กระแสความนิยมรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากแต่เดิมที่คนต้องการรถยนต์ไฟฟ้าจะมองเรื่องของความประหยัดเป็นหลัก แต่พอได้ลองขับกันแล้วก็มักจะไปมองกันเรื่องขับสนุกซะมากกว่า เพราะมันไม่ต้องรอรอบ และ NISSAN KICKS e-POWER ก็ให้ประสบการณ์แบบนั้นด้วยเช่นกัน
รถยนต์ไฟฟ้าเป็นกระแส
รถยนต์ไฟฟ้า กลายมาเป็นกระแสหลักตั้งแต่วันที่รัฐบาลไทย ประกาศสนับสนุนการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยการให้ส่วนลดกับรถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นที่ได้ทำการเซ็น MOU เพื่อผลิตภายในประเทศในอนาคต ส่งผลให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเมืองไทยมีความคึกคักมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้แต่ละแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้ามียอดจองกันแบบมหาศาล
กาลเวลาผ่านไป รถยนต์ไฟฟ้าเริ่มมีปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้อยู่ในระดับรถวิ่งมา 100 คันมีรถยนต์ไฟฟ้าคันเดียวแล้ว แต่อยู่ในระดับ รถวิ่งมา 30 คัน มีรถยนต์ไฟฟ้า 1 คันแล้ว ประกอบกับยอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าสะสมในปีนี้ที่พุ่งทะลุ 10,000 คันเป็นที่เรียบร้อย ส่งผลให้มีรถยนต์ไฟฟ้าวิ่งอยู่บนท้องถนนมากยิ่งขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นนั่นคือ “การจอดรอคิวชาร์จไฟฟ้า” ตามสถานีชาร์จต่างๆ เนื่องจากการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้านั้น ส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาชาร์จราวๆ 30-45 นาที และตู้ชาร์จกำลังสูงส่วนใหญ่มักจะมีหัวชาร์จเพียง 1-2 หัวเท่านั้น หากมีรถยนต์ไฟฟ้าเข้าสู่สถานีชาร์จมากกว่า 2 คัน นั่นหมายความว่าต้องเกิดการรอคิว ส่งผลให้ต้องเพิ่มเวลาการเดินทางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
e-POWER โรงไฟฟ้าส่วนตัว
หลายๆ คนที่ได้ทดลองขับรถยนต์ไฟฟ้ามาแล้ว มักจะติดใจอยู่ 2 เรื่อง ได้แก่เรื่องของการขับขี่ที่ขับได้สนุกกว่ารถยนต์สันดาปในราคาใกล้เคียงกัน ด้วยอัตราเร่งที่เร้าใจกว่า กดปุ้บพุ่งเลยไม่ต้องรอรอบ ประกอบกับจุดศูนย์ถ่วงของรถที่ต่ำ ทำให้มันขับขี่ได้สนุก และยังแถมมาด้วยเรื่องของความประหยัดน้ำมันที่ทำได้ดีกว่ารถยนต์สันดาปในราคาใกล้เคียงกัน ทว่ารถยนต์ไฟฟ้านั้นจะขับไปไหนทางไกลก็ควรวางแผนในการแวะชาร์จด้วย เพราะวิธีการเติมพลังงานของรถยนต์ไฟฟ้าต้องพึ่งพาจากแหล่งพลังงานภายนอกเท่านั้น
