GPX แบรนด์มอเตอร์ไซค์สัญชาติไทย ที่เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย ด้วยดีไซน์ที่สวยหรู และราคาที่จับต้องได้ มาวันนี้ GPX ได้พัฒนาเครื่องยนต์ 2 สูบ คันแรกของค่าย เรามาดูกันว่าจะเป็นอย่างไร
หลังจากที่ GPX ได้เปิดตัว GPX Legend 250 TWIN ใหม่ ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 2 สูบ คันแรกของค่าย กันไปเมื่อ 2 เดือนก่อน คราวนี้ผมและทีมงานได้มีโอกาสนำเจ้า 250 TWIN คันนี้ มาทดสอบขับขี่กันในท้องถนนจริงกัน แต่ก่อนจะเข้าสู่รีวิวการขับขี่ เรามาดูรูปลักษณ์ภายนอกกันสักหน่อยก่อน
รูปลักษณ์ภายนอก
ตัวรถ GPX Legend 250 TWIN ใหม่นี้ เป็นรถสไตล์คาเฟ่เรซเซอร์ ผสมผสานระหว่างความคลาสสิคและความโมเดิร์นไว้อย่างลงตัว เริ่มจากด้านหน้า ไฟหน้าเป็นทรงกลม ตามแบบฉบับรถคลาสสิค แต่แฝงความทันสมัยไว้ด้วยการใช้หลอด LED พร้อม Day-time running light หน้าตาโฉบเฉี่ยว ไฟเลี้ยวทรงกลมยื่นออกมาจากบริเวณคอเรือนไมล์ และมีป้ายเพลท GPX ติดอยู่ใต้ไฟหน้า ดูมีความทันสมัยยิ่งขึ้น
ต่อกันที่เรือนไมล์ เป็นเรือนไมล์กลม แสดงผลแบบดิจิตัล โดยมีมาตรวัดความเร็วเป็นตัวเลขอยู่ตรงกลาง วัดรอบอยู่ขอบทางด้านซ้ายบนของเรือนไมล์ มีเกจวัดน้ำมัน นาฬิกา วัดระยะทางทั้งหมด และวัดระยะทางทริป 1 ทริป ส่วนสัญญาณไฟต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไฟเกียร์ว่าง ไฟเลี้ยว ไฟสูง และไฟเตือนต่างๆ จะเป็นช่องหลอดไฟ อยู่บนขอบด้านนอกของเรือนไมล์
แฮนด์บาร์เป็นแฮนด์จับโช้ค ที่ออกแนวกางๆ ไม่ลู่เข้าหาตัวรถเหมือนรถสปอร์ต ทำให้ฟีลลิ่งคล้ายๆ ขี่รถแฮนด์บาร์ทั่วไป มีชุดควบคุมระบบไฟมาตรฐานที่ประกับแฮนด์ทั้งซ้ายและขวา ทางซ้ายจะมีไฟสูง-ต่ำ ไฟเลี้ยว และแตร ส่วนทางด้านขวาจะมีเปิด-ปิดไฟ ปุ่มสตาร์ทรถ และที่เห็นด้านบนคล้ายๆ สวิตช์ออฟรันนั้น เป็นสวิตช์ไฟฉุกเฉินนะครับ รถคันนี้จะไม่มีสวิตช์ออฟรันติดมา
ถังน้ำมันทรงรียาว ด้านข้างมีโลโก้ตัว L ติดอยู่ บ่งบอกถึงความเป็น Legend ได้อย่างโมเดิร์น และบริเวณต้นขาของผู้ขับขี่ มีการเว้าเข้าไปให้หนีบถังได้กระชับ และมีแผ่นยางกันลื่นติดมาให้จากโรงงานเลย
เบาะนั่งเป็นแบบตอนเดียว แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนของผู้ขับขี่และส่วนของคนซ้อน โดยส่วนของผู้ขับขี่จะยาวกว่าชัดเจน มีวัสดุคล้ายๆ หนังกลับ และส่วนของคนซ้อนลักษณะคล้ายๆ หนังสังเคราะห์ มันๆ นิดๆ มีมือจับคนซ้อนเป็นราวเหล็กสีโครเมี่ยมยาวรอบท้ายรถ ทำให้ผู้ซ้อนเลือกจับได้ตามองศาที่ถนัด
