หากพูดถึงรถยนต์ครอบครัว 7 ที่นั่ง ที่กำลังมาแรงเป็นอันดับต้นๆในตอนนี้ คงหนีไม่พ้น Suzuki XL7 เพราะนอกเหนือจากราคาที่เข้าถึงได้ง่ายแล้ว ในเรื่องของการดีไซน์ รวมถึงสมรรถนะต่างๆของตัวรถ บอกได้เลยครับว่าคุ้มค่าเกินราคา
รับชมรีวิว Suzuki XL7 รูปแบบวีดีโอ ได้ที่นี่
Suzuki XL7 รถยนต์ครอสโอเวอร์น้องใหม่ เปิดตัวในไทยเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ที่ผ่านมา สร้างเสียงฮือฮาสำหรับผู้ที่ตั้งตารอได้พอสมควร ออปชั่นต่างๆที่ให้มา เมื่อเทียบกับราคาจำหน่ายแล้ว ถือว่าน่าสนใจมาก หากใครที่กำลังมองหารถครอบครัวไว้ใช้งานสักคัน ผมเชื่อว่าเจ้า Suzuki XL7 อาจทำให้คุณลังเลที่จะเปลี่ยนใจจากรุ่นอื่น แล้วมาซื้อ Suzuki XL7 ก็เป็นได้ !!!
Suzuki XL7 มีพื้นฐานมาจาก Suzuki Ertiga ด้วยดีไซน์ที่ดูคล้ายกัน จนทำให้หลายคนมองว่า เป็นการนำ Suzuki Ertiga มาแต่งหน้าทาปากใหม่ พร้อมกับยกสูงให้เพิ่มขึ้นจากเดิม หากจะคิดแบบนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ก็ยังไม่ถูกต้องไปเสียทั้งหมด เพราะถ้าหากเราดูกันแบบจุดต่อจุดแล้ว ยังมีหลายสิ่งที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะ ช่วงด้านหน้า ที่เปลี่ยนไปแทบจะทั้งหมด รวมถึงช่วงล่าง ที่ใช้ชิ้นส่วนอะไหล่คนละตัว ถึงแม้เครื่องยนต์และเกียร์จะเหมือนกัน แต่ Suzuki XL7 ได้มีการปรับจูนกล่อง ECU และ จูนพวงมาลัยใหม่ ส่งผลให้การขับขี่ก็ต่างกันด้วย
มิติตัวถัง Suzuki XL7
หากดูตามตารางด้านบน จะเห็นได้ว่า Suzuki XL7 มีตัวถังที่ใหญ่กว่า Suzuki Ertiga ทั้งความยาว ความกว้าง ความสูง รวมไปถึงความกว้างของฐานล้อที่มากกว่า และมีความสูงใต้ท้องรถถึง 200 มม. รัศมีวงเลี้ยว 5.2 ม. มีน้ำหนักรถ 1,175 กก. และความจุถังน้ำมัน 45 ลิตร
ดีไซน์ ภายนอก Suzuki XL7
ภายนอก มาในลุคที่เรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความดุดันออกแนวลุยๆ พร้อมทั้งไฟหน้า LED ที่สามารถปรับสูง-ต่ำได้ถึง 5 ระดับจากสวิทซ์ด้านในรถ พร้อมไฟ Daytime Running Light ที่เป็นแบบ LED มีลายเส้นที่รับเข้ากับกระจังด้านหน้า มองแล้วเป็นเส้นสายเดียวกัน ส่วนไฟเลี้ยว และไฟตัดหมอกยังคงใช้เป็นแบบหลอดไส้ธรรมดา บึกบึนด้วยส่วนเว้าโค้งของฝากระโปรงหน้า และ กันชนดีไซน์สปอร์ต ชายล่างสีดำตัดด้วยสีเงิน เสริมความลุยด้วยคิ้วซุ้มล้อสีดำสไตล์ครอสโอเวอร์
