กว่าจะมาเป็นรถยนต์ให้เราขับหรือโดยสารกันในปัจจุบันนี้ รถยนต์ผ่านการพัฒนามาหลายยุคหลายสมัย กว่าจะพัฒนารถยนต์จนทันสมัยมาจนถึงทุกวันนี้ ล้วนผ่านประวัติศาสตร์มามากมาย สำหรับคอลัมน์ Autospinn Fact ในตอนนี้ จะพาทุกคนไปรับทราบประวัติที่มาที่ไปของรถยนต์กันครับ
รถยนต์ หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษ car หรือ automobile เป็นพาหนะที่มีล้อและเครื่องยนต์สำหรับการเดินทาง รถยนต์ได้รับนิยามเป็นสิ่งที่วิ่งอยู่บนถนน มีที่นั่งตั้งแต่หนึ่งถึงแปด มีล้อ 4 ล้อ และบรรทุกผู้โดยสารมากกว่าขนสัมภาระสินค้า
รถยนต์มีบทบาทในในชีวิตประจำวันในช่วงศตวรรษที่ 20 และการพัฒนาเศรษฐกิจจำนวนมาก ในปี 1886 ถือเป็นปีกำเนิดรถที่มีความทันสมัยเมื่อนักประดิษฐ์ชาวเยอรมัน Karl Benz ได้จดสิทธิบัตรรถ Benz Patent-Motorwagen หลังจากความนิยมของรถยนต์ก็แพร่หลายในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 หนึ่งในรถที่ก้าวเข้าสู่การผลิตจำนวนมากได้แก่ 1908 Model T รถยนต์สัญชาตอเมริกันซึ่งผลิตโดย Ford Motor Company รถยนต์ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในสหรัฐอเมริกาซึ่งมาแทนที่การใช้สัตว์เลี้ยงลากจูงและเกวียน แต่ยังไม่ได้รับการยอมรับในฝั่งยุโรปตะวันออกและกลุ่มประเทศอื่นๆ
รถยนต์สามารถควบคุมในการขับขี่ จอด ให้ความสะดวกสบายในการเดินทาง และความปลอดภัย และสามารถควบคุมไฟได้หลากหลายรูปแบบ เป็นเวลากว่าหลายทศวรรษที่มีการเพิ่มคุณสมบัติและการควบคุมต่างๆเพิ่มเข้ามาในรถยนต์ ซึ่งมีความหลากหลายยิ่งกว่าเดิม อาทิ กล้องมองขณะถอยหลัง ระบบแอร์ ระบบนำทาง และระบบอำนวยความบันเทิงภายใน รถยนต์ส่วนใหญ่ในปี 2010 เป็นต้นไปเป็นรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ใช้พลังงานจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งกลายเป็นสาเหตุให้เกิดมลพิษทางอากาศและมีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศและภาวะโลกร้อน รถยนต์ที่ใช้พลังานทางเลือกอาทิดเช่น รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเอธานอลและแก๊สกำลังได้รับความนิยมได้บางประเทศ รถยนต์ไฟฟ้าซึ่งได้รับการคิดค้นขึ้นในช่วงต้นของประวัติศาสตร์รถยนต์กลายมารถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตเพื่อการค้าในปี 2008
ในส่วนความคุ้มค่าและค่าใช้จ่ายในการใช้รถยนต์ ค่าใช้จ่ายรวมถึงค่าใช้จ่ายในการซื้อ ดอกเบี้ย เงินดาวน์ ค่าบำรุงและรักษา ค่าน้ำมัน ค่าเสื่อม เวลาในการขับ ค่าจอดรถ ภาษีซึ่งรวมถึงค่าบำรุงรักษาถนน การใช้พื้นที่บนถนน มลพิษทางอากาศ สาธารณสุข สุขภาพของคนในชุมชน ซึ่งอุบัติเหตุบนถนนเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บถึงเสียชีวิตทั่วโลก
