มาสด้าประกาศผลการดำเนินธุรกิจประจำปี 2565 ประสบความสำเร็จตามคาดการณ์ แม้ประสบกับปัจจัยภายในและภายนอกมากระทบรอบด้าน
มาสด้าประกาศผลการดำเนินธุรกิจประจำปี 2565 ประสบความสำเร็จตามคาดการณ์ แม้ประสบกับปัจจัยภายในและภายนอกมากระทบรอบด้าน ด้วยความแข็งแกร่งขององค์กรและความเข้มแข็งของดีลเลอร์ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์มาสด้าพุ่งเกือบ 32,000 คัน โดยเฉพาะมาสด้า2 ยังคงร้อนแรงทำสถิติใหม่ขึ้นครองอันดับ 3 ตลาดรถเล็กบีคาร์รวมอีโคคาร์ ทำให้ยอดขายสะสมตลาดรถยนต์นั่งมาสด้าขึ้นครองบัลลังก์อันดับสามอย่างถาวร
ส่วนรถอเนกประสงค์ตระกูล CX-Series ทั้ง 4 รุ่น สามารถสร้างยอดขายต่อเนื่องเป็นประวัติการณ์ ครองอันดับ 4 ตลาดเอสยูวีด้วยยอดขายกว่า 12,000 คัน ส่วนปีนี้ยังรุกตลาดหนักเช่นทุกปี เตรียมส่งรถยนต์รุ่นใหม่ลงตลาดตลอดทั้งปี โดยเฉพาะการเอาใจใส่ดูแลลูกค้าและเดินหน้ายกระดับความพึงพอใจของลูกค้าผ่าน Retention Business Model ส่งมอบประสบการณ์ที่เป็นเลิศให้กับลูกค้าในระยะยาว ตั้งเป้ายอดขาย 35,000 คัน หรือเพิ่มขึ้นอีก 10%
ภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทยปี 2565 ที่ผ่านมาถือว่าปรับตัวดีขึ้นกว่าในช่วง 2 ปีก่อนหน้าเนื่องจากได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวจากการบริโภคของภาคเอกชน โดยมีปัจจัยบวกจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้นการกระตุ้นเศรษฐกิจจากนโยบายภาครัฐ โดยเฉพาะจากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวจากต่างชาติ จึงทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และช่วยผลักดันให้ธุรกิจต่างๆ เดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น โดยเฉพาะความต้องการซื้อรถยนต์ใหม่เริ่มกลับมา อีกทั้งยังได้ปัจจัยหนุนจากการเข้ามาทำตลาดของแบรนด์ใหม่ๆ โดยเฉพาะแบรนด์จีน รวมถึงการจัดโปรโมชั่นกระตุ้นการตลาดจากค่ายต่างๆ จึงส่งผลให้อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยในปี 2565 เติบโตเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 12% จากปีก่อนหน้า โดยมียอดขายสะสมประมาณ 850,000 คัน (ตัวเลขประมาณการณ์) ซึ่งเป็นจำนวนใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้เมื่อต้นปี
มร. ทาดาชิ มิอุระ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า วันนี้มาสด้าประกาศเดินหน้าอย่างเต็มรูปแบบตามแผนพัฒนาธุรกิจระยะกลาง (Mid-Term Plan) เพื่อยกระดับคุณค่าของแบรนด์มาสด้าในประเทศไทยผ่านโมเดลธุรกิจที่เราเรียกว่า “Retention Business Model” โดยให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าของแบรนด์ Brand Value Management คือการสร้างความผูกพันกับลูกค้าในระยะยาว Customer Retention Business ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าด้วยบริการหลังการขายที่ดีที่สุด และสร้างความผูกพันระหว่างลูกค้ากับแบรนด์มาสด้า All for Customers เพื่อปรับแผนให้ธุรกิจเกิดการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและเกิดความยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งถือเป็นนโยบายหลักสำคัญที่มาสด้าจะยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติ เพื่อกำหนดเป็นกลยุทธ์ต่อจากนี้เป็นต้นไปและจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง แม้ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไป ผู้บริหารจะหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันมา แต่นโยบายนี้จะยังคงอยู่ และไม่มีวัน “เปลี่ยนแปลง”
สำหรับมาสด้า แม้ว่าในปีที่ผ่านมาจะตกอยู่ท่ามกลางสงครามการแข่งขันที่ดุเดือดและประสบกับปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนในการผลิตมาตั้งแต่ต้นปี แต่ยังสามารถประคับประคองยอดขายได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้ โดยเฉพาะรถยนต์นั่งมาสด้า2 ที่ยังคงได้รับความนิยมจากลูกค้าด้วยการสร้างสถิติยอดขายอันดับ 3 ของตลาดบีคาร์รวมอีโคคาร์ ด้วยยอดขายสูงถึง 16,249 คัน และผลักดันให้มาสด้าสามารถครองตำแหน่งยอดขายอันดับ 3 ในตลาดรถยนต์นั่งได้อย่างยาวนานเกินครึ่งทศวรรษ ด้วยจำนวน 17,810 คัน นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบยอดขายทั้งปีของตลาดรถอเนกประสงค์เอสยูวีแล้ว มาสด้า CX-Series ยังสามารถสร้างยอดขายได้เป็นกอบเป็นกำที่จำนวน 12,322 คัน อยู่อันดับที่สี่ของเซ็กเมนต์นี้ ส่งผลทำให้ปี 2565 ที่ผ่านมา มาสด้ามียอดขายรวมอยู่ที่ 31,638 คัน ยังคงครองความนิยมด้วยการเป็นแบรนด์ยอดขายอันดับ 6 ของอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย
“ปัจจุบัน มาสด้ามีรถที่วางจำหน่ายในประเทศไทยรวมทั้งหมด 8 รุ่น โดยรุ่นที่ได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มรถยนต์นั่งยังคงเป็นมาสด้า2 ในขณะที่มาสด้า CX-30 คือรุ่นที่มาแรงที่สุดในกลุ่มรถครอสโอเวอร์เอสยูวี และเมื่อพิจารณายอดขายของปี 2565 เป็นรายรุ่นแล้วสามารถแบ่งออกเป็นรถยนต์นั่งมาสด้า2 จำนวน 16,249 คัน มาสด้า3 จำนวน 1,553 คัน สปอร์ตเปิดประทุนมาสด้า MX-5 จำนวน 8 คัน ในขณะที่รถครอสโอเวอร์เอสยูวีมาสด้า CX-30 มียอดขายทั้งหมด 6,092 คัน ตามมาด้วยมาสด้า CX-3 จำนวน 4,249 คัน มาสด้า CX-8 จำนวน 1,157 คัน และมาสด้า CX-5 จำนวน 824 คัน นอกจากนี้ รถปิกอัพ บีที-50 มียอดขายอีกจำนวน 1,506 คัน โดยตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จอีกขั้นของมาสด้า ซึ่งเราขอขอบคุณลูกค้าที่ไว้วางใจและเลือกรถยนต์มาสด้าให้เป็นยานพาหนะคู่ใจในทุกการเดินทาง” มร. ทาดาชิ มิอุระ กล่าวเพิ่มเติม
พร้อมกันนี้ มร. ทาดาชิ มิอุระ ยังได้แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับทิศทางและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ว่า “สำหรับในปีนี้คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่จะไม่ได้หวือหวามากนักเนื่องจากยังมีปัจจัยบวกและปัจจัยลบรอบด้านที่ยังคงต้องจับตามองไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ในต่างประเทศที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก อาทิ ปัญหาเรื่องราคาและการขาดแคลนพลังงานในยุโรป ความยืดเยื้อของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน นโยบายทางเงินต่างๆ สถานการณ์เงินเฟ้อที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงสถานการณ์โควิดในประเทศจีนและความเสี่ยงจากการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ทั้งนี้แล้ว ในส่วนของประเทศไทย ก็ยังพอมีปัจจัยบวกสนับสนุน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคของเอกชนที่ยังคงเป็นแรงหนุนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งจากช่วงกลางปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าภาคการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นและคาดว่าในปีนี้จะได้รับแรงสนับสนุนมากยิ่งขึ้นจากนักท่องเที่ยวชาวจีน เนื่องจากจีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการเรื่องโควิด ซึ่งเชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้จะสามารถช่วยบรรเทาผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศไทยลงได้”
มร. ทาดาชิ มิอุระ ยังแสดงวิสัยทัศน์เพิ่มเติมเกี่ยวกับทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปี 2566 ว่า “ในปีนี้คาดว่าตลาดรถยนต์จะมีปริมาณการขายใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาถึงแม้ว่าจะมีหลายปัจจัยเข้ามาสนับสนุนและกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศมากกว่าปีที่ผ่านมา อาทิ ธุรกิจการท่องเที่ยวเริ่มเปิดรับชาวต่างชาติมากยิ่งขึ้น ภาคการเกษตรเติบโตอย่างต่อเนื่อง การบริโภคของประชาชนเริ่มกลับมา รวมถึงปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนเพื่อการผลิตเริ่มคลี่คลายลง แต่ทั้งนี้แล้วก็ยังคงต้องจับตามองเรื่องประเด็นความขัดแย้งทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และจีน ความขัดแย้งในยุโรป ปัญหาด้านพลังงาน ราคาวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น ระบบขนส่งหรือโลจิสติกส์ ล้วนส่งผลกระทบต่อการนำเข้าและส่งออกของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงประเด็นเรื่องค่าครองชีพที่สูงขึ้นจึงอาจทำให้กำลังซื้อชะลอตัว และเชื่อว่าในปี 2566 ตลาดจะมีการแข่งขันกันรุนแรงมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาทำตลาด แต่ทั้งนี้โดยรวมแล้วคาดว่าตลาดรถยนต์จะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา หรืออยู่ที่ประมาณ 850,000 – 870,000 คัน แต่สำหรับมาสด้าเรายังคงมั่นใจอย่างยิ่งว่าปีนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 10% หรือมีตัวเลขยอดขายรวมอยู่ที่ประมาณ 35,000 คัน”
นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สำหรับแผนการตลาดในปี 2566 มาสด้ายังคงมุ่งมั่นเดินหน้าตามแผนงานระยะกลาง (Mid-Term Plan) ผ่าน Retention Business Model ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างมูลค่าแบรนด์ (Brand Value Management) ด้วยการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าในทุก Touchpoints เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าตลอดระยะเวลาที่ครอบครองรถยนต์มาสด้า และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับแบรนด์มาสด้าในประเทศไทย โดยกลยุทธ์ด้านต่างๆ สามารถแบ่งออกได้ดังนี้
กลยุทธ์ด้านการตลาด: เสริมสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์มาสด้าด้วยการนำเครื่องมือทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะดิจิทัลแพลตฟอร์มมาใช้สื่อสารกับลูกค้าและแฟนมาสด้า แบบ One-to-One Communication รวมถึงการนำฐานข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผ่านระบบ Global One Customer Data Management System ควบคู่ไปกับการสร้างประสบการณ์และความพึงพอใจของลูกค้าในทุก Touchpoints
กลยุทธ์ด้านการขาย: วางโยบายด้านการขายที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางด้านราคาและสร้างความพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าควบคู่กับเพิ่มจำนวนลูกค้าที่ชื่นชอบในแบรนด์และผลักดันให้เกิดการซื้อซ้ำมากยิ่งขึ้นด้วยธุรกิจมือสองคุณภาพเหนือระดับ หรือ Mazda CPO เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าที่มองหารถยนต์มือสองคุณภาพดีที่ผ่านการรับคุณภาพโดยมาสด้าตลอดจนถึงสร้างความยั่งยืนให้กับแบรนด์มาสด้าในประเทศไทย
กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์: นำปรัชญาของการพัฒนาโดยเน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Human-Centricity Philosophy) มาใช้พัฒนาปรับปรุงผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของมาสด้าให้ดียิ่งขึ้นเพื่อส่งมอบประสบการณ์ความสุขและความสนุกสนานในการขับขี่ให้กับลูกค้าผ่านการเป็นเจ้าของรถยนต์ควบคู่กับมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปโดยวางแผนปรับโฉมผลิตภัณฑ์และเปิดตัวสู่ตลาดในทุกไตรมาสของปี 2566 แต่ในขณะเดียวกันก็ได้เตรียมความพร้อมเพื่อเดินหน้าตามพันธกิจสู่ความยั่งยืนภายในปี 2573 หรือ Sustainable Zoom-Zoom 2030 ด้วยการวางรากฐานสู่การนำเสนอรูปแบบพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้สถานการณ์และกรอบเวลาที่เหมาะสม เพื่อบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ ภายในปี 2593
กลยุทธ์ด้านการบริการหลังการขายและนโยบายเกี่ยวกับผู้จำหน่าย: ร่วมมือกับผู้จำหน่ายทั่วประเทศในการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าทั้งด้านการขายและการบริการหลังการขายผ่านทุกวิถีทาง All for Customers เพื่อส่งมอบความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าและมุ่งดูแลลูกค้าในระยะยาวด้วยโปรแกรมบริการหลังการขายที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายควบคู่กับการเดินหน้าสร้างความสัมพันธ์และทำงานร่วมกันกับผู้จำหน่าย ตามแนวทาง One Mazda เพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืนร่วมกัน
“ทั้งหมดนี้คือผลการดำเนินงานของมาสด้าในปี 2565 ที่ผ่านมา และแนวทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 เรามุ่งมั่นที่จะมอบช่วงเวลาแห่งความสุขในชีวิตให้กับลูกค้า พันธมิตร และผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างแบรนด์มาสด้าให้เติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเทคโนโลยียานยนต์ที่มอบความสะดวกสบายและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามวิสัยทัศน์ Sustainable Zoom-Zoom 2030 เพื่อโลก เพื่อสังคม และเพื่อผู้คน ที่ยั่งยืนตลอดไป ” นายธีร์ กล่าวเพิ่มเติม
สรุปยอดจำหน่ายรถยนต์มาสด้า ประจำปี 2565 เปรียบเทียบกับปี 2564
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ไปกับ Autospinn
ค้นหารถมือสองทุกรุ่น ทุกแบบ ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน ดูรายละเอียด และราคารถมือสองได้ที่ ตลาดรถมือสอง One2car
ความคิดเห็น