มีราวหลังคาติดตั้งมาให้ รองรับน้ำหนักสูงสุด 50 กิโลกรัม ล้ออัลลอยลายทูโทน 16 นิ้ว พร้อมยาง 195/60 R16 ชุดสเกิร์ตด้านข้าง เล่นลวดลายเดียวกันกับชุดชายล่างด้านหน้า
เพิ่มความหรูหราด้วยไฟเลี้ยวแบบ LED ที่กระจกมองข้าง ซึ่งกระจกมองข้างนั้นสามารถพับและปรับได้ด้วยไฟฟ้า นอกจากนี้ มือจับประตูยังเป็นสีเงินโครเมี่ยม และมีปุ่ม Keyless Entry ช่วยให้สะดวกในการล็อค และปลดล็อคประตูมากยิ่งขึ้น
ลายเส้นด้านข้างตอนบน ดีไซน์ทอดยาวจรดไปจนถึงช่วงไฟท้าย และการออกแบบส่วนเว้าโค้ง ช่วยให้ตัวรถดูมีมิติชัดเจนยิ่งขึ้น
ไฟท้าย LED แบบ Light Guides เมื่อมองยามค่ำคืน สวยงามและเห็นเป็นลำแสงสีแดงที่ชัดเจน แถบสีดำที่ฝาท้ายตัดกับสีรถ ช่วยเพิ่มสีสันให้มีความโดดเด่นพร้อมแถบโครเมี่ยมที่ช่วยเสริมความลงตัว
กันชนหลังทรงสปอร์ต พร้อมกับไฟทับทิมหลังที่เป็นแนวตั้ง ช่วยเสริมให้ตัวรถดูมีมิติสูงขึ้น สเกิร์ตสีดำพร้อม Diffuser สีเงิน เสริมความโดดเด่น พร้อมลุยทุกสภาพถนน
ภายใน Suzuki XL7
ภายใน Suzuki XL7 คล้ายกับ Suzuki Ertiga แต่ดูทันสมัยมากกว่าด้วยลาย Carbon Fiber พร้อมคิ้วเดินบริเวณขอบสีเงินที่แดชบอร์ด และแผงประตูข้างรถ ภายในโทนสีดำ เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์สลับผ้า และยังมีที่วางแขนตรงกลางให้ด้วย ขับทางไกลไม่เมื่อยแขนแน่นอน
พวงมาลัย 3 ก้าน ทรง D-Shape สไตล์สปอร์ต พร้อมปุ่มมัลติฟังก์ชั่นสำหรับควบคุมจอเครื่องเล่น และปุ่มสำหรับ รับสาย วางสาย เชื่อมต่อบลูทูธ
จอเรือนไมล์แบบใหม่ LCD Information display พร้อมจอกลางที่แสดงผลการขับขี่ต่างๆ มีทั้ง Driving G-Force อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ระดับแรงม้าแรงบิด การเหยียบเบรกและคันเร่ง นาฬิกาแบบเข็มพร้อมวันที่ สถานะของประตู ซึ่งปกติแล้วฟีเจอร์เหล่านี้เราจะพบเห็นกันในรถที่มีราคาแพง หรือพวกรถสปอร์ตหรูๆ
หน้าจอระบบสัมผัสขนาด 10 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto มีระบบปรับแต่งเสียงและประมวลผลในแบบดิจิทัล (Digital Sound Processor) สามารถควบคุมแอปพลิเคชั่นต่างๆในโทรศัพท์ ผ่านที่หน้าจอได้เลย หรือจะดูแผนที่นำทางก็สามารถทำได้ง่าย ขนาดตัวหนังสือใหญ่และคมชัด มองเห็นได้ชัดเจนเลยล่ะครับ
