กระแสรถไฟฟ้าไม่มีตก ค่ายยุโรปอย่าง เมอร์เซเดส-เบนซ์ ถือเป็นเจ้าแรกที่จะเตรียมประกอบและขายในไทยช่วงปลายปี 2565 กับ EQS EV รุ่นแรก ที่สามารถขับได้ไกลถึง 770 กม.
MERCEDES-BENZ EQS 450+ AMG PREMIUM
MERCEDES-BENZ EQS 450+ AMG PREMIUM เปิดตัวให้เห็นตัวเป็นๆตั้งแต่สิ้นปี 64 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นคันแรกและคันเดียวในประเทศไทย และก็ยังเป็นรถนำเข้าอยู่แต่พวงมาลัยขวา สำหรับรถที่จะประกอบในประเทศไทยนั้นก็จะไม่แต่ต่างอะไรกันในเรื่องระบบขับเคลื่่อนต่างๆ แต่ในส่วนของอุปกรณ์เพิ่มเติมนั้นอาจจะมีเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อย เป็นส่วนที่เพิ่มขึ้น
เห็นหน้าค่าตากันไปแล้วทุกคนคงอยากจจะรู้ถึงสมรรถนะกันบาง ทาง เมอร์เซเดส ก็จัดการทดสอบให้นักข่าวเป็นกลุ่มแรกเพื่อให้เห็นถึงประสิทธิภาพของตัวรถ
ต้องยอมรับว่าตื่นเต้นอยู่บ้างเพราะ EQS 450+ มีเพียงคันเดียวในประเทศ ก็คือคันที่โชว์ตัวในงาน Expo นั้นเอง จึงรู้สึกว่าต้องระวังเพิ่มขึ้น ถือว่าโชคดีในการได้ขับขี่เป็นกลุ่มแรกๆ แน่นอนว่าตอนนี้ยังไม่ทราบราคาว่ามีค่าตัวที่เท่าไหร่ เพราะอาจจะต้องรอคันจริงที่ขายในประเทศไทยกันก่อน แต่คาดว่าจะอยู่ในช่วง 7 ล้านกว่าบาท ทำไมถึงคิดว่าราคานี้ เพราะต้องบอกว่า EQS 450+ ใส่ของแบบชุดใหญ่ เรียกว่า เทคโนโลยีดีแค่ไหน อะไรใหม่ อยู่ใน EQS แทบทั้งหมด และรถก็อยู่ในกลุ่ม S-Class ด้วยจึงไม่น่าแปลกที่ราคาจะอยู่ใกล้กัน
ในการจัดทดสอบครั้งนี้ เป็นการวิ่งจาก กทม-เขาใหญ่ ระยะทางประมาณ 200 กม. ซึ่งเพียงพอสำหรับการทดสอบ EQS 450+ AMG ถือเป็นรถไฟฟ้าอีกหนึ่งรุ่นจากทาง เมอร์เซเดส ที่วิ่งได้ไกลมาก ซึ่งจะหมดปัญหากับการชาร์จระหว่างการเกินทางได้
EQS 450+ AMG แบตเตอรี่ความจุ 107.8 kWh และ มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว กำลังสูงสุด 333 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 568 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อคู่หลัง น้ำหนักรถ 2.5 ตัน
สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ตั้งแต่ 10 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ในระยะเวลาเพียงแค่ 31 นาที เท่านั้น ด้วยเครื่องชาร์จเร็ว 200kW แต่ถ้าคุณชาร์จผ่านไฟบ้านตรงๆแม้ว่าจะมี Wall Box คุณจะต้องใช้เวลาชาร์จถึง 36 ชั่วโมงกว่าจะประจุพลังงานไฟฟ้าจนเต็ม
EQS 450+ AMG Premium รองรับหัวชาร์จแบบ CCS Combo 2 ออนบอร์ดชาร์จเจอร์ของการชาร์จไฟกระแสตรงระดับ 200 kW เป็นการรองรับ ตู้ชาร์จแบบไฟแรงในอนาคต ส่วนการชาร์จไฟแบบกระแสสลับ AC ออนบอร์ดชาร์จเจอร์ 22 KW