รถยนต์มีประโยชน์ได้ด้านการคมนาคม ความคล่องตัว และความสะดวกสบาย โดยมีส่วนช่วยได้ด้านการสร้างอาชีพผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ ก่อให้เกิดการคมนาคมต่างๆ สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวและเดินทาง และได้กำไรจากการจัดเก็บภาษี ผู้คนสามารถเดินทางได้สะดวกสบายยิ่งขึ้นจากรถยนต์ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมเป็นอย่างมาก คาดว่าในปี 2014 มีจำนวนรถยนต์มากกว่า 1.25 ล้านล้านคัน เพิ่มขึ้นกว่า 500 ล้านคันในปี 1986 จำนวนรถมีการเพิ่มอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในประเทศจีน อินเดีย และประเทศอุตสาหกรรมใหม่
รถยนต์คันแรกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ไอน้ำ ถูกสร้างโดย Ferdinand Verbiest ชาวเบลเยี่ยมซึ่งเป็นหนึ่งในคณะแสวงบุญพระเยซูอิตในประเทศจีนราวๆค.ศ 1672 โดยผลิตออกมาเป็นขนาดเท่าโมเดลของเล่นยาว 65 เซนติเมตรสำหรับจักรพรรดิจีน โดยไม่สามารถขึ้นไปขับหรือบรรทุกผู้โดยสารได้
เครื่องยนต์ไอน้ำรุ่น 1771 ของ Cugnot ซึ่งได้รับการเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ Musée des Arts et Métier นักประดิษฐ์ชาวปารีส Nicolas-Joseph Cugnot ได้รับการกล่าวถึงในวงกว้างผ่านการผลิตพาหนะที่มีกลไกในการเคลื่อนไหวได้เองหรือรถยนต์แบบเต็มรูปแบบในปี 1769 โดยเขาได้สร้างรถสามล้อขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรไอน้ำ รวมถึงรถไถพลังไอน้ำสำหรับกองทัพฝรั่งเศส ซึ่งหนึ่งในนั้นถูกเก็บไว้ที่โรงเรียน National Conservatory of Arts and Crafts อย่างไรก็ดี งานประดิษฐ์ของเขาต้องมีปัญหาเกิดความไม่สมบูรณ์จากการจ่ายน้ำและรักษาแรงดันของเครื่องยนต์ ในปี 1801 Richard Trevithick ได้สร้างและสาธิตรถ Puffing Devil ของเขา และยังประสบปัญหาเช่นเดียวกันคือมีแรงดันไอน้ำไม่เพียงพอในการวิ่งระยะยาวและสามารถใช้ได้จริงเพียงบางส่วนเท่านั้น
การพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปภายนอกถือเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของรถยนต์แต่ถูกนับแยกออกจากการพัฒนารถยนต์ที่แท้จริง มีพาหนะอีกหลากหลายแบบที่ใช้เครื่องยนต์ไอนำในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 รวมถึงรถยนต์พลังไอน้ำ รถเมล์ไอน้ำ รถม้าเปิดประทุน และรถเลื่อน นำไปสู่ Locomotive Acts หรือพระราชบัญญัติหัวรถจักรในปี 1965
ในปี 1807 Nicéphore Niépce และน้องชาย Claude ได้สร้างเครื่องยนต์สันดาปภายในซึ่งอาจจะเป็นครั้งแรกของโลก (ซึ่งพวกเขาเรียกว่า Pyréolophore) แต่เลือกที่จะติดตั้งลงในเรือสำหรับแม่น้ำ Saone ในประเทศฝรั่งเศส โดยบังเอิญในปี 1807 นักประดิษฐ์ชาวสวิส François Isaac de Rivaz ซึ่งได้ออกแบบเครื่องยนต์สันดาปภายในและใช้ในการพัฒนารถยนต์เป็นคันแรกของโลกที่ให้กำลังผ่านเครื่องยนต์ Pyréolophore ของ Niépce ได้รับส่วนผสมของพลังงานจากผง Lycopodium (เกสรจากต้น Lycopodium) เถ้าถ่านป่นละเอียดและเรซินซึ่งมีส่วนผสมของน้ำมัน ส่วน Rivaz ใช้ส่วนผสมจากไฮโดรเจนและออกซิเจน ทั้งคู่ประสบความสำเร็จกลายมาเป็นกรณีศึกษาให้แก่คนอื่นๆ อย่างเช่น Samuel Brown, Samuel Morey และ Etienne Lenoir พร้อม Hippomobile ของเขา โดยแต่ละคนได้สร้างพาหนะ(ซึ่งเป็นการประยุกต์จากแคร่หรือรถเข็น)ติดตั้งเครื่องยนต์สันดาปภายใน