เทคโนโลยี e-POWER ของ NISSAN จึงเกิดมาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ ในเมื่อการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้านั้นมีประสิทธิภาพต่อราคาที่ดีมากกว่าการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์สันดาปล้วนๆ ทั้งเรื่องของอัตราเร่งที่ทำได้ดีกว่ามาก และอัตราสิ้นเปลืองที่ประหยัดมากกว่า ประกอบกับเทคโนโลยีเครื่องยนต์ของนิสสันที่มีประสิทธิภาพสูง มีความประหยัดน้ำมัน ให้ประสิทธิภาพที่ดี และที่สำคัญ “น้ำมันเชื้อเพลิง” เป็นอะไรที่หาได้ง่ายมากกว่า เพราะสถานีบริการน้ำมันนั้นมีอยู่ทั่วไป สามารถหาได้ง่ายกว่า
ส่งผลให้นิสสันออกแบบให้เครื่องยนต์สันดาปของตนเอง ทำหน้าที่เป็น “โรงไฟฟ้า” ผลิตกระแสไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่ เพื่อจ่ายไฟฟ้าไปยังมอเตอร์ขับเคลื่อนของรถยนต์ โดยมีชื่อเรียกเทคโนโลยีนี้ว่า “e-POWER” เปลี่ยนน้ำมัน เป็นไฟฟ้า
โดยผู้ใช้งานก็ใช้งานได้ง่ายๆ เพียงเติมน้ำมันปกติเหมือนกับขับรถยนต์สันดาปทั่วไป และด้วยเทคโนโลยี e-POWER จะใช้เจ้าเครื่องยนต์สันดาปที่ติดตั้งอยู่ภายในรถ ทำการผลิตกระแสไฟฟ้าเข้าไปยังแบตเตอรี่ของตัวรถ และมอเตอร์ขับเคลื่อนของรถก็จะนำไฟฟ้าจากแบตเตอรี่นี้ไปใช้ในการขับเคลื่อน ทำให้คุณสามารถสัมผัสประสบการณ์ขับขี่แบบรถยนต์ไฟฟ้าแท้ๆ 100% ได้เลย โดยไม่ต้องแวะชาร์จตามสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า
NISSAN KICKS e-POWER AUTECH
ครั้งแรกในประเทศไทย กับการวางจำหน่ายรถยนต์ NISSAN ที่มาพร้อมกับชุดแต่ง AUTECH อันเป็นสำนักตกแต่งรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่นของนิสสันเอง โดยใน NISSAN KICKS e-POWER AUTECH นี้ เป็นการอัพเกรดอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติมจากรุ่นย่อย VL โดยมีการเสริมอุปกรณ์ตกแต่งใหม่รอบคัน ไม่ว่าจะเป็นสเกิร์ตรอบคัน, กระจังหน้า, ล้ออัลลอยดีไซน์พิเศษ เรียกได้ว่าเป็นการเสริมความโดดเด่นให้กับ Nissan KICKS e-POWER ของคุณ ให้แตกต่างจากรุ่นย่อยอื่นๆ ได้อย่างชัดเจน
สิ่งที่ NISSAN KICKS e-POWER รุ่น AUTECH มีความน่าสนใจมากเป็นพิเศษ นั่นคือการตกแต่งภายในที่มาในโทนสีน้ำเงิน มาพร้อมกับไฟ Ambient Light ที่สามารถปรับเปลี่ยนโทนสีได้ ช่วยเสริมทำให้ภายในรถดูมีชีวิตชีวา ดูพรีเมี่ยมมากขึ้นไปอีกขั้น
e-POWER ประหยัดน้ำมันไหม?
