[Test Drive]Porsche World Roadshow 2019 สุดยอดประสบการณ์การขับขี่กองทัพรถปอร์เช่สายพันธุ์แรงหลากรุ่น Share this
รีวิวรถยนต์
โหมดการอ่าน

[Test Drive]Porsche World Roadshow 2019 สุดยอดประสบการณ์การขับขี่กองทัพรถปอร์เช่สายพันธุ์แรงหลากรุ่น

วรัญญู ยอดพรหม
โพสต์เมื่อ 11 March 2562

ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็น ทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ร่วมกับ ปอร์เช่ ประเทศเยอรมนี เปิดโลกยนตรกรรมสปอร์ตสัญชาติเยอรมัน เนรมิตสนามปทุมธานี สปีดเวย์ จัดกิจกรรม Porsche World Roadshow 2019

 

กิจกรรม Porsche World Roadshow 2019 จัดขึ้นเพื่อให้กลุ่มสื่อมวลชนและ เหล่าผู้หลงใหลความเร็วได้ร่วมสัมผัส
สุดยอดประสบการณ์สุดเร้าใจหลังพวงมาลัยของยนตรกรรมสปอร์ตชั้นยอดหลากหลายรุ่นจากปอร์เช่พร้อมด้วยโปรแกรมขับขี่ในสถานีที่ออกแบบขึ้นเพื่อเสริมสร้างทักษะในการควบคุมรถยนต์ ให้การขับขี่เป็นไปอย่างปลอดภัย ภายใต้สถานการณ์ต่างๆ โดยเน้นนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนามากจากรถแข่งในกีฬามอเตอร์สปอร์ตซึ่งถูก ถ่ายทอดมาไว้ในรถปอร์เช่ทุกคัน

ในกิจกรรมครั้งนี้ผู้เข้าร่วมงานจะได้สัมผัสสุดยอดยนตรกรรมจากปอร์เช่ทุกรุ่นพร้อมด้วยสายพันธุ์เทอร์โบและจีทีเอส ที่ถูกส่งตรงจากโรงงานปอร์เช่ เยอรมนี กว่า 15 รุ่น อาทิ 911 GT3, 911 Targa 4 GTS, 911 Turbo Coupe, Panamera Turbo Sport Turismo, Panamera GTS, Cayenne Turbo, 718 Boxster GTS, 718 Cayman GTS รวมทั้ง Macan และ Macan S พร้อมเซอร์ไพรส์พิเศษด้วยด้วยการปรากฎตัวครั้งแรกของ The New Porsche 911 Carrera S (992) รถสปอร์ตรุ่นเรือธงในตำนานของปอร์เช่ให้ผู้ร่วมงานได้ชื่นชมก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย(รถใช้ในการทดสอบพวงมาลัยซ้ายถูกนำเข้าเพื่อใช้ในกิจกรรม)

โดยโปรแกรมการขับขี่ที่ทางทีมงานได้จัดให้ได้สัมผัสตลอดระยะเวลา 1 วันเต็ม คือสถานีการขับขี่ต่างๆ ที่ผู้เชี่ยวชาญการขับขี่รถยนต์ปอร์เช่ได้ออกแบบไว้ ได้แก่

สถานี “Handling” ผู้ขับขี่จะได้สัมผัสถึงอาการ ของรถเมื่อมีการเปลี่ยนทิศทาง หรือการเลี้ยวอย่างรวดเร็ว ในสถานีนี้จะแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของ การยึดเกาะถนนและระบบช่วงล่างของรถยนต์ปอร์เช่

สถานี “Braking & Slalom” ในสถานีนี้ผู้ขับขี่ จะได้พบกับระบบเบรกที่มีความปลอดภัยสูงสุดของรถยนต์ปอร์เช่ทั้งระบบรักษาเสถียรภาพและระบบป้องกันการลื่นไถลบนท้องถนน โดยผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำวิธีการใช้เบรกในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือการเบรกกะทันหัน อย่างถูกต้องและปลอดภัย พร้อมกันนี้จะได้

สถานี Moose Test สถานีนี้ผู้ขับขี่จะได้ทดสอบ ประสิทธิภาพของระบบ Porsche Stability Management (PSM) ซึ่งผู้ขับขี่จะสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของเสถียรภาพการทรงตัวของรถเมื่อเปิดและปิดระบบ PSM ได้อย่างชัดเจน และเรียนรู้วิธีการควบคุมรถยนต์โดยใช้พวงมาลัยหักหลบสิ่งกีดขวางบนถนน พร้อมกับการควบคุมทิศทางที่แม่นยำและความคล่องตัวของรถขณะเข้าโค้งทางแคบด้วยความเร็ว รวมถึงศักยภาพการทรงตัวของรถยนต์ปอร์เช่

