คาร์ซีทสำคัญอย่างไร ทำไมพ่อแม่ต้องมีติดรถเพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย พร้อมเผยวิธีการเลือกซื้อที่ต้องรับรู้และหากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย จะถูกระวางโทษอย่างไร
คาร์ซีท สำคัญอย่างไร ทำไมพ่อแม่ต้องมีติดรถเพื่อลูกน้อย
จากเหตุการณ์ที่คุณพ่อรายหนึ่งขับรถกระบะป้ายแดงเสียหลักชนขอบทางทำให้ลูกชายวัย 6 ขวบ กระเด็นออกจากรถตกลงมาจากทางด่วนพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) บริเวณสะพานภูมิพลจนเสียชีวิตอยู่ด้านล่างในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 19 ก.พ.2566 ที่ผ่านมา ทำให้เกิดประเด็นสังคมต่างๆ มากมาย ทั้งเรื่องพวงมาลัยล็อกที่เป็นเหตุให้รถเสียหลัก หรือเรื่องการเตรียมบังคับใช้กฎหมาย "คาร์ซีท" ใน พ.ร.บ.จราจร ที่จะมีผลตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป วันนี้ Autospinn จะมาเปิดเผยว่า คาร์ซีท มีความสำคัญอย่างไร และทำไมพ่อแม่ต้องมีติดรถเพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย
คาร์ซีท (Car Seat) เป็นอุปกรณ์เสริมที่ใช้สำหรับเด็กนั่งโดยสารบนรถ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและป้องกันอุบัติเหตุจากการกระเด็นออกนอกรถ หรือกรณีอื่นๆ จนหลายๆ ประเทศออกกฎหมายบังคับใช้และมีบทลงโทษที่ชัดเจน
สำหรับประโยชน์ของคาร์ซีท มีมายมายเช่น เพิ่มความปลอดภัยให้กับลูกน้อยระหว่างเดินทางด้วยรถยนต์ ลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุที่อาจจะมาจากเด็กรบกวนพ่อแม่ระหว่างขับรถ และหากใครที่ต้องดูแลลูกน้อยเพียงลำพัง การให้เด็กนั่งคาร์ซีท จึงเพิ่มความสะดวกในการดูแลมากกว่าการนั่งตักหรืออุ้มเด็กอีกด้วย
คาร์ซีท มีกี่แบบ ใช้อย่างไร
คาร์ซีท สามารถแบ่งออกได้ 3 ประเภท ได้แก่
- คาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด ซึ่งแบ่งได้ 2 รูปแบบ คือ แบบกระเช้า ซึ่งเป็นรูปแบบนั่งหันหน้าไปหลังรถ (Rearward facing baby seat) สำหรับเด็กแรกเกิดถึงอายุ 18 เดือน กับ แบบตัวใหญ่ สำหรับเด็กแรกเกิดถึงอายุ 4 ขวบ ซึ่งรูปแบบนี้จะนั่งหันหน้าเด็กได้ทั้งหน้ารถและหลังรถ (Combination Seat)
- คาร์ซีทเด็กเล็ก เหมาะสำหรับเด็กที่มีอายุ 9 เดือน - 4 ขวบ
- คาร์ซีทบูสเตอร์ จะแบ่งออกได้ 3 รูปแบบ คือ
- แบบมีที่กั้นด้านหน้า พนักพิงพร้อมเบาะรองนั่ง เหมาะสำหรับเด็ก 1 ขวบ – 12 ปี
- แบบมีพนักพิงและเบาะรองนั่ง (High Backed Booster Seat) เหมาะสำหรับเด็ก 3 ขวบ – 12 ปี
- แบบมีเฉพาะเบาะรองนั่ง เหมาะสำหรับเด็ก 5 ขวบ – 12 ปี
เลือกซื้อคาร์ซีทอย่างไร ให้ปลอดภัยและมีคุณภาพคุ้มราคา
สำหรับวิธีการเลือกซื้อคาร์ซีท นอกจากพ่อแม่ต้องคำนึงถึงอายุของลูกน้อยแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่สำคัญไม่แพ้กันอีกด้วย ได้แก่
- เลือกซื้อคาร์ซีทที่ได้รับมาตรฐานระดับสากล เช่น มาตรฐาน Federal Motor Vehicle Safety Standard 213 จากประเทศสหรัฐอเมริกา, มาตรฐานยุโรป ECE R44/04, UN standard 129 (new I-size) เป็นต้น