- อัตราเร่ง 0 – 100 km/h ภายใน 6.2 วินาที
- Top Speed ความเร็วสูงสุด 210 km/h
- วิ่งได้ไกลสุด 770 km. ต่อการชาร์จ
เริ่มการเดินทางจากกรุงเทพฯ แบตเตอรี่เต็ม 100% หน้าจอแจ้งว่าวิ่งได้ระยะทาง 723 กม. ซึ่งทุกครั้งที่ชาร์จเต็ม ตัวรถจะคำนวนระยะทางจากพฤติกรรมการขับขี่ก่อนหน้านี้ ดังนั้นทำให้ระยะทางที่วิ่งได้ในแต่ละครั้งจะไม่เท่ากัน บางครั้งอาจจะวิ่งได้แค่ 600 กว่า กม. หรือบางครั้งอาจจะได้มากถึง 800 กม. ก็ได้
เข้ามานั่งภายในรถ การตกแต่งภายใน โดดเด่นกับหน้าจอใหญ่ๆ 3 ชุด ทั้งฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า จอตรงกลาง และจอหลังพวงมาลัย ถ้านับขนาดรวมกันก็ประมาณ 56 นิ้ว ซึ่งแต่ละจอจะทำหน้าที่แสดงชุดข้อมูลต่างๆ พร้อมแยกการแสดงผลให้สอดคล้องกับการใช้งาน ทั้งยังมีระบบ MBUX Hyperscreen คือที่สุดแห่งจอก็ว่าได้
ออกเดินทาง หน้าจอขนาดใหญ่เรียกว่าตาลายกันไปเลย ถ้าจะทำความคุ้นเคยกับตัวรถนั้นอาจจะต้องใช้เวลาสัก2วัน เห็นหน้าจอใหญ่ๆ เมื่อออกถนนแดดแรงสบายมากเพราะจอเป็นแบบ OLED ที่สามารถสู้กับควาามสว่างในเวลากลางวันได้อย่างสบาย
ด้านฟีเจอร์ ที่ถือว่าเป็นรถแห่งอนาคตจริงๆคือ ระบบนำทางที่เรียกได้ว่าดีที่สุดสำหรับยุคนี้แล้ว ตั้งแต่ทำการทดสอบรถมา ระบบนำทาง EQS ดีที่สุดอย่างไร การแสดงผลต่างๆนั้นทำได้รวดเร็วมาก ภาพแบบ 3มิติ แต่ที่เหนือกว่าคือ ถ้าผ่านจุดทางแยกต่างๆหน้าจอจะเชื่อมกับกล้องด้านหน้าแสดงภาพจริงพร้อมเส้นนำทาง ซึ่งทำงานได้อย่างรวดเร็ว เรียกว่าดีที่สุดสำหรับการนำทาง
ด้านฟีเจอร์เรื่องความปลอดภัยอื่นๆ ยังมีกล้องที่หน้าจอหลังพวงมาลัย คอยตรวจจับใบหน้าผู้ขับ โดยเข้ามาช่วยเรื่องความปลอดภัย กรณีที่พบว่า คนขับหลับตา (หลับใน) สลบ คอพับ มือละออกจากพวงมาลัย ระบบนี้จะสั่งงานโดยพวงมาลัยสั่นก่อน เซฟตี้เบลท์จะกระตุกเพื่อให้ตื่น รถชะลอความเร็วทันที พร้อมค่อยๆ ขยับชิดซ้ายและเบรกให้อัตโนมัติ เปิดไฟฉุกเฉิน ถือเป็นฟีเจอร์ลํ้าสมัยและสร้างความปลอดภัยได้แท้จริง
ด้านการขับขี่ แน่นอนว่ารถไฟฟ้าเรื่องพละกำลังนั้นไม่ต้องเป็นห่วง กดคันเร่งทุกครั้งรถทะยานออกอย่างรวดเร็ว แรงบิดระดับ 568 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อคู่หลัง พาน้ำหนักรถ 2.5 ตัน แบบตัวปลิว เหมือนรถขนาดเล็ก ประกอบกับช่วงล่างแบบถุงลมที่มั่นใจได้ ให้ความนุ่มนวลในทุกสภาพแม้ว่าถนนเมืองไทยจะเรียบก็ตาม ที่มาพร้อมล้อ ขนาด 21 นิ้ว แต่ถ้าเทียบความนิ่มนวลเท่ากับ S-Class ต้องบอกว่า S-class นุ่มกว่า