เมื่อเราทราบวิธีการทำงานของเทคโนโลยี e-POWER แล้ว เรามาทดสอบกันว่าอัตราสิ้นเปลืองพลังงานกับการขับขี่ด้วยเทคโนโลยี e-POWER จะเป็นอย่างไร โดยทาง Autospinn ได้ทำการทดสอบขับขี่หลากหลายรูปแบบ ทั้งการขับขี่ในเมือง, การขับทางไกล และการขับขี่ท่องเที่ยว โดยใช้ความเร็วเฉลี่ยอยู่ราวๆ 80 - 120 กม./ชม. เพื่อพิสูจน์ความประหยัดของรถ
เทคนิคขับ NISSAN KICKS e-POWER ให้ประหยัดน้ำมัน
ในส่วนของเทคนิคการขับ NISSAN KICKS e-POWER ให้ได้อัตราสิ้นเปลืองต่ำสุดๆ จากการทดสอบของเราแนะนำให้ใช้เทคนิคนี้ โดยเราสามารถทำอัตราสิ้นเปลืองได้ต่ำสุด 26 กม./ลิตร เลยทีเดียว ด้วยวิธีการดังนี้
-
โหมดการขับขี่ ควรใช้เป็นโหมด Eco หรือ Sport เท่านั้น เนื่องจาก 2 โหมดนี้ จะทำให้รถใช้ระบบคันเร่งแบบ e-Pedal Step เวลายกคันเร่งปุ๊บ รถจะทำการลดความเร็วด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งสามารถปั่นไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่ได้ เป็นการบริหารจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดในตอนนี้ ส่วนความแตกต่างของระบบ e-POWER Gen 2 ที่แตกต่างจากเวอร์ชั่นแรกอย่างชัดเจนนั่นคือการใช้คันเร่ง e-Pedal Step นี่เอง จากเดิมที่เวลายกคันเร่งจนหมด รถจะลดความเร็วจนหยุดนิ่งได้เลย แต่ e-Pedal Step รถจะลดความเร็วให้เหมือนกัน แต่ไม่ถึงจุดหยุดนิ่งให้ โดยจะมีความเร็วแบบ Walking speed ให้ที่ประมาณ 5 กม./ชม. ซึ่งเราพบว่ารูปแบบคันเร่งแบบนี้ ทำให้เราควบคุมรถในความเร็วต่ำได้ง่ายกว่า โดยเฉพาะการขับขี่ในขณะที่รถติด หรือขณะกำลังจอดรถ จะมีความแม่นยำที่ดีกว่า เนื่องจากเราควบคุมเบรกเพียงอย่างเดียว
-
ควรรักษาความเร็วการขับขี่อย่างคงที่ ไม่ควรเพิ่มหรือลดความเร็วบ่อยๆ โดยความเร็วที่ทำอัตราสิ้นเปลืองได้ดีมากๆ นั่นคือความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม. และไม่ควรใช้ความเร็วเกิน 120 กม./ชม.
-
การยกคันเร่งบ่อยเพื่อปั่นไฟฟ้ากลับ ทำอัตราสิ้นเปลืองได้น้อยกว่าการขับขี่ด้วยความเร็วยืนพื้นแบบนิ่งๆ เนื่องจากถ้าคุณลดความเร็วต่ำกว่าที่ใช้งานตอนแรก คุณจำเป็นต้องเร่งความเร็วกลับมาที่ความเร็วแรกที่คุณใช้ และทุกครั้งที่คุณเร่งความเร็ว รถก็จะบริโภคไฟฟ้ามากขึ้น
-
การรักษาความเร็วคงที่ ส่งผลให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานน้อยลง กินไฟฟ้าน้อยลง พอปริมาณไฟฟ้าในแบตเตอรี่มีสูงตลอดเวลา ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานน้อยลงมากๆ ทำให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น
-
หากขับขี่บนทางเขา ในจังหวะลาดลงเขา แนะนำให้ยกคันเร่งเพื่อให้มอเตอร์ไฟฟ้าปั่นไฟกลับ ทำให้เครื่องยนต์ติดเครื่องเพื่อปั่นไฟน้อยลง ส่งผลให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น
สรุป ขับ NISSAN KICKS e-POWER ให้ประหยัด ต้องทำอย่างไร
-
ใช้โหมด Eco หรือ Sport ตามความถนัด
-
ขับขี่ด้วยความเร็วคงที่อย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรเร่งแซงบ่อยๆ หรือยกคันเร่งบ่อยๆ โดยแนะนำให้ใช้ความเร็ว 80 - 120 กม./ชม.
สำหรับใครที่สนใจอยากเป็นเจ้าของ NISSAN KICKS e-POWER รุ่น AUTECH และรุ่นอื่นๆ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยครับ
ความคิดเห็น