รีวิว Lexus NX 300h พรีเมี่ยม ครอสโอเวอร์ ตอบโจทย์ทุกการขับขี่

Lexus NX 300h 2021 รถอเนกประสงค์ขนาดกลาง ดีไซน์โฉบเฉี่ยว โดยเฉพาะลายเส้นด้านข้าง ที่ดูบึกบึน หรูหราลงตัว

รีวิว Lexus NX 300h 2021

Lexus NX 300h หลังจากที่เปิดตัวไปได้พักใหญ่ วันนี้ทีมงานออโต้สปินน์มีโอกาสได้ทดสอบกันแบบจริงจัง ทั้งขับในกรุงเทพแบบรถติดๆ และขับออกต่างจังหวัดถนนโล่งๆ เลยใช้พื้นที่นี้มาเล่าสู่กันฟังครับ

Lexus NX 300h คันนี้ เป็นรุ่นย่อย Gland Luxury เกรดสูงกว่ารุ่นเริ่มต้นมานิดนึง ตัวรถสีเทา ภายในสี Ocher ครีมๆออกน้ำตาล เป็นรถอเนกประสงค์ไซส์กลางแต่ค่อนไปทางใหญ่ ซึ่งตระกูล NX นี้ เป็นรุ่นที่คั่นกลางระหว่าง UX และ RX ตัวถังพอเหมาะพอควร มีความยาว 4,640 มม. ความกว้าง 1,845 มม. ความสูง 1,645 มม. และมีน้ำหนักสุทธิ 2,325 กม.

ราคา Lexus NX 300h

Lexus NX 300h Luxury ราคา 2,960,000 บาท
Lexus NX 300h Gland Luxury ราคา 3,170,000 บาท
Lexus NX 300h Premium ราคา 3,570,000 บาท
Lexus NX 300h F Sport ราคา 4,070,000 บาท

ดีไซน์ภายนอก Lexus NX 300h

ด้านหน้าดูเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความดุดัน ฝากระโปรงหน้ามีลายเส้นส่วนเว้าโค้งรับเข้ากับชุดกันชนหน้า ช่วยเสริมให้ตัวรถดูมีมิติมากขึ้น กระจังหน้าขนาดใหญ่ดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ ที่เมื่อใครได้เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าคันนี้คือเลกซัส ไฟหน้า LED 3 ดวง ที่เป็นระบบปรับไฟสูงต่ำแบบออโต้ พร้อมไฟ Daytime Running รูปทรงตัว L ที่ถูกติดตั้งแยกออกมาจากตัวโคม ซึ่งก็ดูหรูหราเข้ากันได้ดีกับตัวรถ แต่มีหนึ่งสิ่งที่ดูขัดตาเล็กน้อย นั่นก็คือตัวฉีดน้ำสำหรับล้างไฟหน้าที่ยื่นออกมา

ลายเส้นด้านข้างดูโดดเด่น โดยเฉพาะบริเวณช่วงซุ้มล้อ ที่มีความโปร่ง และมีคิ้วซุ้มล้อสีดำตัดกับสีรถ ยิ่งถ้าเป็นรถสีขาวจะดูโดดเด่นมากๆ ช่วยให้ตัวรถดูแข็งแกร่ง บึกบึน มีมัดกล้ามที่ชัดเจน โดยการออกแบบ ยังได้คำนึงถึงหลักอากาศพลศาสตร์ โดยอากาศที่ไหลผ่านด้านบนจะถูกรีดขึ้นหลังคาและกดตัวรถ ส่วนอากาศที่ไหลผ่านด้านข้าง จะถูกรีดมาตามแนวเส้นส่วนเว้าโค้ง

ไฟท้ายเป็นแบบ LED โดดเด่นด้วยลำแสงสีแดงรูปตัว L ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเลกซัส การเปิดฝาท้ายสะดวกสบายยิ่งขึ้น ด้วยระบบ Kick Sensor เพียงแค่ใช้เท้าแหย่ไปที่ใต้กันชนหลัง ฝาท้ายก็จะเปิดแบบอัตโนมัติ หรือถ้าจะปิดฝาท้าย ก็แค่ใช้เท้าแหย่เข้าไปที่ใต้กันชนหลังอีกครั้ง หรือกดปุ่มที่อยู่ตรงขอบฝาท้ายก็ได้

พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้าย มีพื้นที่กว้างขวางพอสมควร ใส่ถุงกอล์ฟใบใหญ่ได้ถึง 3ใบ หรือใส่กระเป๋าเดินทางได้หลากหลายขนาด ทั้งทรงเตี้ย และทรงสูง และเบาะหลังยังสามารถพับได้เรียบอีกด้วย