นอกจากหน้าจอสัมผัสขนาด 10 นิ้ว ที่เป็นจุดเด่นของภายในแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ผมชอบก็คือ เครื่องเสียง ไม่ว่าจะเสียงเบส เสียงแหลม ก็มีมาให้หมด พร้อมทั้งลำโพงหน้า 2 ตัว ลำโพงหลัง 2 ตัว และทวิสเตอร์อีก 2 ตัว เรียกได้ว่าครบครัน ไม่ว่าจะขับทางใกล้ หรือ ทางไกล ไม่มีเหงาแน่นอน ตอบโจทย์สำหรับคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ เมื่อเราเข้าเกียร์ถอยหลัง หน้าจอก็จะแสดงผลเป็นภาพของกล้องหลัง ช่วยให้การถอยจอดสะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น มองเห็นภาพได้ชัดเจน เท่านั้นยังไม่พอ เพราะเค้ายังมีเซ็นเซอร์ถอยหลังมาให้อีก 2 จุด ถ้าเราถอยเข้าใกล้กับวัตถุมากเกินไป จะมีสัญญาณเตือน หากเรารำคาญเสียงก็สามารถกดปิดเสียงได้ด้วยครับ
ระบบแอร์ออโต้ เย็นทั่วถึง แต่ถ้าใจร้อนอยากให้แอร์เย็นไวๆ ก็หมุนที่ลูกบิดแบบแมนนวลมือได้เลย พร้อมช่องจ่ายไฟ 12 V. มากถึง 3 จุด และช่องเชื่อมต่อ USB, HDMI อีกทั้งยังมีช่องวางแก้วน้ำพร้อมแอร์เป่า ช่วยให้เครื่องดื่มเย็นอยู่ตลอดเวลา
เบาะแถว 2 สามารถปรับเลื่อนหน้า-หลัง และปรับเอนได้ กว้างขวาง โล่ง โปร่ง นั่งสบาย มีพื้นที่วางขาแบบเหลือๆ พื้นที่ช่องว่างระหว่างศีรษะก็เหลือพื้นที่มากพอ ผมสูง 175 ซม.นั่งได้สบายๆเลยล่ะครับ นั่งแล้วไม่รู้สึกอึดอัด เพราะกระจกด้านข้างบานใหญ่มาก มองเห็นวิวทิวทัศน์ได้แบบชัดเจน ไม่มึนหัว นอกจากนี้ ที่เบาะแถวกลางยังมีช่องจ่ายไฟ 12 V. มาให้อีก 1 จุด และตัวเบาะยังสามารถพับได้เรียบ มีแอร์เพดานให้ เราสามารถควบคุมความแรงของพัดลมแอร์ได้ 3 ระดับ ซึ่งความแรงของแอร์ เย็นไปจนถึงเบาะแถว 3 เลยครับ
เบาะแถว 3 สามารถนั่งได้จริง ผมลองแล้วประทับใจเลยล่ะครับ เพราะขาผมค่อนข้างยาว แต่ยังสามารถนั่งได้ ศีรษะก็ยังมีพื้นที่เหลืออีกนิดหน่อย พนักพิงสามารถปรับได้หลายระดับ มีช่องวางแก้วน้ำให้ฝั่งละ 1 ช่อง และมีช่องจ่ายไฟ 12 V. ให้อีก 1 จุด ตัวเบาะยังสามารถพับได้เรียบแบบ 60:40
พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้าย ถ้าเรากางเบาะทั้ง 3 แถว ก็จะเหลือพื้นที่เพียงเล็กน้อย แต่ถ้าเราพับเบาะแถว 2 และแถว 3 บอกได้เลยว่าได้พื้นที่พอๆกับรถกระบะเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ที่ด้านท้ายยังมีช่องสำหรับเก็บของได้อีก ฝาปิดไม่ใช่ไม้อัดแบบบางๆนะ แต่เค้าทำมาแบบสวยหรูเลย เป็นแบบพลาสติกแข็งขึ้นรูป รองรับน้ำหนักได้เยอะมากๆ
Suzuki XL7 ไม่มีหลุมใส่ล้ออะไหล่นะครับ เพราะตัวล้ออะไหล่ถูกติดตั้งที่ใต้ท้องรถ ทำให้ไม่เสียพื้นที่การใช้งานภายในรถ
ระบบความปลอดภัย Suzuki XL7