ในปี 1881 เดือนพฤศจิกายน Gustave Trouvé ได้สาธิตรถสามล้อซึ่งใช้พลังงานไฟฟ้าที่งาน International Exposition Electricity ที่ Paris แม้ว่าวิศวกรเยอรมันหลายๆคน (รวมถึง Gottlieb Daimler, Wilhelm Maybach, and Siegfried Marcus) จะหาวิธีการในการแก้ไขปัญหาในเวลาเดียวกัน แต่ Karl Benz นั้นเป็นที่รู้จักกันในฐานะผู้คิดค้นรถยนต์สมัยใหม่
ในปี 1879 Benz ได้จดสิทธิบัตรสำหรับเครื่องยนต์เครื่องแรกซึ่งได้รับการออกแบบในปี 1878 โดยมีเครื่องยนต์สันดาปภายในอีกหลายเครื่องที่สามารถขับเคลื่อนรถยนต์ได้ รถ Motorwagen ของ Benz ถูกผลิตขึ้นในปี 1885 ที่เมือง Mannheim ประเทศเยอรมัน Benz ได้รับรางวัลจากสิทธิบัตรจากเครื่องยนต์ที่นำไปใช้ได้จริงในวันที่ 29 มกราคม ปี 1886 (ภายใต้บริษัท Benz&Cie ซึ่งก่อตั้งในปี 1883) Benz เริ่มวางขายรถยนต์ในวันที่ 3 มิถุนายน ปี 1886 และมีรถยนต์ของ Benz ถึง 25 คันถูกขายในช่วงระหว่างปี 1888 และ 1893 ผ่านรถยนต์สี่ล้อในราคาที่สามารถซื้อมาใช้งานได้ รถยนต์ทั้งหมดใช้เครื่องยนต์สี่สูบ Emile Roger ชาวฝรั่งเศส ได้ผลิตเครื่องยนต์ภายใต้ลิขสิทธิ์ของ Benz ได้เพิ่มรถยนต์ Benz เข้าไปอยู่ในกลุ่มรถที่ขาย เนื่องด้วยประเทศฝรั่งเศสมีการผลิตและขายรถในฝรั่งเศสผ่าน Roger มากกว่าที่ Benz ขายในประเทศเยอรมัน ในเดือนสิงหาคม 1888 Bertha Benz ภรรยาของ Karl Benz ได้เดินทางด้วยรถยนต์เพื่อพิสูจน์ความคุ้มค่าจากรถยนต์ที่สามีเธอคิดค้นขึ้น
ในปี 1896 Benz ได้ออกแบบและจดสิทธิบัตรเครื่องยนต์สันดาปภายในสูบนอน โดยเรียกว่า boxermotor ในช่วงปีสุดท้ายของศตวรรษที่ 19 Benz เป็นบริษัทรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกด้วยจำนวนรถที่ผลิต 572 คันในปี 1899 จึงทำให้ Benz & Cie เข้ามาร่วมเป็นหุ้นส่วนร่วมกัน รถยนต์คันแรกในยุโรปกลางและเป็นรถคันแรกที่มีชื่อว่า Präsident automobil ที่สร้างจากโรงงานในโลกถูกผลิตโดยบริษัท Nesselsdorfer Wagenbau ของประเทศเชค (ภายในเปลี่ยนชื่อ Tatra) ในปี 1897
Daimler และ Maybach ก่อตั้ง Daimler Motoren Gesellschaft(DMG) ที่เมือง Cannstatt ในปี 1890 และขายรถยนต์คันแรกในปี 1892 ภายใต้แบรนด์ Daimler ซึ่งได้เริ่มสร้างรถม้าลากโดยผู้ผลิตรายอื่นก่อนที่จะใช้เครื่องยนต์เข้ามาทดแทน ในปี 1895 มีรถยนต์กว่า 30 คันถูกสร้างและผลิตโดย Daimler และ Maybach ทั้งที่ทำงานของ Daimler หรือใน Hotel Hermann ที่ซึ่งได้มีการตั้งโรงงานขนาดเล็ก Benz, Maybach และทีมของ Daimler ไม่ได้สังเกตเห็นงานที่แต่ละคนทำไปก่อนหน้า ซึ่งพวกเขาไม่ได้เคยทำงานร่วมกันมาก่อนจนเมื่อทั้งคู่ได้รวมกันเป็นบริษัทเดียว Daimler และ Maybach ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ DMG อีกต่อไป Daimler เสียชีวิตในปี 1900 และต่อมาภายในปีนั้นเอง Maybach ได้ออกแบบเครื่องยนต์โดยใช้ชื่อ Daimler-Mercedes ที่ถูกใช้เป็นรุ่นที่ถูกสร้างขึ้นเฉพาะโดย Emil Jellinek ซึ่งเป็นการผลิตเพียงจำนวนไม่มากสำหรับ Jelinek ในการแข่งขันและทำตลาดในประเทศ สองปีถัดมาในปี 1902 รถ DMG รุ่นใหม่ถูกผลิตออกมาและได้รับการตั้งชื่อว่า Mercedes แทน Maybach โดยมีกำลัง 35 แรงม้า หลังจากนั้นเพียงไม่นาน Maybach ลาออกจาก DMG และเปิดธุรกิจของตัวเอง สิทธิ์ในการใช้ชื่อแบรนด์ Daimler จึงถูกขายต่อไปยังผู้ผลิตรายอื่น
Karl Benz ได้เสนอความร่วมมือระหว่าง DMG และ Benz & Cie. เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในประเทศเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ผู้อำนวยการของ DMG ปฏิเสธในช่วงแรก การต่อรองระหว่างสองบริษัทใช้เวลานานร่วมหลายปีและเมื่อสถานการณ์ต่างๆย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ในปี 1924 ทั้งสองบริษัทตัดสินใจเซ็นสัญญาข้อตกลงร่วมกันซึ่งจะหมดอายุในปี 2000 โดยทั้งสองบริษัทจะใช้การออกแบบ ผลิต การจัดซื้อและขายในมาตรฐานแบบเดียวกันและได้โฆษณาหรือทำตลาดรถยนต์ทั้งสองบริษัทร่วมกันถึงแม้จะคงรักษาเอกลักษณ์ของทั้งสองแบรนด์ไว้ เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ปี 1926 Benz & Cie และ DMG ก็ได้ควบรวมกันกลายเป็นบริษัท Daimler-Benz เริ่มต้นตั้งชื่อรถรุ่นใหม่เป็น Mercedes Benz เพื่อแสดงการให้เกียรติแก่รุ่นที่มีความสำคัญมากที่สุดของรถจาก DMG ส่วนการออกแบบภายหลังจาก Maybach คือรุ่น 1902 Mercedes กำลัง 35 แรงม้า Karl Benz ยังคงเป็นสมาชิกสมาชิกในบอร์ดผู้อำนวยการของ Daimler-Benz จนเขาเสียชีวิตในปี 1929 และลูกชายทั้งสองคนได้บริหารบริษัทต่อ
ในปี 1890 Émile Levassor และ Armand Peugeot แห่งฝรั่งเศสเริ่มการผลิตรถยนต์โดยใช้เครื่องยนต์จาก Daimler และทำให้เกิดรากฐานแห่งวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ของฝรั่งเศส ในปี 1891 Auguste Doriot และเพื่อนร่วมงานของ Peugeot ที่ชื่อ Louis Regoulot สามารถขับรถยนต์ Peugeot Type 3 ซึ่งพวกเขาออกแบบเอง และใช้เครื่องยนต์น้ำมันที่สร้างจากเครื่องยนต์ของ Daimler วิ่งจนจบทริประยะไกล 2,100 กิโลเมตรจาก Valentigney ไปยัง Paris และ Brest และวิ่งย้อนกลับ โดยใช้เวลาทั้งสิ้นหกวัน เอาชนะนักปั่นจักรยาน Charles Terront
รถยนต์คันแรกของอเมริกันที่ใช้เครื่องยนต์น้ำมันเชื้อเพลิงถูกออกแบบขึ้นในปี 1877 โดย George Selden Rochester ที่เมือง New York โดย Selden ได้จดสิทธิบัตรในปี 1879 แต่สิทธิบัตรดังกล่าวหมดอายุไปด้วยเหตุที่รถไม่เคยถูกผลิตขึ้น หลังจากการห่างหายในการผลิตรถตามสิทธิบัตรถึง 16 ปี เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 1985 Selden ได้รับสิทธิบัตรจากสหรัฐอเมริกา (สิทธิบัตร U.S Patent 549, 160) ด้วยเครื่องยนต์แบบสองสูบ ซึ่งทำให้เกิดการกระตุ้นในการพัฒนารถยนต์อย่างมากในสหรัฐอเมริกา สิทธิบัตรของเขายังได้รับการแข่งขันจาก Henry Ford และคนอื่นๆ และถูกทำให้ยุติลงในปี 1911
