รีวิว Ford Everest โฉมใหม่ กับการขับทดสอบ ทั้งบนทางเรียบ และทางลุย Share this
รีวิวรถยนต์
โหมดการอ่าน

รีวิว Ford Everest โฉมใหม่ กับการขับทดสอบ ทั้งบนทางเรียบ และทางลุย

Champ Autospinn
โพสต์เมื่อ 14 July 2565

Ford Everest โฉมใหม่นี้ ไม่ได้มีดีแค่หน้าตา แต่ยังมาพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย และความสะดวกสบายครบครัน ถือเป็นรถอเนกประสงค์อีกหนึ่งคันที่น่าจับตามองเลยทีเดียว


รับชมรีวิว Ford Everest โฉมใหม่ รูปแบบวีดีโอได้ที่นี่

ฟอร์ด จัดกิจกรรม นำสื่อมวลชนร่วมสัมผัสสมรรถนะรถอเนกประสงค์รุ่นล่าสุด ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ บนทางเรียบและออฟโรด กิจกรรมในครั้งนี้ เป็นการทดสอบขับรถภายใต้แนวคิด Life is Yours to Master ได้สัมผัสสมรรถนะของฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ ในหลายๆ ฟีเจอร์ ที่ติดตั้งมาเป็นครั้งแรกในเซกเมนต์ พร้อมเปิดราคา ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ ครบทั้ง 4 รุ่นย่อย ได้แก่

  • รุ่น Trend 2.0 Turbo 4X2 6AT ราคา 1,334,000 บาท
  • รุ่น Sport 2.0 Turbo 4X2 6AT ราคา 1,464,000 บาท
  • รุ่น Titanium+ 2.0 Bi-Turbo 4X2 10AT ราคา 1,704,000 บาท
  • รุ่น Titanium+ 2.0 Bi-Turbo 4X4 10AT ราคา 1,854,000 บาท

โดยรถที่ทีมงาน Autospinn ได้ทดสอบในครั้งนี้เป็นรุ่นท๊อปสุด Titanium+ 2.0 Bi-Turbo 4X4 10AT ราคา 1,854,000 บาท ที่มาพร้อมออฟชั่น แบบจัดเต็ม และเป็นรุ่นย่อยเดียวที่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ

ดีไซน์ภายนอก Ford Everest Titanium+ 2.0 Bi-Turbo 4X4 10AT

การดีไซน์ปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ต่างจากในรุ่นก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง ด้านหน้าโดดเด่นด้วยกระจังสีเงินโครเมี่ยมมีลายเส้นคาดกลางที่รับเข้ากับชุดไฟหน้าใหม่รูปตัว C แบบ Matrix LED

เส้นด้านข้างตัวถังทอดยาวจากด้านหน้าจรดท้ายรถ เน้นการออกแบบตัวถังที่สะดุดตา พร้อมระยะฐานล้อที่กว้างขึ้น 50 มม. และซุ้มล้อที่ยื่นออกมา ช่วยเพิ่มความโดดเด่น บึกบึน แข็งแกร่งและทันสมัย

ล้อสีทูโทน ขนาด 20 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 255/55R20

มีกล้องให้แบบรอบคัน ทั้งหน้า-หลัง ส่วนกล้องที่อยู่ฝั่งซ้ายและขวาจะติดตั้งอยู่ใต้กระจกมองข้าง ดูภาพได้แบบรอบคัน 360 องศา

ในส่วนของด้านท้ายนั้นก็โดดเด่นไม่แพ้กัน ไฟท้ายแบบ LED Signature

 

ฝาท้ายระบบไฟฟ้า เปิดได้หลากหลายช่องทาง รวมถึงการใช้เท้าเตะไปที่ใต้ท้องรถ โดยฝาท้ายจะเปิดได้สูงมากครับ ผมสูง 175 ซม. เมื่อยืนเก็บของท้ายรถ ศีรษะไม่ชนฝาท้ายเลย

