Porsche Taycan) ช่วยสร้างตำแหน่งงานใหม่กว่า 1,200 งานให้แก่โรงงาน Zuffenhausen “ปอร์เช่ ไทคานน์ (Porsche Taycan) นับเป็นหนึ่งในโครงการที่สร้างสรรค์ตำแหน่งงานมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ของบริษัท” Andreas Haffner สมาชิกคณะกรรมการบริหารผู้ดูแลรับผิดชอบส่วนงานทรัพยากรบุคคลและพัฒนาสังคม กล่าวย้ำความสำคัญ พนักงานใหม่ทุกคนจะไม่เพียงทำหน้าที่ผลิต ไทคานน์ (Taycan) เท่านั้น; แต่พวกเขายังรับบทบาท ในการผลิตรถสปอร์ต 2 ประตูรุ่นอื่นๆ อีกด้วย เป้าประสงค์หลักของปอร์เช่สำหรับรองรับการมาถึงของไทคานน์ (Taycan) คือการสร้างสรรค์ทีมงานที่เต็มไปด้วยส่วนผสมอันลงตัวระหว่างบุคลากรผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการผลิตรถสปอร์ตกับบุคลากรรุ่นใหม่ การพัฒนาดังกล่าวประกอบด้วยหลักสูตรการฝึกอบรมพิเศษสำหรับบุคคลจำนวนมากซึ่งจะเกิดขึ้น ได้ด้วยการเนรมิตโถงของโรงงานผลิต Zuffenhausen ให้กลายเป็นศูนย์ฝึกอบรมที่เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์เพื่อการเรียน รู้ในรูปแบบดิจิทัลมากกว่า 1,200 ช่องทางการฝึกอบรม และเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเนื้อหาหลักสูตร ได้โดยอิสระและตอบโจทย์ความต้องการของบุคลากรแต่ละคน นอกจากนี้สำหรับพนักงานปัจจุบันสามารถเข้าร่วม การอบรมเพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นส่วนหนึ่งของยุคสมัยแห่งยานพาหนะพลังงานไฟฟ้าจากปอร์เช่

 

ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดขององค์ความรู้ที่มีการเคลื่อนไหวและถ่ายทอดระหว่างสายงานมอเตอร์สปอร์ตและสายการผลิตรถยนต์ปกตินั้นจำเป็นต้องได้รับการเผยแพร่ในวงกว้างยิ่งขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ รถแข่งปอร์เช่ 919 ไฮบริด (Porsche 919 Hybrid) ผู้พิชิตชัยชนะจากการแข่งขัน Le Mans มาแล้วหลายครั้ง ทั้งนี้นวัตกรรมเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนด้วยแรง ดันไฟฟ้า 800 โวลต์ ที่ได้รับการติดตั้งใน ไทคานน์ (Taycan) คือสิ่งที่ส่งต่อมาจากรถแข่งพลังแรงคันดังกล่าว ระบบขับเคลื่อนสุดล้ำที่เป็นหัวใจหลักของปอร์เช่ 919 (Porsche 919) มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดบรรทัดฐานให้ กับแหล่งกำเนิดพลังงานไฟฟ้าในรถยนต์: ไม่ว่าจะเป็นชุดแบตเตอรี่  การจัดวางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รวมไปถึงปริมาณ ความจุและกระบวนการชาร์จพลังงาน ทั้งหมดข้างต้นล้วนแล้วแต่ผ่านการค้นคว้า วิจัย พัฒนาอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ เหมาะสมกับศักยภาพระดับสูงของระบบ 800 โวลต์ ปอร์เช่ผลักดันทุกความเป็นไปได้โดยมี จุดมุ่งหมายในการก้าว ข้ามขีดจำกัดเดิมในด้านเทคนิคให้หมดสิ้นไป โดยแบตเตอรี่แบบ liquid-cooled lithium-ion เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรม ที่ถือกำเนิดขึ้นเพื่อให้สามารถสนองตอบต่อเงื่อนไขของการประลองความเร็วบนสนามแข่งขันอันสุดแสนทรหด ปอร์เช่มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีมากมายมาเป็นระยะเวลายาวนานจนกระทั่งประสบความสำเร็จด้วยการสร้างอุปกรณ์กัก
เก็บพลังงานไฟฟ้าที่มีความจุมหาศาลอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน สำหรับ ไทคานน์ (Taycan) ผลจากความล้ำหน้า ของสถาปัตยกรรม 800 โวลต์ คือเครื่องยืนยันถึงประสิทธิภาพชั้นเลิศในการชาร์จ พลังงานย้อนกลับมายังแบตเตอรี่ lithium-ion ด้วยระยะเวลาเพียง 4 นาที สามารถชาร์จพลังงานเพียงพอสำหรับการเดินทางไกลถึง 100 กิโลเมตร (ทดสอบตาม มาตรฐาน NEDC) การถ่ายทอดข้อมูลความรู้ในลักษณะดังกล่าวจะได้รับการยกระดับขึ้นไปอีกขั้น หลังจากปอร์เช่เข้าร่วม การแข่งขันในรายการ Formula E ตั้งแต่ฤดูกาล 2019/2020

