วางแผนคิดจะซื้อรถทั้งที ไม่ใช่ดูแค่งบประมาณ รูปลักษณ์ภายนอก ออปชั่นภายใน หรือสมรรถนะในการขับขี่เท่านั้น แต่สิ่งสำคัญที่เราควรนำมาประกอบในการตัดสินใจซื้อรถด้วยนั่นคือ บริการหลังการขาย เพราะหลังจากซื้อรถไปแล้ว คุณยังต้องได้รับการดูแล หรือบริการต่าง ๆ เกี่ยวกับรถคันโปรดอีกมากมาย ว่าแต่ บริการหลังการขายที่ดี เป็นอย่างไร? พิจารณายังไงบ้าง? ตาม rabbit finance มาเลย
บริการหลังการขายที่ดีเป็นอย่างไร?
1.รับฟีดแบ็กจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
ยุคนี้การสอบถามข้อมูล หรืออัปเดตข่าวสารใหม่ ๆ ง่ายดายและฉับไวสุด ๆ เพราะมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วย อย่างการสร้างแอปพลิเคชั่น หรือส่ง E-newsletter ให้ลูกค้าเพื่ออัปเดตข่าวใหม่ ๆ หรือเป็นช่องทางให้ลูกค้าได้ร้องเรียนอย่างสะดวกสบาย ในขณะเดียวกันก็ต้องมีพนักงานคอยตอบคำถามและช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านั้นด้วยนะ ไม่ใช่ขายได้แล้วก็จบไป ไม่อย่างนั้นไม่เกิดการซื้อซ้ำแน่นอน นอกจากนี้อาจจะมีการส่งของขวัญ หรือของสมนาคุณให้ลูกค้าในวันสำคัญบ้างก็ดีไม่น้อย
2.นัดหมายเช็กระยะสม่ำเสมอ
หลังจากซื้อรถแล้วต้องมีโปรแกรมบำรุงรักษารถยนต์ตามระยะทาง ซึ่งจะพิจารณาจาก 2 หลักเกณฑ์คือ ระยะเวลานับตั้งแต่ออกรถ และระยะทางในการใช้งานรถยนต์ เช่น นัดหมายให้ลูกค้านำรถมาเช็กสภาพเมื่อใช้งานครบระยะเวลา 6 เดือน, 1 ปี หรือ 3 ปี หรือ นัดเช็กระยะเมื่อใช้งานครบ 1 แสนกิโลเมตร เป็นต้น เพื่อให้รถยนต์อยู่ในสภาพดี พร้อมใช้งาน และพาเราไปในทุก ๆ เส้นทางอย่างปลอดภัย
3.รับประกันความพึงพอใจ
การทำประกันสินค้าหลังการขาย เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่น วางใจ และรู้สึกเป็นคนสำคัญ หากรถยนต์มีปัญหา สึกหรอ หรือมีอะไหล่เสียหาย ลูกค้าจะได้มั่นใจว่ามีคนคอยดูแล ใส่ใจ และอยากช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้เราสบายใจ โดยพิจารณาจากคุณภาพและอายุการใช้งานของอะไหล่แต่ละชิ้นว่าทนทานแค่ไหน ใช้งานได้เต็มที่กี่ปี จากนั้นก็ทำเช็กลิสต์ขึ้นมาเพื่อเป็นการช่วยเตือนความจำให้ลูกค้าว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนไหนบ้างเพื่อรถยนต์ที่สมบูรณ์ที่สุด
4.มีอะไหล่สำรอง
ศูนย์บริการที่ได้ใจลูกค้าเต็ม ๆ ก็คือศูนย์ที่มีบริการจัดส่งอะไหล่ได้ภายใน 24 ชั่วโมง เพราะหากต้องรออะไหล่ล่าช้า อาจทำให้การซ่อมแซมต้องยืดระยะเวลาออกไป ลูกค้าไม่ได้ใช้รถในช่วงเวลาที่สำคัญ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเลือกบริษัทที่สามารถบริการจัดส่งอะไหล่ได้ทั่วประเทศภายใน 24 ชั่วโมง หรือหากต้องรถนานกว่านั้นอาจจะต้องมีบริการเสริมให้ด้วย เช่น มีรถของบริษัทให้ใช้ชั่วคราว เพื่อความสะดวกสบายของลูกค้า
5.ศูนย์บริการได้มาตรฐาน
หากคุณซื้อรถยนต์สักคัน เรื่องของศูนย์บริการที่ได้มาตรฐาน ก็มีความสำคัญและจำเป็นมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนที่มากเพียงพอ กระจายอยู่ทั่วประเทศ รวมถึงต้องมีช่างเทคนิคที่ชำนาญการตรวจเช็กและซ่อมบำรุงได้ทันที เพื่อสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด สามารถส่งมอบรถคืนแก่ลูกค้าในเวลาที่รวดเร็ว และยังช่วยลดความกังวลใจให้แก่ลูกค้าได้มากกว่าการที่ต้องนำรถไปเข้าบริการที่ศูนย์บริการภายนอก