ดีไซน์ภายใน Ford Everest Titanium+ 2.0 Bi-Turbo 4X4 10AT

ภายในห้องโดยสาร มีขนาดที่กว้างขวาง ใช้วัสดุตกแต่งที่ให้ความรู้สึกหรูหรา และติดตั้งไฟสร้างบรรยากาศในทุกส่วนที่จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด โทนสีภายในมีให้เลือก 2 สี คือ สีดำ (ไม่ต้องเพิ่มเงิน) และสีครีมพราลีน (เพิ่มเงิน 10,000 บาท)

หน้าจอแสดงผลบนหน้าปัด ขนาดใหญ่ถึง 12.4 นิ้ว สำหรับแสดงข้อมูลต่างๆ ของตัวรถ แต่ถ้าเป็นรุ่น Trend และ Sport จะได้เป็นหน้าจอที่มีขนาด 8 นิ้ว

จอเครื่องเล่นตรงกลาง เป็นแบบระบบสัมผัสแนวตั้ง ขนาดใหญ่ถึง 12 นิ้ว รองรับทั้ง Apple CarPlay และ Andriod Auto พร้อมระบบเชื่อมต่อการสื่อสาร SYNC® 4A และเข้าถึงข้อมูลต่างๆ รวมถึงการติดตั้งโมเด็มมาจากโรงงานเพื่อ เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันฟอร์ดพาส สามารถสตาร์ทรถจากระยะไกล การตรวจเช็กสถานะต่างๆ ของรถ รวมไปถึงการล็อค และปลดล็อคผ่านโทรศัพท์มือถือ ดูแล้วล้ำสมัยเลยทีเดียว

สำหรับการตั้งค่าระบบต่างๆ ส่วนใหญ่จะต้องเข้าไปตั้งค่าที่หน้าจอกลาง ใช้งานแรกๆ อาจจะดูซับซ้อน แต่พอใช้ไปสักระยะ ก็จะชินไปเองครับ

หน้าจอทัชสกรีนเชื่อมต่อกับกล้อง 360 องศา มีหน้าจอแยกส่วนเพื่อให้จอดรถได้สะดวกยิ่งขึ้นในพื้นที่แคบ และสามารถเลือกดูกล้องแต่ละมุมได้ ช่วยให้การขับขี่ปลอดภัยขึ้น

คอนโซลกลางพร้อมที่วางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง และที่วางแก้วน้ำแบบพับเก็บได้สำหรับเบาะคู่หน้า รองรับระบบการชาร์จแบบไร้สาย เกียร์อัตโนมัติแบบ Electronic Shifter หุ้มด้วยหนังสวยงามจับถนัดมือ พร้อมเบรกมือไฟฟ้า

เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง รองรับการจดจำการตั้งค่าส่วนตัวของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร และเบาะนั่งแถว 2 ยังสามารถปรับอุณภูมิได้

เบาะนั่งแถวที่ 2 ปรับเลื่อนได้ และพับได้แบบแบ่ง 60:40 พับได้แบบแบนราบ

ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 3 แบ่งที่นั่งในอัตราส่วน 50:50 พับได้ด้วยระบบไฟฟ้า นอกจากนี้ ผู้โดยสารทุกคนยังมีพื้นที่เก็บสัมภาระ และชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของตัวเองได้ด้วยการติดตั้งช่องจ่ายไฟทั้ง 3 แถว

ขุมพลังเครื่องยนต์

  • รุ่น Trend 4X2 6AT ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบเดี่ยว กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ให้กำลัง 170 PS ที่ 3,500 รอบต่อนาที และให้แรงบิดสูงสุด 405 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที ระบบขับเคลื่อน 2ล้อ
  • รุ่น Sport 4x2 6AT ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบเดี่ยวทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ให้กำลัง 170 PS ที่ 3,500 รอบต่อนาที ให้แรงบิดสูงสุด 405 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที ระบบขับเคลื่อน 2ล้อ
  • รุ่น Titanium+ 4X2 10AT ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติแบบ SelectShift 10 สปีด ให้กำลัง 210 PS ที่ 3,750 รอบต่อนาที ให้แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที ระบบขับเคลื่อน 2ล้อ
  • รุ่น Titanium+ 4X4 10AT ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติแบบ E-Shifter 10 สปีด มอบพละกำลัง 210 PS ที่ 3,750 รอบต่อนาที ให้แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที ระบบขับเคลื่อน 4ล้อ

