รีวิว Audi e-tron Sportback 55 Quattro 2022 แรงติดเบาะ ชาร์จไวทันใจ Share this
รีวิวรถยนต์
โหมดการอ่าน

รีวิว Audi e-tron Sportback 55 Quattro 2022 แรงติดเบาะ ชาร์จไวทันใจ

Paknam536
โดย Paknam536
โพสต์เมื่อ 02 June 2565

Audi e-tron Sportback 55 Quattro S-Line รถยนต์ไฟฟ้าแบบ SUV สไตล์สปอร์ตตัวแรงจากทาง Audi มาพร้อมขนาดตัวใหญ่โตมโหฬาร และพละกำลังกว่า 408 แรงม้า ขับเคลื่อน 4 ล้อ กับค่าตัว 5.299 ล้านบาท


Audi e-tron รถยนต์ไฟฟ้าอาวดี้

แบรนด์ Audi เป็นแบรนด์รถยนต์ระดับพรีเมี่ยมสัญชาติเยอรมัน ที่ดูออกจะเน้นหนักไปในสไตล์สปอร์ตซะมากกว่า นอกจากรถยนต์น้ำมันที่เค้าได้สร้างชื่อเสียงมาอย่างยาวนานแล้วนั้น ทางอาวดี้เองก็มีรถยนต์ไฟฟ้าของตัวเองด้วยเช่นกันในกลุ่มรหัส e-tron นั่นเอง โดยมีการแชร์พื้นฐานตัวรถหลายๆ รุ่นกับแบรนด์ Porsche ที่อยู่ในเครือเดียวกันอีกด้วย

Audi e-tron เป็นรหัสที่สื่อถึงรถยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์อาวดี้ โดยในประเทศไทยจะมีรถยนต์ Audi e-tron อยู่ทั้งหมด 4 โมเดลด้วยกัน ได้แก่

  1. Audi e-tron รถยนต์ไฟฟ้าแบบ SUV
  2. Audi e-tron GT รถยนต์ไฟฟ้าแบบซีดาน
  3. Audi RS e-tron GT รถยนต์ไฟฟ้าแบบสปอร์ตซีดาน
  4. Audi e-tron Sportback รถยนต์ไฟฟ้าแบบ SUV สไตล์สปอร์ต

 

Audi e-tron Sportback 55

Audi e-tron Sportback 55 Quattro S-Line ที่เราจะมารีวิวกันในบทความนี้ เป็นรถยนต์ไฟฟ้ารูปทรง SUV ท้ายลาดตามแบบฉบับของรหัส Sportback หรือจะเรียกว่าทรงคูเป้ก็ว่าเช่นนั้นได้ มันจะดูมีความสปอร์ตมากยิ่งขึ้นจากรุ่นโมเดล e-tron ปกติที่เป็นรถยนต์ SUV ทั่วไป

Audi e-tron Sportback โดดเด่นด้วยดีไซน์แบบรถยนต์ SUV ขนาดใหญ่ ที่ออกแบบผสมผสานทั้งด้านการใช้งานสไตล์รถครอบครัว และดีไซน์แบบรถสปอร์ต ถือเป็นรูปแบบรถยนต์ที่ถูกใจใครไม่น้อย เพราะด้วยดีไซน์ของมันที่ยังดูซิ่งอยู่ แถมสามารถใช้งานได้ดีจากความอเนกประสงค์ของมัน

Audi e-tron Sportback รุ่นที่ขายเมืองไทย มีรหัสรุ่นย่อยว่า 55 Quattro S-Line ซึ่งมีความหมายดังนี้

  1. รหัส 55 หมายถึงขนาดแบตเตอรี่ความจุสูง โดยรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ให้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนความจุมากถึง 95 kWh
  2. Quattro ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออันทรงพลัง จากมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว
  3. S-Line ชุดแต่งรอบคัน

 

การออกแบบ Audi e-tron Sportback

ดีไซน์ภายนอกของ Audi e-tron Sportback โดดเด่นด้วยความเป็นรถยนต์ SUV ขนาดใหญ่ พิกัด D-Segment ด้านหน้าของตัวรถดูมีความสปอร์ตแทบไม่ต่างจากรถยนต์สันดาป เอาว่าถ้าไม่สังเกตุดีๆ ว่ากระจังหน้าของเค้าปิดทึบอยู่ก็แทบดูไม่ออกเลยว่าเจ้ารถคันนี้ไม่ใช่รถน้ำมัน