สถานี E-Performance Road Tour ปิดท้ายแบบเอ็กซ์คลูซีฟด้วยการขับขี่บนถนนจริง เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้สัมผัสสุนทรียภาพและความเหนือระดับของการขับขี่ รถยนต์ปอร์เช่ ทดสอบสมรรถนะระบบขับเคลื่อนของ E-Hybrid ในบรรยากาศจริงบนถนนสาธารณะ เพื่อสัมผัสการทำงานของตัวรถ

เริ่มการทดสอบ ทีมงานแบ่งคน ออกมาเป็นทั้งหมด 4 กลุ่ม  แบ่งแยกกันไปทดสอบตามสถานีต่าง ๆ แล้วเวียนสลับไปจนครบ โดยกรุ๊ปแรกที่ผมได้คือสถานี “Braking & Slalom” รถที่ใช้ในการขับ Porsche 718 Boxster GTS รถสปอร์ตพันธุ์แรง 365 แรงม้า เป็นการทดสอบการขับขี่คล้าย ยิมคาน่า เป็นการกำหนดเส้นทาง และเพื่อเพิ่มความสนุกลงไปจะมีการจับเวลาด้วยทำให้ต้องเพิ่มความกดดันในการขับขี่ไปอีกขั้นและด้วยพวงมาลัยซ้ายที่เราไม่คุ้นเคยยิ่งทำให้ ยากขึ้น ทุกสถานีจะมี Instructor ให้คำแนะนำต่างๆในการขับขี่ การที่เราจะเข้า Slalom ได้เร็วกับรถที่มีแรงม้าระดับ 365 แรงม้า ใช้เพียงคันเร่งเบาๆ รถก็ทะยานไปอย่างรวดเร็วคำแนะนำในการขับ คือ การใช้พวงมาลัยให้ถูกต้องในการผ่านกรวยให้ชิดที่สุด คันเร่งต้องควบคุมการวางเท้าไม่ให้เหยียบคันเร่งมากเกินไป ไม่ต้องใช้เบรคใช้เพียงการเชนเกียร์ก็เพียงพอ สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจน รถปอร์เช่สามารถพาคุณผ่านกรวยไปได้อย่างรวดเร็วด้วยระบบช่วงล่างที่มีประสิทธิภาพ บวกกับเครื่องยนต์ที่ดี ถ้าคุณเข้าใจในตัวรถยิ่งทำให้ขับขี่สนุกสนานยิ่งขึ้น

สถานีต่อมา E-Performance Road Tour เดินทางด้วย Porsche Panamera E-Hybrid 462 แรงม้า และ Cayenne E-Hybrid 462 แรงม้า รถสไตล์ Plug-in Hybrid ทั้งคู่ โดยรอบนี้ทาง Instructor อยากให้เห็นความแตกต่างระหว่างการใช้เครื่องยนต์, เครื่องยนต์+ไฟฟ้า และไฟฟ้าล้วน ด้วยการออกถนนจริง ซึ่งจะสัมผัสได้ว่าความแตกต่างของแต่ละคันเป็นอย่างไรบ้าง ใช้ความเร็วตามกฎหมาย 120 กม./ชม. ขับขี่ไปตามเส้นทางในรูปแบบขบวน จอดตามจุดกำหนด เพื่อเปลี่ยนคันและผู้ขับเพื่อให้ได้สัมผัสความแตกต่างของแต่ละรุ่น สิ่งที่ชัดเจนระหว่าง Porsche Panamera E-Hybrid เป็นรถที่ถูกออกแบบมาเพื่อความสบายในการขับขี่มีช่วงล่างที่นุ่มสบายสามารถปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้พร้อมกับกำลังเครื่องยนต์ที่พร้อมจะพาคุณทะยานทุกเมื่อ ส่วน Cayenne E-Hybrid ด้วยสไตล์รถ SUV ที่มีความสูง ทำให้ช่วงล่างจะมีความแข็งกว่าเพื่อการทรงตัวที่ดีอย่างไรก็ตาม Cayenne ก็สามารถปรับเปลี่ยนช่วงล่างตามโหมดการขับขี่ได้เช่นกัน และเหมาะสมกับสภาพเส้นทางลุยๆมากกว่า รถสองคันที่มี คาแรคเตอร์ ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนในการใช้งาน