6.บริการรวดเร็วทันใจ
เวลาของทุกคนเป็นสิ่งมีค่า เพราะฉะนั้นบริการหลังการขายที่ดีต้องพร้อมแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้ลูกค้าอย่างรวดเร็วทันใจ เมื่อใดที่เรามีปัญหา และต้องการข้อมูลเพื่อคลายความกังวล หรือการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เมื่อบริษัทได้รับข้อมูลจากลูกค้าแล้วให้รีบเข้าพบ หรือหาข้อมูลให้กับลูกค้าทันที ไม่ว่าจะเป็นปัญหายากหรือง่ายก็ควรแก้ไขให้เร็วที่สุด วิเคราะห์ปัญหาและแจ้งระยะเวลาในการแก้ปัญหา เพื่อให้เกิดความสบายใจมากที่สุด รับรองว่าลูกค้าให้ใจเต็ม ๆ
7.บริการช่วยเหลือยามฉุกเฉิน
หลังจากซื้อรถ พนักงานหรือเจ้าหน้าที่จากบริษัทรถยนต์ต้องสามารถช่วยเหลือในยามฉุกเฉินได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพราะเหตุฉุกเฉินสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา จึงเป็นอีกหนึ่งบริการที่มีความจำเป็น ดังนั้นผู้ที่กำลังคิดจะซื้อรถ ควรพิจารณาว่าบริษัทดังกล่าวมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมงหรือไม่ เป็นการเพิ่มความอุ่นใจได้ในยามที่รถขัดข้องยามค่ำคืน หรือเกิดอุบัติเหตุในที่เปลี่ยวร้าง เรียกว่าดูแลกันได้ทุกเวลา ทุกสถานการณ์
ประกันรถยนต์ ตัวช่วยเพิ่มความอุ่นใจ
การเลือกประกันรถยนต์ที่เหมาะกับรถของเรานั้น ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะทุกครั้งที่ขับรถอยู่บนรถนั่นหมายถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดจากอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อ รวมถึงการโดนขโมยรถยนต์ น้ำท่วมรถ หรือไฟไหม้รถ อีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เราสามารถจัดการความเสี่ยง และเพิ่มคุ้มครองรถยนต์ของเราได้ง่าย ๆ ด้วยการทำประกันรถยนต์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
- ประกันชั้น 1 ให้ความคุ้มครองสูงสุด พร้อมรับเงินชดเชยสูงในกรณีที่มีอุบัติเหตุ โดยให้ความคุ้มครองครอบคลุมไม่ว่าจะถูกรถชน การขับรถชนสิ่งของ หรือชนผู้อื่น รวมถึงกรณีรถยนต์สูญหาย และความเสียหายที่เกิดจากภัยทางธรรมชาติ โดยประกันชั้น 1 จะเหมาะกับรถยนต์ใหม่ หรือรถยนต์ป้ายแดง หรือผู้ที่เพิ่งเริ่ม 13 ขับรถได้ไม่ถึง 5 ปี เป็นต้น
- ประกันภัยชั้น 2 และประกันชั้น 2+ ซึ่งประกันชั้น 2+ จะคุ้มครองในกรณีที่รถชนรถ และจะชดเชยทั้งผู้ที่ทำประกันและคู่กรณี รวมถึงความเสียหายจากภัยทางธรรมชาติ แต่ประกันชั้น 2 คุ้มครองเพียงผู้เสียหายหรือคู่กรณี และไม่คุ้มครองเรื่องภัยธรรมชาติ
- ประกันชั้น 3 และประกันชั้น 3+ เป็นประกันชั้นที่ถูกที่สุดและให้ความคุ้มครองที่น้อยที่สุด ไม่ครอบคลุมถึงภัยทางธรรมชาติและรถหาย โดยประกันชั้น 3+ จะคุ้มครองรถของผู้ทำประกัน ส่วนประกันชั้น 3 นั้นคุ้มครองเพียงคู่กรณี ในกรณีที่รถชนรถด้วยกันเท่านั้น
ประกันภัยแต่ละชั้นก็มีความคุ้มครองที่แตกต่างกัน หากคุณกำลังมองหา ประกันภัยรถยนต์ สามารถคลิกเข้ามาได้ที่ rabbit finance เว็บไซต์ออนไลน์ที่สามารถให้คุณเปรียบเทียบราคาเบี้ยประกันได้ และมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำปรึกษาอย่างจริงใจ
เช็คราคารถใหม่ และโปรโมชั่น ได้ที่นี่ ที่นี่
ต้องการซื้อรถมือสอง ตรวจสอบราคารถยนต์มือสอง เชิญที่นี่
มาร่วมแชร์ความเห็นของคุณบนเวบบอร์ด Autospinn คลิกที่นี่
ความคิดเห็น