 

 

ไฟหน้า ใช้ไฟหน้า Matrix LED มาพร้อมระบบเปิด/ปิด ไฟสูงอัตโนมัติ พร้อมไฟส่องสว่างขณะเข้าโค้ง

 

Audi e-tron Sportback headlight

 

Audi e-tron Sportback Frunk

 

ดีไซน์ด้านข้างของตัวรถ เห็นลายเส้นที่มีความโค้งมนอย่างสวยงาม เป็นการยกด้านหน้าสูงขึ้นและลาดลงด้านหลังเป็นเส้นเดียวได้อย่างสวยงาม

 

 

ล้อ ใช้ล้ออัลลอยสีทูโทนขนาด 21 นิ้ว รัดยาง 265/45 R21 ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ระบบเบรกเป็นดิสก์เบรก พร้อมคาลิปเปอร์สีเหลืองสดใส

 

 

มองจากท้ายรถจะเห็นได้ถึงความลาดลงมาของแนวหลังคารถ ดูสวยงาม อ่อนช้อย และแน่นอนว่ารถยนต์รูปแบบนี้ "ไม่มีใบปัดน้ำฝนหลัง" ทำให้ตอนฝนตกแล้วเราขับรถไม่เร็วมากนัก เราจะมองกระจกหลังเห็นภาพได้ไม่ค่อยชัดเจนนัก

 

ไฟท้าย LED Light Guilding ลากยาวจากซ้ายจรดขวา

 

ประตูท้ายระบบไฟฟ้า พร้อมระบบเตะเปิด

 

 

 

 

ภายในห้องโดยสารของ Audi e-tron Sportback 55 มาในรูปแบบสปอร์ต ใช้โทนสีดำเป็นหลัก

 

Audi e-tron Sportback Thai Version Interior

 

เบาะนั่งทรงสปอร์ต ปรับได้ด้วยระบบไฟฟ้า

 

พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นทรงสปอร์ตท้ายตัด พร้อมหุ้มหนังที่ให้สัมผัสนุ่มนวล กระชับมือ

 

 

รถยนต์ไฟฟ้ายุคปัจจุบัน เปรียบเสมือนคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ เพราะทุกสิ่งอย่างภายในตัวรถล้วนควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้มันต้องมีหน้าจอแสดงผลอยู่ในทุกๆ ตำแหน่ง โดยด้านหน้าของตัวรถมีทั้งหมด 3 หน้าจอหลักๆ ได้แก่

 

หน้าจอเรือนไมล์ของผู้ขับขี่ บอกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการขับขี่ครบครัน

 

หน้าจอมัลติมีเดีย แสดงข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับตัวรถ, การปรับแต่ง, ตั้งค่าตัวรถ อัดแน่นอยู่ในหน้าจอนี้ ซึ่งรวมไปถึงระบบความบันเทิง, Apple CarPlay, Andriod Auto

 

สุดท้าย หน้าจอที่ 3 ควบคุมระบบปรับอากาศภายในตัวรถ

 

ตัวคันเกียร์ จะเป็นชิ้นสีน้ำเงิน ติดอยู่ด้านขวาของที่พักแขนตรงกลาง (บริเวณด้านบนของภาพนี้) ส่วนตรงกลางมีช่องวางแก้วน้ำ พร้อมที่ใส่ของชิ้นเล็กๆ

 

 

ระบบเสียง ใช้ของ Bang & Olufsen ให้เสียงคุณภาพสูงมาก

 

ด้านหลัง แม้จะดูเป็นรถยนต์แบบท้ายลาด แต่ก็มีความโปร่ง โล่งสบายอยู่

 

ตรงกลาง สามารถดึงออกมาเป็นที่พักแขนได้ โดยถูกออกแบบให้มีพื้นที่วางของไว้ด้วย ใหญ่เพียงพอที่จะวางโทรศัพท์มือถือ iPhone 12 Pro Max ได้ 2 เครื่อง

หลังคาพาโนรามิกซันรูฟ ช่วยเพิ่มความโปร่งให้กับห้องโดยสารได้เป็นอย่างดี

 

มีม่านบังแดดมาให้ทั้ง 2 ข้าง

 

ตรงกลาง มีช่องแอร์ให้ 2 ช่อง พร้อมที่วางมือถือ และช่องชาร์จ

 

ด้านข้างบริเวณเสา B มีช่องแอร์ให้ด้วยเช่นกัน ทำให้ผู้โดยสารด้านหลังเย็นสบาย

 