ในปี 1893 มีรถสัญชาติอเมริกันที่ใช้น้ำมันถูกสร้างและวิ่งบนถนนจริงเป็นครั้งแรกจากสองพี่น้อง Duryea จาก Springfield รัฐ Massachusetts โดยรถ Duryer Motor Wagon วิ่งบนถนนเป็นครั้งแรกวันที่ 21 กันยายน 1893 บนถนน Taylor Street ใน Metro Center Springfield บริษัท Studebake Automobile Company ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของผู้ผลิตรถม้าที่มีประวัติมายาวนานเริ่มสร้างรถในปี 1897 และวางขายรถไฟฟ้าในปี 1902 และตามด้วยรถที่ใช้น้ำมันในปี 1904
ในประเทศอังกฤษ มีความพยายามในการสร้างรถยนต์ไอน้ำหลายครั้งพร้อมกับความสำเร็จที่แตกต่างกันออกไป เมื่อ Thomas Rickett ได้พยายามผลิตออกมาเป็นจำนวนมากในปี 1860 ส่วน Santler จาก Malvern ได้รับการยอมรับจาก Veteran Car Club of Great Britain ในการสร้างเครื่องยนต์ที่ใข้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นคนแรกในประเทศในปี 1894 ตามมาด้วย Frederick William Lanchester ในปี 1985 แต่ทั้งสองเป็นเพียงการผลิตแบบคันเดียว การผลิตขนาดใหญ่เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษมาจากบริษัท Daimler Company ซึ่งก่อตั้งโดย Harry J.Lawson ในปี 1986 หลังจากซื้อสิทธิ์ในการใช้ชื่อเครื่องยนต์ บริษัท Lawson ได้ผลิตรถคันแรกในปี 1897 ก่อนจะใช้ชื่อในนาม Daimler
ในปี 1892 นักวิศวกรเยอรมัน Rudolf Diesel ได้จดสิทธิบัตรเครื่องยนต์สันดาปแบบใหม่ โดยในปี 1897 เขาได้สร้างเครื่องยนต์ดีเซลขึ้นเป็นครั้งแรก ทั้งเครื่องยนต์ไอน้ำ เครื่องยนต์ไฟฟ้า และเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันมีการแข่งขันกันมาหลายทศวรรษ เครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลงก็ประสบความสำเร็จอย่างเด่นชัดในปี 1910 แม้ว่าจะมีการสร้างเครื่องยนต์โรตารี่เพืื่อมาแข่งขันกับเครื่องยนต์ที่ใช้ลูกสูบและข้อเหวี่ยง มีเพียงเครื่องยนต์ Wankel ของ Mazda ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
ทั้งหมดทั้งปวง มีการคาดการณ์กันว่ามีสิทธิบัตรมากกว่า 100,000 ฉบับสำหรับรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์สมัยใหม่
ในตอนหน้า จะเป็นอย่างไร เมื่อรถยนต์เริ่มมีการผลิตแบบอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ถ้าพูดชื่อยี่ห้อออกไป แฟนๆหลายคนคงจะร้องอ๋อ เพราะความเก่าแก่ และบางแบรนด์ที่กลายมาเป็นแบรนด์ติดหูทั่วโลก ติดตามชมกันในตอนหน้าได้เลยครับ :)
บทความโดย กอปรชยธรณ มานะ (megaTON)
เช็คราคารถใหม่ และโปรโมชั่น ได้ที่นี่
ต้องการซื้อรถมือสอง ตรวจสอบราคารถยนต์มือสอง เชิญที่นี่
มาร่วมแชร์ความเห็นของคุณบนเวบบอร์ด Autospinn คลิกที่นี่
ความคิดเห็น