ระบบช่วงล่าง

ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ มีฐานล้อที่กว้างขึ้น 50 มิลลิเมตร และมีการปรับแต่งโช้คอัพใหม่ ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบปีกนก 2 ชั้นพร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ระบบกันสะเทือนหลังเป็นแบบคอยล์สปริงพร้อมวัตต์ลิงก์และเหล็กกันโคลง

ทดสอบการขับขี่ บนทางออนโรด

พื้นฐานเดิมของ เอเวอร์เรสต์ เป็นรถที่ขับดีอยู่แล้ว พอเปลี่ยนมาเป็นโฉมนี้ได้มีการพัฒนาเพิ่มเข้าไปอีก ยิ่งทำให้ขับได้ดีขึ้น เพราะมีฐานล้อที่กว้างขึ้น 50 มิลลิเมตร และมีการปรับแต่งโช้คอัพใหม่ รวมไปถึงเพิ่มจุดซีลกันเสียงเข้า จึงให้ความรู้สึกที่นุ่ม เงียบ เข้าโค้งมั่นใจ น้ำหนักของพวงมาลัยหนักขึ้นเล็กน้อย ควบคุมตัวรถได้ง่ายเมื่อทำความเร็วสูง

ในเรื่องของพละกำลัง รุ่นที่ผมทดสอบนั้นเป็นรุ่นท๊อปสุด เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติแบบ E-Shifter 10 สปีด 210 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร หากดูที่ตัวเลขของแรงม้าและแรงบิด จะเห็นได้ว่าเจ้าคันนี้มีพละกำลังที่เยอะมาก เดินทางไกลขึ้น-ลงเขา ได้แบบสบายเลยครับ และเป็นเกียร์แบบ 10 สปีด ต่อเกียร์ได้นิ่มนวล เกียร์เปลี่ยนไว ช่วยให้เครื่องยนต์ไม่เค้นกำลัง แทบจะใช้รอบเครื่องยนต์ต่ำอยู่ตลอดเวลา

ทดสอบระบบช่วยเหลือการขับขี่

เริ่มด้วยการทดสอบ Adaptive Cruise Control with Stop and Go and Lane Centering หลักการทำงานก็คือ รถจะใช้ความเร็วเท่ากับรถคันหน้า แต่จะไม่เกินความเร็วที่เราตั้งไว้ เมื่อรถคันหน้าเบรก รถเราก็เบรกตาม โดยทำงานจนถึงจุดหยุดนิ่งเลย และยังมีระบบที่ช่วยรักษาตัวรถให้อยู่กึ่งกลางเลน โดยพวงมาลัยจะเลี้ยวให้เองเมื่อเป็นทางโค้ง แต่ถ้าเราปล่อยมือจากพวงมาลัยนานเกิน 12 วินาที ระบบก็จะเตือนให้เราเอามือจับพวงมาลัย

ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ

ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ จะสามารถจอดได้ 2 รูปแบบคือ ช่องจอดแบบขนาน และช่องจอดแบบซอง จากการทดสอบก็พอใช้ได้ครับ พวงมาลัยจะหมุนเลี้ยวให้เอง เบรกให้เอง เปลี่ยนเกียร์ให้เอง เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ยังไม่ชำนาญในการจอดรถ แต่ผมว่ามันใช้เวลาในการประมวลผลนานไปหน่อยครับ ในชีวิตจริงอาจโดนคันหลังกดดันบีบแตรไล่

อีกหนึ่งระบบที่มีประโยชน์มากๆ ก็คือระบบเบรกอัตโนมัติครับ เพราะบางทีเราอาจมองไม่เห็นเด็กที่กำลังเล่นอยู่ท้ายรถ จากการทดสอบขับถอยหลัง หากมีสิ่งกีดขวาง รถจะทำการเบรกให้เองแบบอัตโนมัติ และค้างไว้เป้นเวลาประมาณ 3 วินาที

ทดสอบการขับขี่ บนทางออฟโรด

ในรุ่นท๊อปสุดจะได้เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และมีโหมดการขับที่ที่หลากหลายครอบคลุมทุกสภาพเส้นทางในการใช้งาน ซึ่งเราสามารถเลือกระบบขับเคลื่อนเองได้ โดยจะมีหลักๆ คือ 2H 4H และ 4L และมีดิฟล็อคไฟฟ้าที่จะล๊อคให้เองเมื่อเราอยู่ในระบบขับเคลื่อนที่ต้องใช้พละกำลังเยอะๆ