สเปค Audi e-tron Sportback 55 Quattro

มอเตอร์ 2 มอเตอร์
พละกำลังสูงสุด 408 แรงม้า
แรงบิดสูงสุด 664 นิวตันเมตร
ระยะทางขับขี่สูงสุด / 1 การชาร์จ มาตรฐาน NEDC 463 กิโลเมตร
ระบบขับเคลื่อน AWD ขับเคลื่อน 4 ล้อ
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม 5.7 วินาที
ความเร็วสูงสุด 200 กม./ชม.
แบตเตอรี่ ลิเธียมไอออน ระบายความร้อนด้วยน้ำ
พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด (kWh) 95
แรงดันไฟฟ้า (V) 400
รองรับการชาร์จ AC Type 2 (kW) 22
รองรับการชาร์จ DC CCS 2 (kW) 150
ตัวถัง e-tron
พวงมาลัย พวงมาลัยไฟฟ้าแบบสปอร์ต
ระบบกันสะเทือนหน้า / หลัง ถุงลมไฟฟ้า
ระบบเบรคหน้า/หลัง ดิสก์เบรก
ขนาดยางล้อ หน้า 265/45 R21 หลัง 265/45 R21

 

 

มิติตัวรถ Audi e-tron Sportback 55 Quattro

ขนาดตัวรถภายนอก ยาว x กว้าง x สูง (มม.) 4,901 x 1,935 x 1,661
ระยะฐานล้อ (มม.) 2,928
ระยะห่างจากพื้น (มม.) Standard 172
Offroad 248
Sport 152
น้ำหนักรถเปล่า (กก.) 2,455

 

 

 

 

 

พื้นที่เก็บสัมภาระ 

ช่องเก็บของด้านหน้า (Frunk) 60 ลิตร
พื้นที่เก็บสัมภาระ 615 ลิตร
พื้นที่เก็บสัมภาระ เมื่อพับเบาะหลังทั้งหมด 1,665 ลิตร

 

 

 

รายละเอียดตัวรถรถอื่นๆ ดูได้ที่ https://www.audi.co.th/dam/nemo/sea/th/pdf/technical-data/2021/e-tron_Sportback_WebBrochure_Oct2021.pdf

 

 

ทดลองขับ Audi e-tron Sportback 55 Quattro

ในส่วนของการทดสอบขับขี่ Audi e-tron Sportback 55 Quattro ผมได้ทำการทดสอบทั้งการขับในเมืองแบบใช้ชีวิตประจำวัน และการเดินทางไกลระยะทางรวมราวๆ 400 กิโลเมตร ขอแบ่งเป็นส่วนๆ ดังนี้

ในส่วนของการขับในเมือง Audi e-tron Sportback 55 ถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ โดยขนาดของตัวรถอยู่ในพิกัดใกล้เคียงกับ Porsche Cayenne Coupe กันเลยทีเดียว ส่งผลให้เรื่องการขับในเส้นทางที่มีความแคบอาจจะต้องใช้ความระมัดระวังบ้างเล็กน้อย

ทางด้านอัตราสิ้นเปลืองพลังงานกับการขับขี่ในเมืองถือว่าทำได้ดี โดยอัตราสิ้นเปลืองอยู่ราวๆ 200-250 Wh / km. หรือราวๆ 4-5 km/kWh ซึ่งก็ถือว่าประหยัดไม่ใช่น้อยกับขนาดของตัวรถที่ใหญ่ระดับนี้

 

 

ทัศนวิสัยการมองเห็นของตัวรถถือว่าทำได้ดี ตัวรถดูภายนอกออกแนวสปอร์ต ส่วนภายในก็ยังคงความกว้างขวางสไตล์รถยนต์ SUV อยู่

ตัวช่วงล่าง สามารถปรับได้ตามความพึงพอใจ โดยส่วนตัวผมสำหรับการขับในเมืองจะชื่นชอบช่วงล่างที่นุ่มนวลมากกว่า เพราะอย่างที่ทราบกันดี ถนนในกรุงเทพ "ไม่ค่อยจะเรียบเท่าไหร่นัก" ซึ่งการเลือกใช้โหมด Comfort จะช่วยทำให้การขับขี่นั้นมีความนุ่มสบายมากยิ่งขึ้น

ส่วนพละกำลัง อย่าได้ห่วงไป รถยนต์ไฟฟ้าทุกคันที่จดทะเบียนได้ "กดปุ้บพุ่งเลย" เป็นเรื่องปกติ