ไฟท้าย LED โคมลักษณะคล้ายถ้วย ทรงกลม และไฟเลี้ยวทรงกลมเช่นกัน ทั้งหมดยื่นออกมาจากบังโคลนหลัง สไตล์คลาสสิคเช่นเดียวกับไฟหน้า
ทางด้านเครื่องยนต์ เป็นเครื่องยนต์ 2 สูบ รุ่นแรกของค่าย GPX ปริมาตรกระบอกสูบ 234 cc. ตัวเครื่องมีลักษณะเป็นครีบ ช่วยในเรื่องการระบายความร้อนด้วยอากาศ และทำให้ตัวรถดูคลาสสิคมากขึ้น เดินคอท่อออกทางด้านหน้า และม้วนลงล่าง เดินคู่ไปกับเฟรมรถ
โช้คอัพหน้าแบบหัวกลับขนาดใหญ่ กระบอกและแกนสีเงิน
ล้อหน้าสีดำขนาด 17 นิ้ว รัดด้วยยางวีรับเบอร์ลายคลาสสิค ขนาด 110/90 พร้อมดิสก์เบรคคู่ และคาลิเปอร์เบรค 2 ลูกสูบ ที่ด้านข้างมีติดทับทิมสะท้อนแสงมาให้ด้วย
โช้คอัพหลังคู่จาก YSS ติดตั้งด้านข้าง ด้านนอกตัวรถ โชว์ของให้เห็นกันชัดๆ ตามสไตล์รถคลาสสิค ล้อหลังขนาด 17 นิ้ว รัดด้วยยางวีรับเบอร์ลายคลาสสิค ขนาด 130/90 และดิสก์เบรคเดี่ยว พร้อมคาลิเปอร์เบรคลูกสูบเดียว
ท่อไอเสียทรงกลมยาว รัศมีส่วนปลายขยายออก ปลายท่อเป็นสีสแตนเลส ท่อออกทางด้านขวาของตัวรถ มีการ์ดป้องกันความร้อนติดมาให้ช่วงระหว่างพักเท้าผู้ขับขี่และผู้ซ้อน
ข้อมูลทางเทคนิค
เครื่องยนต์
ตัวรถ
มิติรถ
การขับขี่
ในการทดสอบครั้งนี้ ผมได้นำเจ้ารถคาเฟ่เรซเซอร์คันนี้ ใช้เดินทางไปทำงาน โดยเส้นทางที่ผมใช้ก็จะได้เจอกับสภาพถนนทุกรูปแบบ ตั้งแต่ถนนลาดยางปกติ ทางก่อสร้าง พื้นเป็นหลุมเป็นบ่อ นอกจากนี้ผมและทีมงานก็ได้ทดสอบโดยการเอาไป "เล่นโค้ง" บนทางแยกยกระดับ เพื่อทดสอบสมรรถภาพที่เจ้าคันนี้สามารถมอบให้เราได้ โดยเราก็จะมาให้คำตอบทั้งเรื่องสมรรถนะ ความสะดวกสบาย การใช้งานในรูปแบบต่างๆ รวมถึงจุดเด่นและข้อสังเกตของ GPX Legend 250 TWIN กัน
เริ่มกันที่ "ความสบาย" กันก่อนนะครับ โดยท่านั่งของรถคันนี้ มีลักษณะ หมอบเล็กน้อย เนื่องด้วยแฮนด์บาร์จับโช้คที่ค่อนข้างต่ำ และออกจะไกลตัวผู้ขับขี่ ทำให้การขับขี่นั้นได้อารมณ์คล้ายรถสปอร์ต ตามสไตล์ของรถคาเฟ่เรซเซอร์ ซึ่งจากที่ผมใช้ในชีวิตประจำวัน ขับในระยะทางไม่ไกลมาก ก็ถือว่าทำได้อย่างไม่มีปัญหา แต่หากผู้อ่านต้องการที่จะนำเจ้าคันนี้ไปใช้ออกทริป เดินทางไกล ล่ะก็ อาจจะประสบปัญหาเมื่อยหลังกันได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่สรีระผู้ขับขี่ด้วยครับ
สำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน เห็นหน้าตาแบบนี้ แต่บอกเลยว่า ทำได้ดีกว่าที่คาดไว้ระดับนึงเลย ด้วยขนาดของตัวรถที่ให้ความรู้สึกไม่เทอะทะเวลาขี่ การเลี้ยว การมุด สามารถหักแฮนด์เลี้ยวได้อย่างสบายๆ เบามือ ทางด้านน้ำหนักตัว 154 กิโลกรัมนั้นก็ถือว่าไม่เบาและไม่หนักจนเกินไป แต่ด้วยศูนย์ถ่วงที่ต่ำ ทำให้ในการขับขี่จริงนั้นรู้สึกว่ารถเบามาก ไม่รู้สึกหนักแต่อย่างใด ตัวเบาะเองก็ไม่สูงเกินไป เพียง 790 มม. ผู้ขับขี่ทุกไซส์สามารถขับขี่ได้อย่างสบายๆ
มาดูด้านพละกำลังกันบ้าง เครื่องยนต์ 2 สูบ 234 cc. ของเจ้า Legend คันนี้ ให้แรงบิดประมาณหนึ่ง สามารถขับขี่ในชีวิตประจำวันได้อย่างเพียงพอ การใช้ความเร็วยืนพื้นที่ 100 กม./ชม. ถือว่าทำได้ดี แต่ในการเร่งแซง หรือใช้ความเร็วที่เกิน 110 กม./ชม. ขึ้นไปนั้น อาจจะรู้สึกว่ากำลังนั้นไม่ค่อยพอมือสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังสามารถแซงได้ เพียงแต่ผู้ขับขี่ต้องใจเย็นและอ่านจังหวะรถให้ดีๆ ส่วนในกรณีมีคนซ้อน บรรทุกหนัก หรือขึ้นเขา ผู้ขับขี่อาจจะต้องลากรอบกันสูงหน่อย ก็จะสามารถดันรถขึ้นไปได้ไม่มีปัญหา
ช่วงล่างเดิมๆ ของรถคันนี้ เซ็ทมาค่อนข้างนิ่ม เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ขับขี่ในเมือง สามารถซับแรงกระแทกจากพื้นถนนบ้านเราที่แสนจะดี... ได้อย่างสบายๆ ไม่ค่อยสะท้านมือผู้ขับมากนัก และโช้คหลังของ YSS จะให้ความรู้สึกค่อนข้างต่างจากโช้คหน้า มีความหนืดที่มากกว่า ทั้งยืดและยุบ ให้ความรู้สึกสปอร์ตมากกว่า และสามารถเข้าโค้งได้สนุกในระดับหนึ่งสำหรับโช้คหลัง ส่วนโช้คหน้านั้น หากนำมาเข้าโค้งหนักๆ จะรู้สึกว่าอาการออก ด้วยความที่เซ็ทมานิ่ม จะเหมาะสำหรับขับขี่ในเมืองมากกว่าการนำมาเข้าโค้ง ซึ่งถ้าหากผู้ขับขี่ต้องการจะนำไปเล่นโค้งล่ะก็ ปรับเซ็ทน้ำมันสักหน่อยก็น่าจะโอเค
เรามาดูข้อดีและข้อสังเกตของรถคันนี้กัน เริ่มที่ข้อสังเกตกันก่อน จากการที่ผมได้ใช้งานมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ข้อสังเกตหลักๆ เลย ที่เห็นได้ชัดเจนนั่นคือ พักเท้าผู้ขับขี่ ที่ไม่มีสปริงดึงกลับคืนตำแหน่งปกติ คือเวลาที่เท้าเราไปโดนโดยไม่ได้ตั้งใจ และพักเท้าเกิดพับขึ้นมา มันไม่ดีดกลับลงไปเอง ตรงนี้ผู้ที่ไม่คุ้นเคยอาจจะมีเหวอกันบ้าง และอีกข้อก็คือ บังโคลนหลัง ผมเองก็รู้สึกประหลาดใจกับข้อนี้เหมือนกัน เพราะดูจากหน้าตาแล้วก็มีขนาดใหญ่ ปกปิดได้มิดชิดดี แต่จากที่ผมได้ขับขี่บนถนนเปียกมานั้น โคลนดีดขึ้นมาโดนตัวค่อนข้างเยอะ ซึ่งหากผู้ที่ขับขี่แล้วประสบปัญหานี้ ก็สามารถแก้ได้โดยการติดกันดีดล้อหลังเพิ่มเติมนั่นเอง