ดีไซน์ภายใน Lexus NX 300h

ภายใน Lexus NX 300h การออกแบบดูเรียบง่าย มีโทนสีให้เลือกหลายแบบ ขึ้นอยู่กับเกรดของรถ แต่สำหรับคันนี้ เบาะเป็นสี Ocher หลังคาสีครีม อุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายในห้องโดยสารก็มีให้อย่างครบครัน เช่น เบาะอุ่นร้อน ช่องจ่ายไฟ 12V ช่องเสียบ USB AUX แท่นชาจ์มือถือแบบไร้สาย และอื่นๆอีกพอสมควร เบาะตอนหน้า นั่งสบาย นุ่มกำลังดี ขับนานๆไม่รู้สึกเมื่อย สรีระท่านั่ง และมุมมองต่างๆของผู้ขับขี่โล่งโปร่งสบายตา

พวงมาลัยแบบ 3 ก้านหุ้มหนัง ปรับระดับ 4 ทิศทางด้วยไฟฟ้า มีแป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย จับถนัดกระชับมือ พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงระบบ Hands-free ปุ่มสั่งงานด้วยเสียง และปุ่มที่ใช้กดดูข้อมูลต่างๆที่เรือนไมล์

จอเครื่องเล่นแบบทัชสกรีน รองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ดีงแผนที่จากโทรศัพท์ขึ้นหน้าจอได้เลย แอร์ออโต้แบบ 2 โซน แยกซ้าย-ขวา และเพิ่มความคลาสสิกด้วยนาฬิกาแบบเข็มทรงกลม

สวิตช์ควบคุมระบบเครื่องเสียงติดตั้งอยู่ที่ฐานคอนโซลเกียร์ ใช้งานได้ง่าย อยู่ในระดับเดียวกับการวางแขน ควบคุมได้ง่ายด้วยปลายนิ้วอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่เสียสมาธิจากการขับขี่ ถัดมาข้างๆกัน เป็นลูกบิดสำหรับปรับโหมดการขับขี่ ซึ่งในรุ่น Gland Luxury มีโหมดการขับขี่อยู่ทั้งหมด 3 โหมด คือ Eco ,Normal และ Sport แต่ถ้าเป็นรุ่นท็อป อย่าง F Sport จะมีโหมด Sport S+ และ Customize เพิ่มขึ้นมา

เบาะหลัง มีพื้นที่ใช้สอยพอสมควร ผมสูง 175 ซม. นั่งได้สบายไม่อึดอัด แต่ให้อุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาให้น้อยไปหน่อย มีแค่ แอร์หลังที่แยกซ้าย-ขวา และที่วางแขนตรงกลาง

เครื่องยนต์ Lexus NX 300h

เครื่องยนต์ไฮบริด รหัส 2AR-FXE 2.5 ลิตร 2,494 ซีซี 4 สูบ 16 วาล์ว 156 แรงม้า ที่ 5,700 รอบต่อนาที แรงบิด 206 นิวตันเมตร ที่ 4,400–4,900 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 105 กิโลวัตต์ 143 แรงม้า 270 นิวตันเมตร และเมื่อทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า จะสามารถผลิตกำลังได้สูงสุด 197 แรงม้า ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ E-CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า ความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม. อัตราเร่งจาก 0-100 ใช้เวลา 9.2 วินาที มาตรฐานการปล่อยมลพิษ EURO 4

ทดสอบการขับขี่ Lexus NX 300h

โหมดการขับขี่มีให้เลือกอยู่ 3โหมดครับ ผมขอแยกอธิบายแบบทีละโหมดเลยนะครับ

Eco Mode โหมดนี้เน้นการขับขี่แบบประหยัดครับ เครื่องยนต์มีกำลังเพียงพอที่จะให้เราขับขี่แบบสบายๆ หรือเร่งแซงแบบธรรมดา ที่ไม่ได้ต้องการกำลังอะไรมากมาย หากเราไม่ใช่ขาซิ่ง สามารถขับขี่ในโหมดนี้ไปจนถึงจุดหมายปลายทางเลยก็ได้นะครับ เครื่องยนต์ไม่อืด ทำให้ผู้ขับขี่ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร เหมาะกับการใช้งานในเมืองแบบรถติดๆ แถมยังประหยัดเชื้อเพลิงด้วยครับ

Normal Mode โหมดนี้ ผมว่าเป็นโหมดที่เหมาะสมที่สุดในการใช้งานของรถคันนี้แล้วล่ะครับ เพราะขับสนุก เร่งแซงทันใจแบบไม่ต้องลุ้น ขับขึ้นทางลาดชันก็มีกำลังแบบเหลือๆ แทบไม่ต้องเค้นคันเร่งเลยล่ะ หากอยากซิ่งในบางจังหวะ ก็แค่กดคันเร่งลึกเข้าไปอีกหน่อย เครื่องยนต์มีกำลังเหลือๆ