 

 

ในส่วนของการขับทางไกลกับ Audi e-tron Sportback 55 ถือว่าตอบโจทย์ไม่ใช่น้อย โดยโหมดการขับขี่ที่อยากแนะนำขอให้เป็นโหมด Efficiency หรือโหมดประหยัดพลังงาน ตัวรถจะทำการเพิ่มความหน่วงของคันเร่งให้มากยิ่งขึ้น ทำให้รถประหยัดพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น ส่งผลให้เราขับรถได้ระยะทางที่ไกลมากขึ้น อีกทั้งตัวรถยังปรับลดความสูงลงไปอยู่ระดับเดียวกับโหมดสปอร์ต แต่ยังคงความนุ่มนวลไว้อยู่ ทำให้ตัวรถลู่ลมมากขึ้น ส่งผลให้ขับขี่ได้ระยะทางไกลขึ้นไปอีกขั้น

สำหรับสายซึ่ง หากใช้ Audi e-tron Sportback 55 แนะนำเป็นโหมด Sport เพราะเมื่อเข้าโหมดนี้ ตัวรถจะปลดล็อก Boost ออกมา, เพิ่มความไวของคันเร่ง และเซ็ตพวงมาลัยแข็งขึ้น ส่งผลให้เราขับขี่ได้อย่างกระชับ และมั่นใจมากขึ้น ใครที่เป็นสายซึ่งอยากขับแบบ 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 5.7 วินาทีตามสเป็ค ต้องใช้โหมดนี้

 

 

Audi e-tron Sportback 55 จุดเด่น

  1. รถ SUV สไตล์สปอร์ต ตอบโจทย์ครอบครัวที่อยากได้รถยนต์ไฟฟ้าที่มีพื้นที่ใช้งานอเนกประสงค์ แต่ยังอยากได้ดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยว
  2. ขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมพละกำลังสูงมากถึง 408 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 660 นิวตันเมตร ทำ 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 5.7 วินาที
  3. แบตเตอรี่มีขนาดใหญ่ถึง 95 kWh
  4. ชาร์จแบตเร็วมากๆ แม้กำลังชาร์จอยู่ช่วง 80-100% ก็สามารถรับไฟได้มากถึง 50 kW (รถทั่วไปรับอยู่ 10-30 kW)
  5. มี Frunk ช่องเก็บของด้านหน้า ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า

 

Audi e-tron Sportback 55 ข้อเสีย

  1. ไม่มี Adaptive Cruise Control
  2. ไม่มีระบบรักษาตัวรถให้อยู่ในเลน
  3. บริโภคไฟฟ้าสูงถึง 200-300 Wh/km ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะ และเส้นทางการขับขี่ด้วย

Audi e-tron Sportback 55 แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็ยังมีข้อด้อยอยู่นั่นคือ "ออปชั่น" สำคัญที่ขาดหายไปอย่าง Adaptive Cruise control และระบบรักษาตัวรถให้อยู่ในเลน ซึ่งถือว่าเป็นฟังก์ชั่นที่ช่วยทำให้การขับขี่เดินทางไกลสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น น่าเสียดายมากๆ ที่ไม่มีฟังก์ชั่นนี้มาให้

และอีกจุดหนึ่ง นั่นคือ "กินไฟ" รถคันนี้ถือว่าค่อนข้างบริโภคพลังงานไฟฟ้าที่สูงพอสมควร โดยมีอัตราสิ้นเปลืองระดับ 200-300 Wh/km เลยทีเดียว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเร็ว และสไตล์ในการขับขี่ด้วย และด้วยข้อด้อยนี้ แม้ตัวรถจะให้แบตเตอรี่ใหญ่ขนาด 95 kWh มาให้ แต่ระยะทางขับขี่ที่เราแนะนำก็ควรจะอยู่ราวๆ 300-350 กิโลเมตร ก็ควรแวะชาร์จได้แล้วครับ

 

 

 

Autospinn เว็บไซต์รายงานข่าวรถยนต์ รถยนต์ไฟฟ้า รถมอเตอร์ไซค์ เช็กวันเปิดตัวรถใหม่ ราคารถ ตารางผ่อน และรีวิวรถยนต์ รถจักรยานยนต์ โดยทีมงานมืออาชีพ
ซื้อ-ขาย รถมือสอง ได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัยชัวร์ ต้องที่ ตลาดรถ One2car


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