ข้อสังเกตอีกข้อหนึ่ง คือ รถคันนี้ไม่มีระบบเบรค ABS มาให้ นั่นหมายความว่า หากเราเบรคกะทันหัน หรือเบรคในพื้นผิวที่ให้การยึดเกาะน้อย รถอาจจะเกิดอาการล้อล็อคได้ง่าย ต้องใช้ความระมัดระวังกันนิดนึง แต่นี่ก็เป็นปัจจัยที่ช่วยลดน้ำหนักของตัวรถ และราคาของตัวรถได้ในระดับหนึ่งเลย
ปิดท้ายด้วยข้อดีของรถคันนี้กัน สิ่งที่ผมชอบเลยนั่นก็คือหน้าตาและดีไซน์ เจ้า 250 คันนี้เป็นรถคลาสสิคที่ออกแบบมาได้ลงตัว และดูหล่อมากๆ หารุ่นเทียบยาก สำหรับรถพิกัดนี้ ยิ่งมี Day-time running light ยิ่งดูเท่และทันสมัยขึ้นไปอีก รวมถึงเครื่องยนต์ที่เป็นครีบด้านนอก ให้อารมณ์คลาสสิคได้อย่างเต็มเปี่ยม รวมถึงโช้คหน้าแบบหัวกลับและดิสก์เบรคหน้าคู่ ที่เรียกได้ว่าให้มาเต็มมากๆ
และสำหรับข้อดีทั้งหมดที่อ่านมานั้น พร้อมกับเครื่องยนต์ 2 สูบ 250 cc. ผู้อ่านหลายคนอาจจะคิดว่าค่าตัวมันจะต้องสูงแน่ๆ แต่เปล่าเลย คาเฟ่เรซเซอร์โมเดิร์นคลาสสิคคันนี้(ยำมั่วละ สวยทุกแนว 55+) เปิดราคาไม่ถึงแสน!!! เจ้า GPX Legend 250 TWIN คันนี้ เปิดราคาเพียงแค่ 79,500 บาทเท่านั้น!! เห็นแบบนี้แล้ว รอช้าอยู่ไย ลองชมตัวจริงกันดู แล้วจะรู้ว่ามันหล่อเกินราคามากๆ
สรุป
GPX Legend 250 TWIN คันนี้ เหมาะสำหรับผู้ขับขี่ที่ชอบรถคลาสสิค ผสมกับความทันสมัย และต้องการรถที่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกสบาย ไม่แรง ไม่เบา จนเกินไป ได้หน้าตาที่หล่อเหลา ในค่าตัวที่ย่อมเยาว์มากๆ และยังสามารถขับขี่ได้ทั้งผู้ขับขี่มือเก๋ามากประสบการณ์ตลอดจนมือใหม่ที่หัดขับขี่รถมีคลัทช์ รวมถึงสุภาพสตรีหรือชายหนุ่มไซส์เล็ก ก็สามารถขับขี่ได้ เป็นรถที่ขี่ง่าย เป็นมิตรกับผู้ขับขี่ทุกระดับอย่างแน่นอน
สำหรับ GPX Legend 250 TWIN มี 3 สีให้เลือก ได้แก่ สีแดง, ดำ และ ดำด้านเบาะน้ำตาล สนนราคาแสนถูกเพียง 79,500 บาทเท่านั้น สำหรับผู้ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ gpxthailand.com
สำหรับการรีวิวรถในครั้งนี้ต้องขอขอบคุณ GPX Thailand ที่เอื้อเฟื้อรถในการทดสอบ
ทดสอบขับขี่โดย ปิยวัฒน์ วงศ์รัตนกำพล (ปัญ)
ถ่ายทำโดย กิตติพงษ์ อาสนกุล, ณัฐพงค์ ธีรชัยพฤกษ์, อนันต์พงศ์ ชัยสีดา
เช็คราคารถใหม่ และโปรโมชั่น ได้ที่นี่ ที่นี่
ต้องการซื้อรถมือสอง ตรวจสอบราคารถยนต์มือสอง เชิญที่นี่
มาร่วมแชร์ความเห็นของคุณบนเวบบอร์ด Autospinn คลิกที่นี่
ความคิดเห็น