สถานีต่อมา Moose Test  คือการจำลองสถานะการเจอสิ่งกีดขวางตัดหน้าเรียนรู้การใช้พวงมาลัยในการหักหลบ รถในการทดสอบสถานีนี้มีด้วยกันสองรุ่น เริ่มจาก Porsche 911 Targa 4 GTS  เริ่มแรกขับขี่ โดยใช้โหมด Sport กดคันเร่งเต็มที่แล้วหักหลบกรวย โดยการใช้พวงมาลัยเพียงอย่างเดียวและจอดในช่องจอด รถปอร์เช่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพ ของระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอิเล็กทรอนิกส์ Porsche Stability Management (PSM) ที่ช่วยเหลือทำให้รถผ่านสิ่งกีดขวางได้อย่างง่ายดาย แต่คงจะง่ายไปสำหรับ การทดสอบเพื่อให้เห็นถึงความแตกต่างของรถที่มีระบบช่วยเหลือกับปิดระบบช่วยเหลือจะต่างกันเพียงใด รอบที่สอง  Instructor ปรับให้ใช้โหมด Sport+ ในการออกตัวครั้งนี้รถปอร์เช่มีระบบที่เรียกว่า Launch Control (ล๊อครอบออกตัว) เท้าซ้ายกดเบรคให้มิด เท้าขวากดคันเร่งให้จม ระบบจะทำงาน ล๊อครอบเครื่องในการออกตัวอย่างอัตโนมัติ ปล่อยเบรครถพุ่งไปข้างหน้าแบบที่เรียกว่าหลังติดเบาะ หักหลบกรวยเหมือนครั้งแรกแต่ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นพร้อมระบบที่ถูกปิด หมุนสิครับ ซึ่งชัดเจนสำหรับการทดสอบแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นของระบบที่มีประสิทธิภาพของ  Porsche Stability Management (PSM)ที่สามารถช่วยเหลือเราได้ในภาวะคับขันรถที่มีระบบช่วยเหลือจะสามารถควบคุมได้อย่างง่ายดายต่างจากรถที่ไม่มีระบบความปลอดภัย

รถคันที่สองในสถานีนี้ กับ Porsche 911 Turbo Coupe กับการทดสอบเบรค ใช้วิธีการเดียวกับการทดสอบ Moose Test  ต่างกันตรงที่เราจะเบรคก่อนหักหลบ ออกตัวอย่างเต็มกำลัง เมื่อเห็นกรวยแล้วเบรคพร้อมกับหักหลบประสิทธิภาพของเบรคที่ดีทำให้ควบคุมรถได้อย่างง่าย เหมือนเดิมเพิ่มความยากให้มากขึ้นด้วยการปรับเป็นโหมด Sport และออกตัวด้วยระบบ Launch Control แรงดึงเรียกว่ากระชากวิญญาณกันเลย  ก่อนจะถึงกรวยกดเบรคเต็มกำลังพร้อมหักหลบระยะเบรคเพิ่มขึ้นกว่าครั้งแรกด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นแต่เบรคก็ยังคงมีประสิทธิภาพที่ดีไว้ใจได้ แสดงให้เห็นถึงรถปอร์เชที่แม้จะมีความเร็วแต่เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ระบบต่างๆก็จะสามารถนำพาให้คุณปลอดภัย แต่จะมีระบบดีเพียงใดเราก็ไม่ควรตั้งอยู่ในความประมาท

      สุดท้ายกับสถานี  Handling รถที่ใช้ในการทดสอบในสถานีนี้ 4 รุ่นด้วยกัน ทุกคนจะได้ขับคนละสองรอบในแต่ละรุ่น เริ่มจาก พี่ใหญ่สุด Porsche 911 GT3 ความแรงระดับ 500 แรงม้า GT3 ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ขับขี่บนถนนก็จริงแต่ จะมีความดิบกว่ารุ่นปกติ ที่สามารถลงสนามแข่งขันในสนามได้เลย สิ่งแรกที่สัมผัสได้ เสียงคำรามพร้อมที่จะระเบิดพลังออกมาอย่างเต็มที่ ทุกครั้งที่คุณกดคันเร่งออกเหมือนคุณโดนกระชากวิญญาณออกจากร่าง ตลอดเวลา สถานีนี้เราต้องขับขี่ตามกันเป็นแถวและมี Instructor เป็นคันนำ ตามเส้นทางที่กำหนด รอบแรกดูเส้นทางให้ชินกับตัวรถ(พวงมาลัยซ้าย) รอบสองกดคันเร่งเต็มกำลังเพื่อให้สัมผัสได้ถึงพละกำลัง ของตัวรถซึง GT3 นั้น ถือว่าเป็นที่สุดในการทดสอบครั้งนี้