ช่วงที่เป็นทางขรุขระเป็นหลุมบ่อ ได้ทดลองใช้ระบบขับเคลื่อน 4H ตัวรถผ่านเส้นทางเหล่านั้นไปได้แบบสบายๆเลยครับ นอกจากมีระบบขับเคลื่อนให้เราได้เลือกแล้ว ยังมีโหมดการขับขี่ที่เหมาะสมแต่ละสภาพถนนให้เราได้เลือกเองอีกด้วยเช่น

  • โหมดประหยัด
  • โหมดปกติ
  • โหมดถนนลื่น
  • โหมดทราย
  • โหมดโคลน/ร่อง
  • โหมดลาก/พวง

ต่อด้วยการขับขี่ในสภาพเส้นทางที่เป็นโคลน ผมได้ลองใช้ระบบขับเคลื่อน 4H โหมดโคลน/ร่อง ซึ่งตัวรถขับผ่านเส้นทางดังกล่าวได้แบบสบาย ไม่มีอาการแถ ลื่นไถลเลยล่ะครับ ขับผ่านได้แบบง่ายๆเหมือนเป็นทางปกติเลย

จากนั้นได้ทดสอบระบบควบคุมความเร็วลงทางลาดชัน ซึ่งระบบนี้ช่วงที่เป็นทางลงชัน เราปล่อยเท้าออกจากเบรกได้เลย รถจะทำการหน่วงความเร็วให้เองแบบอัตโนมัติ

ต่อด้วยการทดสอบขับลุยน้ำ ที่มีความลึกประมาณ 70 ซม. ซึ่งก็สามารถขับผ่านไปได้อย่างง่ายดาย โดยรุ่นนี้ทางฟอร์ดเคลมไว้ว่าสามารถขับลุยน้ำที่มีความสูงได้ประมาณ 80 ซม.

อีกหนึ่งสิ่งที่ผมชอบคือรถมีกล้องหน้าให้ด้วย ช่วงที่หัวรถเชิดขึ้นเราจะมองไม่เห็นเส้นทางด้านหน้าเลย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาครับ เพราะเราสามารถดูเส้นทางข้างหน้าได้ผ่านกล้องที่แสดงภาพมาที่จอกลาง

สรุปโดยรวม ก็ถือว่า Ford Everest โฉมใหม่นี้ เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว มาในดีไซน์ที่แข็งแกร่ง บึกบึน ดุดัน ส่วนออฟชันและเทคโนโลยีต่างๆ ที่ให้มาก็ครอบคลุมการใช้งานได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

แต่ก็มีบางอย่างที่ผมมองว่า มันยังขาดหายไปเช่น สายคาดเบลท์ไม่สามารถปรับขึ้นลงได้ เบาะหลังเลื่อนหน้าหลังได้แต่ไม่สามารถพับม้วนได้ ทำให้การขึ้นลงเบาะแถว 3 ยากไปหน่อย ระบบ Break Hold มีให้แต่ดันไปซ่อนอยู่ในหน้าจอตรงกลาง ไม่ได้ทำปุ่มลัดมาให้ ทำให้ใช้งานได้ยาก

แต่ในเรื่องของราคานั้น ผมถือว่ามาในราคาที่ดีเลยครับ รุ่นเริ่มต้นราคาล้านสาม ส่วนรุ่นท็อปราคาล้านแปด แต่ถ้าคุณอยากได้รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ ก็จะมีเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้นคือรุ่นท๊อปสุด หากท่านใดสนใจ ก็สามารถรับชมตัวจริงพร้อมทดลองขับได้ที่โชว์รูมได้เลยครับ

อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ ตรวจสอบราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ไปกับเรา Autospinn 

ส่วนใครที่กำลังมองหารถยนต์มือสองทุกรุ่น ทุกแบบ ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน สามารถดูรายละเอียดและราคารถมือสองได้ที่ ตลาดรถ One2car


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