แต่ในส่วนตัวทีมงานชอบช่วงล่างของ EQS มากกว่า เพราะมีความนุ่มกำลังดีและยังให้ความมั่นใจในความเร็วสูงด้วย โหมดการขับขี่แต่ละโหมดแตกต่างกันชัดเจน โหมดหลักๆ เช่น ECO คันเร่งไปแบบนุ่มนวลเพื่ออัตราการกินไฟที่น้อย comfort เป็นโหมดกลางที่เหมาะกับการใช้งานมากที่สุด Sport คันเร่งไวสุดพร้อมเสียงสังเคราะห์ แบบเร้าใจเวลากดคันเร่งทุกครั้ง
การเก็บเสียงก็ต้องบอกว่าทำได้หน้าประทับใจมาก แน่นอนว่าเสียงเครื่องยนต์ไม่มี และเสียงลมที่เข้าตัวรถละ รถได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดีในด้านหลักการอากาศพลศาสตร์ การวางแบตเตอรี่จากแพลตฟอร์มที่รองรับระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าและความสะดวกสบายของโลกแห่งอนาคต ทำให้ลมที่ปะทะตัวรถน้อยมาก EQS มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน cd เพียง 2.0 ซึ่งตำมากถ้าเทียบกับขนาดตัวรถ ส่งผลทั้งในเรื่องการประหยัดไฟฟ้า และเสียงที่เข้าภายในด้วย
ด้านอัตราบริโภคพลังงาน หากขับเรื่อยๆ มีแรงแซงในบางครั้ง ตัวเลขแสดงผลประมาณ 17-18 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อ 100 กิโลเมตร แต่ถ้าขับความเร็วเกิน 120 กม./ชม. และมุดแซงอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขก็สูงไปเรื่อยๆทำให้ระยะทางในการวิ่งสั้นลง(ซึ่งไม่ต่างกับน้ำมัน)
สรุปสำหรับ EQS 450+ AMG Premium
ต้องบอกเลยว่าเป็นรถไฟฟ้าแห่งอนาคตจริงๆ เพราะอะไรอย่างแรก นี้จะเป็นรถไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศไทย เทคโนโลยีที่ใส่เข้ามาภายในรถต้องบอกว่ามันไปไกลเกินกว่าที่เราคิด ว่าจะมีใส่ในรถ จุดเริ่มต้นหลายๆอย่างสำหรับรถยุโรป เราก็จะได้เห็นใส่เพิ่มเข้ามาในรถหลายๆรุ่น ทั้งญี่ปุ่น จีน
สิ่งใหม่ที่ทำให้การขับขี่เปลี่ยนไป เช่น ระบบนำทางที่เชื่อมต่อกับกล้องหน้าเรียกว่าถ้าใครหลงทางอีกก็คงต้องไปเรียนขับรถกันใหม่ และ ระบบความปลอดภัยที่ตรวจจับตาของเราว่าหลับในหรือเปล่า รถจะเตื่อนก่อนที่จะนำรถเขาข้างทางเองแบบอัตโนมัติ นี้เรียกว่าดีและปลอดภัยกับทุกคนบนท้องถนน
ในส่วนของราคานั้นที่คาดหวังว่าจะถูก เทคโนโลยีขนาดนี้บรรยายกัน 3 วันไม่จบ วิ่งได้ไกลกว่าใครที่มีขายอยู่ในตลาดเมืองไทยนะตอนนี้ บอกเลยว่าเอาอะไรมาถูก คาดเดาว่า ราคาน่าจะเกิน 7 ล้านกว่าบาท แน่นอน
ติดตามข่าวรถยนต์ ราคารถยนต์ รีวิวรถยนต์ และจักรยานยนต์ทุกยี่ห้อ กับเรา Autospinn
เช็คโปรโมชั่นรถใหม่ เช็คราคารถใหม่ ได้ที่นี่
ราคารถมือสอง ซื้อรถมือสอง ขายรถมือสอง เชิญได้เลยที่ one2car
ความคิดเห็น