Suzuki XL7 มาพร้อมแพลตฟอร์มใหม่ HEARTECT เทคโนโลยีเฉพาะของซูซูกิ ที่ช่วยเพิ่มทั้งสมรรถนะ และ ความปลอดภัย ช่วงล่างทำจากเหล็ก High Tensile พร้อมเหล็กกันโคลงด้านหน้าที่ให้การทรงตัวที่ดีเยี่ยม คล่องตัว เข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ นอกจากนี้ Suzuki XL7 ยังใช้โครงสร้างตัวถัง TECT ซึ่งทำจากเหล็กกล้าน้ำหนักเบา แต่ให้ความแข็งแรงทนทานที่ดีเยี่ยม ทนต่อการสึกหรอ
นอกจากนี้ Suzuki XL7 ยังมีระบบความปลอดภัยอื่นๆอีกมากมาย เช่น
- ระบบถุงลมนิรภัย SRS คู่หน้า
- เบรกหน้าเป็นดิสก์เบรก ด้านหลังเป็นดรัมเบรก
- ระบบเบรก ABS ระบบ EBD ช่วยกระจายแรงเบรก
- ระบบ ESP ที่ช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว
- ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน Hill Hold Control มีจุดยึดเบาะนั่งนิรภัย ISOFIX และ Top tether สำหรับเด็ก
- กล้องมองภาพขณะถอยหลังและเซ็นเซอร์กะระยะ
เครื่องยนต์ Suzuki XL7
เครื่องยนต์เบนซินรหัส K15B ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 138 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ และเกียร์เดียวกันกับ Ertiga แต่ XL7 ได้มีการปรับอัตราเฟืองท้ายใหม่ รวมถึงปรับจูนกล่องควบคุมใหม่
ทดสอบขับขี่ Suzuki XL7
ในจังหวะที่ออกตัวเพียงแค่ใส่เกียร์ D แล้วยกเท้าออกจากเบรก ตัวรถก็พร้อมที่จะเคลื่อนที่โดยแทบไม่ต้องเหยียบคันเร่งส่ง เมื่อเคลื่อนที่ได้สักระยะ ผมได้ลองเหยียบคันเร่งส่ง ตัวรถสามารถไต่ระดับความเร็วไปได้แบบเรื่อยๆ โดยไม่รู้สึกหน่วง จนมาถึงช่วงเกียร์ 3 รู้สึกว่าเครื่องยนต์มีอาการตื้อๆเล็กน้อย แต่ก็ยังสามารถไต่ระดับความเร็วไปได้ต่อเนื่อง พอถึงเกียร์ 4 ซึ่งเป็นเกียร์สุดท้าย ความเร็วยังคงไล่ระดับไปได้อีกไกล แต่เพื่อความปลอดภัย ผมจึงขอถอนคันเร่งที่ความเร็ว 160 กม./ชม. จากการทดสอบ เจ้า XL7 มีอัตราเร่งที่ดี ถึงแม้จะใช้เครื่องยนต์เดียวกันกับ Ertiga แต่ XL7 ปรับจูนได้เหมาะสมกับขนาดของตัวรถ รวมไปถึงการดีไซน์ภายนอก ที่เน้นหลักอากาศพลศาสตร์มากขึ้น ทำให้มีสมรรถนะที่พร้อมลุย
Suzuki XL7 หากเราใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. จะสามารถควบคุมตัวรถได้ดีมาก แต่ถ้าใช้ความเร็วที่มากกว่านั้น พวงมาลัยจะเริ่มเบา ประกอบกับตัวรถที่มีความสูงจึงทำให้รู้สึกหวิวๆเมื่อใช้ความเร็ว
การเข้าโค้งก็เช่นกัน หากเข้าโค้งที่ความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. จะสามารถควบคุมตัวรถได้ดีมาก ไม่มีอาการปัด หรือโคลงเคลง แต่ถ้าเข้าโค้งที่ความเร็วมากกว่านั้น อาจมีออกอาการบ้างเล็กน้อย