      คันที่สอง Compact SUV อย่าง Porsche Macan S ตัวแรง 340 แรงม้า เรียกว่ากระชากอารมณ์มากสำหรับการเปลี่ยนรถจากรถที่พร้อมจะแข่งในสนามดุดัน  มาเป็นพ่อบ้านสายแรง ด้วยตัวรถที่มีความสูงทำให้ความเร็วในการเข้าโค้งตามคันอื่นๆนั้นต้องลดความเร็วลง แรงม้าที่มีมาให้ อาจจะไม่เพียงพอสำหรับการตามคันอื่นๆ แต่ถ้าอยู่บนถนน Macan S ถือว่าทำความเร็วได้ดีทีเดียว แต่คงจะเน้นไปทาง อเนกประสงค์มากกว่าจะใช้ในสนาม

คันที่สาม Porsche Panamera GTS  ที่มาพร้อมความแรงระดับ 460 แรงม้า เรียกได้ว่าเทียบเท่ารถสปอร์ตกันเลยทีเดียว ถ้านับในกลุ่มรถที่ใช้ในการทดสอบครั้งนี้ Panamera GTS  ถือว่ามีความหรูหราที่สุด ตั้งแต่อุปกรณ์ต่างๆภายในรถ ช่วงล่างที่ให้ความนุ่มนวลปรับเปลี่ยนไปตามสภาพเส้นทาง แถมด้วยพละกำลังที่ตามรถสปอร์ตในกลุ่มได้อย่างสบาย เรียกได้ว่าเหมาะกับผู้บริหารที่ต้องการความหรูหราในการใช้งานประจำวันแต่ในวันหยุดต้องการขับขี่อย่างสนุกสนาน Panamera ก็สามารถพาคุณขับขี่ไปได้อย่างเร้าใจเช่นกัน 

คันสุดท้ายกับ Porsche 718 Cayman GTS สปอร์ตคูเป้ตัวแรงระดับ 365 แรงม้า เพื่อให้คุ้นเคยกับรถในรอบแรก ขับขี่ด้วยโหมด  Sport ธรรมดาก่อน สัมผัสแรกที่ได้คันเร่งที่ให้การตอบสนองที่ดี เสียงท่อที่ดังพอประมาณยิ่งทำให้สนุกในการขับขี่ รอบที่สอง เปลี่ยนโหมดเป็น Sport+ เสียงท่อที่เปลี่ยนไป ช่วงล่างที่แข็งขึ้น ทำให้การขับขี่สนุกเร้าใจยิ่งขึ้น และทุกครั้งที่ถอนคันเร่ง เสียงท่อดัง ปุ้งปัง ตลอดเวลาเหมือนรถพร้อมที่จะทะยานออกตลอดเวลา แต่เมื่อคุณขับขี่ในโหมด Sport+ ต้องคำนึงเสมอว่าระบบช่วยเหลือจะลดลง ทำให้รถจะมีอาการสะบัดเล็กน้อยเมื่อคุณกดคันเร่ง ทำให้คุณต้องเพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่ทุกครั้ง แต่เป็นสิ่งนึงที่มีในรถสปอร์ตเพื่อต้องการให้คุณได้สัมผัสกับการขับขี่ที่สนุกสนาน

สุดท้ายกับงาน Porsche World Roadshow 2019 ถือเป็นกิจกรรมสำหรับคนรักในรถ Porsche ควรได้ร่วมเป็นอย่างยิ่ง เพราะคุณจะได้สัมผัสรถในแต่ละรุ่นซึ่งถูกสร้างมาให้มีความแตกต่างของแต่ละคัน ที่มีการใช้งานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน และสิ่งสำคัญสำหรับงานนี้คือการได้ฝึกฝนทักษะในรูปแบบต่างๆที่คุณไม่สามารถทำเองได้อย่างแน่นอน เพราะเราก็ไม่รู้ว่าอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นเมื่อใด รถจะมีคุณภาพหรือเทคโนโลยีสูงเพียงใดก็ตามแต่ถ้าคุณอยู่ในความประมาทอะไรก็ช่วยไม่ได้

 

 

เช็คราคารถใหม่ และโปรโมชั่น ได้ที่นี่ ที่นี่
ต้องการซื้อรถมือสอง ตรวจสอบราคารถยนต์มือสอง เชิญที่นี่
มาร่วมแชร์ความเห็นของคุณบนเวบบอร์ด Autospinn คลิกที่นี่


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