Sport Mode โหมดนี้เป็นโหมดแรงที่สุดของรถคันนี้ครับ เหมาะสำหรับขาซิ่งเลยล่ะ ขับได้สนุกคันเร่งติดเท้า รอบกวาดไว มุดซ้ายมุดขวาแบบมันๆ เร่งแซงทันใจ แต่ในโหมดนี้ก็ซดน้ำมันเอาเรื่องเหมือนกันนะครับ

การทรงตัวและการเข้าโค้งของ Lexus NX 300h ทำได้อย่างมั่นใจ ไม่ร่อน ไม่หลุดโค้ง ระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระแมคเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังปีกนกคู่ จังหวะที่ขับจั้มคอสะพานตัวรถมีความนิ่มนวล ไม่แข็งกระด้าง แต่ระบบเบรกในรถคันนี้ ผมว่ายังไม่น่าพึงพอใจเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับราคารถ 3 ล้านกว่า การเก็บเสียงในช่วงความเร็วไม่เกิน 130 กม./ชม. ถือว่าเก็บเสียงได้ดีครับ แต่ถ้าใช้ความเร็วมากกว่านี้ จะเริ่มได้ยินเสียงลมเล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสาร แต่ก็ไม่ถึงกับดังจนหนวกหูน่ารำคาญนะครับ อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้

สำหรับอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ทางเลกซัสเคลมไว้ว่าเครื่องยนต์ตัวนี้ ประหยัดอยู่ที่ 18.18 กม./ลิตร แต่จากการใช้งานจริง ขับแบบคนทั่วไปที่เขาขับกัน ช้าบ้าง เร็วบ้าง เร่งแซงบ้าง ตามการใช้งานในชีวิตประจำวัน ผมทำได้อยู่ที่ประมาณ 15-16 กม./ลิตร ซึ่งก็ถือว่าเป็นรถที่ประหยัดน้ำมันพอสมควร เพราะต้องแบกตัวรถที่มีน้ำหนักถึง 2 ตันกว่าๆ

สรุปโดยรวม Lexus NX 300h

ถ้าถามว่าคุ้มมั้ยกับเงินที่จ่ายไป 3ล้านกว่า เพื่อซื้อ Lexus NX 300h รุ่น Gland Luxury ผมขอตอบแบบนี้ครับ
ถ้าต้องการภาพลักษณ์ของแบรนด์ ออปชั่นครอบคลุมการใช้งานประมาณนึง เครื่องยนต์ขับดี ประหยัดน้ำมัน ก็ถือว่าราคาในรุ่น Gland Luxury 3,170,000 บาท พอรับได้ครับ

แต่ถ้าโจทย์ในใจของคุณมากกว่านี้ เช่นต้องการออปชั่นและลูกเล่นที่มากกว่า ผมแนะนำให้ไปรุ่นท็อปสุดอย่าง F Sport ราคา 4,070,000 บาท เลยครับ เพราะสิ่งที่ได้เพิ่มมาเยอะกว่ามากๆ เช่น ได้ราวหลังคา พร้อมหลังคามูนรูฟ ได้ Adaptive Cruise control ได้จอกลางที่ใหญ่กว่า ได้โหมดการขับขี่ที่เพิ่มขึ้นมาอีก 2 โหมด คือ โหมด Sport S+ และ Customize ได้ระบบความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น เช่น กล้องมุมมองรอบคัน ระบบป้องกันก่อนการชน ระบบช่วยรักษาช่องทางวิ่ง ระบบช่วยเปลี่ยนเลน พร้อมสัญญาณเตือนมุมอับสายตา สัญญาณเตือนด้านท้ายขณะถอยหลัง เป็นต้น หรือถ้างบมีไม่ถึง ก็ลองมองเป็นรุ่นรองท็อป อย่างรุ่น Premium ราคา 3,570,000 บาท ก็ได้ครับ ได้ออปชั่นใกล้เคียงกับรุ่นท็อปเลย

ติดตามข่าวรถยนต์ ราคารถยนต์ รีวิวรถยนต์ และจักรยานยนต์ทุกยี่ห้อ กับเรา Autospinn
แชร์ความคิดเห็นบนเว็บบอร์ด Autospinn คลิกเลย webboard.autospinn.com  
เช็คโปรโมชั่นรถใหม่ เช็คราคารถใหม่ ได้ที่นี่ 
ราคารถมือสอง ซื้อรถมือสอง ขายรถมือสอง เชิญได้เลยที่ one2car