 

กระบวนการ Quick charging มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบชาร์จพลังงานสำหรับยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า นั่นคือเหตุผลที่โครงการปอร์เช่ E-Performance ตัดสินใจลงมือพัฒนาในหลากหลายจุด ครอบคลุมทั้งระบบสาธารณูปโภค ที่สามารถตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาการใช้งานทั้งภายในที่พักอาศัยและระหว่างการเดินทาง ด้วยปริมาณความจุพลังงาน ไฟฟ้าสูงสุดกว่า 22 กิโลวัตต์ ระบบ Porsche Mobile Charger Connect จึงถึงพร้อมด้วยความรวดเร็ว สะดวกสบาย และเมื่อทำการชาร์จพลังงานให้แก่ ไทคานน์ (Taycan) ในยามจอดข้ามคืนที่บ้าน ผู้ใช้งานสามารถทำการชาร์จผ่าน ระบบเทคโนโลยีเหนี่ยวนำ หรือ inductive technology ได้อีกด้วย ในส่วนของการจับมือทำธุรกิจกับพันธมิตรชั้นนำอย่าง Ionity – ซึ่งร่วมดำเนินงานกับ BMW, Daimler และ Ford – ปอร์เช่จะก่อสร้างและเปิดให้บริการสถานีชาร์จพลังงาน ไฟฟ้ากำลังสูงซึ่งติดตั้งหัวจ่ายความจุ 350 กิโลวัตต์ กว่า 400 แห่งทั่วภาคพื้นยุโรปภายในสิ้นปี 2019 ในส่วนของประเทศสหรัฐอเมริกา เครือ VW Group และบริษัทผู้ให้บริการด้านสถานีพลังงานชั้นนำ Electrify America จะเริ่มทำการติดตั้งจุดชาร์จพลังงานไฟฟ้า (ความจุสูงสุด 350 กิโลวัตต์) ในกว่า 300 สถานีตลอดเส้นทางมอเตอร์เวย์ ตั้งแต่ปี 2019 นอกจากนี้ปอร์เช่ยังมีแผนติดตั้งจุดบริการชาร์จพลังงานแบบ AC เพิ่มเติมมากกว่า 2000 แห่ง อาทิ ภายในบริเวณโรงแรมต่างๆ ในกว่า 20 ประเทศ ในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับกำหนดการเปิดตัวของปอร์เช่ ไทคานน์ (Porsche Taycan) เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในการเข้าถึงโครงข่ายการชาร์จพลังงานผ่านบริการ Porsche charging service อย่างทั่วถึง โดยโครงข่ายดังกล่าวจะรับบทบาทใน การตอบสนองการใช้งานสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าของ กลุ่มลูกค้าทั่วทั้งทวีปยุโรป และเป็นการร่วมกันบริหารจัดการจากหลากหลายผู้ให้บริการ ทั้งนี้ปอร์เช่จะรับหน้าที่เป็นศูนย์ กลางในการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น

เช็คราคารถใหม่ และโปรโมชั่น ได้ที่นี่ ที่นี่
ต้องการซื้อรถมือสอง ตรวจสอบราคารถยนต์มือสอง เชิญที่นี่
มาร่วมแชร์ความเห็นของคุณบนเวบบอร์ด Autospinn คลิกที่นี่

                          


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