ด้วยตำแหน่งรถที่สูงขึ้น ทำให้มุมมองของผู้ขับขี่ค่อนข้างดี มองได้ไกลขึ้น พวงมาลัยมีน้ำหนักเบาและแม่นยำ ทำให้การใช้งานในเมืองเป็นไปได้อย่างคล่องตัว พอออกนอกเมืองก็ยังให้การควบคุมที่ดี ตอบสนองไว
ในส่วนของช่วงล่างนั้นให้การตอบสนองไปทางสปอร์ตมากขึ้น จะไม่ได้ให้ฟิลลิ่งในแบบนุ่มนวลมากนัก แต่เน้นไปในทางหนึบมากกว่า ต่างจาก Ertiga ที่จะกระด้างมากกว่า แต่ก็ยังพอมีอาการสะเทือนจากพื้นถนนให้พอได้รู้สึกบ้างแต่ถือว่ารับได้ ช่วงที่จั้มคอสะพาน ไม่เด้งย้วยจนเสียการทรงตัว
การเก็บเสียง หากเป็นเสียงลมจากภายนอกสามารถทนได้จนถึงที่ย่านความเร็ว 120 กม./ชม. แต่ถ้าใช้ความเร็วมากกว่านั้น เสียงลมจากภายนอกจะเริ่มเล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสาร ส่วนเสียงของเครื่องยนต์ หากเราขับแบบปกติ โดยไม่เค้นรอบเครื่อง ก็ถือว่าเสียงเงียบใช้ได้ แต่ถ้าหากเราขับลากรอบ หรือเค้นกำลัง เสียงของเครื่องยนต์จะเข้ามาในห้องโดยสารทันที
สรุปโดยรวม
Suzuki XL7 ถ้ามองที่ราคากับออปชั่นต่างๆที่ได้มา ก็ถือว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปในราคา 7.79 แสนบาท ในช่วงแนะนำ จากการทดสอบทั้งหมด ทั้งในเรื่องของอัตราเร่ง ช่วงล่าง การเข้าโค้ง ถือว่าสอบผ่านครับ มีเพียงบางจุดที่ผมมองแล้วยังขัดใจเล็กน้อย เช่น ที่พักแขนในเบาะแถวสองไม่มีมาให้ จอเครื่องเล่นขนาดใหญ่สะใจ แต่องศาการเอียงไม่ค่อยเน้นที่ผู้ขับขี่สักเท่าไหร่ ประกอบกับมีแสงสะท้อนที่หน้าจอ ทำให้มองได้ไม่ค่อยชัดเจน แต่ปัญหานี้ก็ยังพอแก้ได้อยู่ เพียงแค่ไปหาฟิล์มด้านมาติด ก็น่าจะช่วยได้ในระดับนึง
ส่วนอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ถ้าเทียบกับคู่แข่งทั้งหลายแล้ว บอกได้เลยครับว่า Suzuki XL7 เป็นรถที่ประหยัดน้ำมันใช้ได้เลย ขับในเมืองได้ประมาณ 11-13 กม./ล. วิ่งต่างจังหวัดรถไม่ติดได้ประมาณ 14-15 กม./ล. ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่กำลังมองหารถครอบครัวแนวลุยๆไว้ใช้งานครับ
>> รีวิวทดลองขับ All New Suzuki XL7 ครอสโอเวอร์ พ่อบ้านอยากลุย <<
ติดตามข่าวรถยนต์ ราคารถยนต์ รีวิวรถยนต์ และจักรยานยนต์ทุกยี่ห้อ กับเรา Autospinn
แชร์ความคิดเห็นบนเว็บบอร์ด Autospinn คลิกเลย webboard.autospinn.com
เช็คโปรโมชั่นรถใหม่ เช็คราคารถใหม่ ได้ที่นี่
ราคารถมือสอง ซื้อรถมือสอง ขายรถมือสอง เชิญได้เลยที่ one2car
ความคิดเห็น