- ควรเลือกซื้อคาร์ซีทใหม่เพื่อความปลอดภัย เนื่องจากราคาในปัจจุบันสามารถจับต้องได้ ตั้งแต่หลักพันบาทต้นๆ ไปจนถึงหลักหมื่นบาท ซึ่งอัพเดทราคาล่าสุด (ก.พ.2566) เริ่มต้นที่ 1,800 บาท (ขึ้นอยู่กับฟังก์ชันการใช้งาน และงบประมาณของแต่ละครอบครัว)
- หากซื้อคาร์ซีทมือสอง ต้องตรวจเช็กสภาพให้ครบถ้วนว่าเคยชำรุดหรือเสียหายมาก่อนหรือไม่ รวมถึงอุปกรณ์ที่จำเป็นของคาร์ซีท มีอยู่ครบถ้วนหรือไม่ เพราะอาจเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเจ้าตัวน้อยได้
- คำนึงถึงฟังก์ชั่นและความแข็งแรงในการใช้งานเป็นหลักก่อนเลือกซื้อคาร์ซีทราคาถูก
- หากคาร์ซีทมีเข็มขัดนิรภัยหลายจุด จะเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น
- เลือกเบาะนั่งให้เหมาะสมกับน้ำหนักและส่วนสูงของเด็ก
- ก่อนซื้อควรพาลูกน้อยหรือหลานๆ ไปทดลองนั่งด้วนตนเอง เพื่อเช็กความพึงพอใจของพวกเขาว่ารุ่นไหนนั่งสบายไม่อึดอัด
- หากเด็กๆ คนไหนที่ยังไม่เคยลอง ต้องสร้างความคุ้นเคยก่อน เริ่มจากเอาเบาะให้เด็กนั่งระหว่างเล่นของเล่นในบ้าน ป้อนข้าว หรือทำกิจกรรมอื่นๆ
วิธีติดตั้งคาร์ซีททำอย่างไรถึงจะปลอดภัยสูงสุด
การติดตั้งคาร์ซีทเป็นสิ่งสำคัญที่จะเพิ่มความปลอดภัยให้กับลูกน้อยสูงสุด นอกจากเลือกคาร์ซีทให้เหมาะกับวัย น้ำหนัก ส่วนสูง หรืออายุ โดยมีวิธีติดตั้งให้ถูกวิธี ดังนี้
- หันหน้าคาร์ซีทไปทางด้านหลัง เนื่องจากกระดูกคอของเด็กทารกยังไม่แข็งแรง หากเจ้าตัวเล็กร้องไห้งอแงระหว่างการเดินทาง พ่อแม่ควรทำใจให้สบายๆ และหาของเล่นมีเสียงกุ๊งกิ๊งติดรถเพื่อหลอกล่อลูกไม่ให้แผดเสียงออกมา
- ไม่ควรติดตั้งคาร์ซีทไว้ที่เบาะหน้า เพราะอาจได้รับอันตรายจากการทำงานของถุงลมนิรภัยเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน
- คาดเข็มขัดนิรภัยให้ถูกต้อง ไม่ควรปล่อยให้สายคาดหลวม โดยเฉพาะเข็มขัดไม่หลวมจนเกินสอดนิ้วได้ 1 นิ้ว สายคาดอกต้องคาดบนอกเสมอ
- หากไม่มั่นใจในการติดตั้งคาร์ซีท พ่อแม่ควรอ่านและปฏิบัติตามคู่มือคาร์ซีทอย่างเคร่งครัด หรือหากไม่สะดวก สามารถสอบถามพนักงานขายมาช่วยติดตั้งให้ที่รถได้ แต่ต้องตรวจสอบกับคู่มืออย่างละเอียดด้วยว่าเจ้าหน้าที่ติดตั้งถูกวิธีหรือไม่
เด็กๆ สามารถใช้เข็มขัดนิรภัยได้ในกรณีใดบ้าง
เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง เด็กๆ จะไม่สามารถใช้คาร์ซีทได้ตลอดไป ดังนั้น ควรสังเกตให้ดีว่า เด็กๆ พร้อมที่จะใช้เข็มขัดนิรภัยของรถได้ตามปกติหรือไม่ โดยตรวจสอบได้เช่น
- เด็กเติบโตพอที่จะนั่งตัวตรง และหลังพิงพนักพิงได้ตรงแล้ว
- ขาและเข่าของเด็กเด็กสูงเพียงพอ จนสามารถนั่งห้อยขาบนเบาะนั่งรถได้พอดี
- เข็มขัดนิรภัยส่วนพาดบ่า ต้องพาดผ่านหน้าอก ไม่ใช่ผ่านแขนไม่ใช่ผ่านแขนหรือคอ
- เข็มขัดนิรภัยของรถส่วนล่าง ต้องรัดให้ตรงบริเวณกระดูกเชิงกราน ไม่รัดบริเวณหน้าท้อง
เตรียมบังคับใช้กฎหมาย คาร์ซีท 17 สิงหาคม 2566
หนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับคาร์ซีทในประเทศไทย โดยทางเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2565 ซึ่งสาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ คือ ประกาศผู้โดยสารทุกที่นั่งต้องรัดเข็มขัดนิรภัย (ยกเว้นรถสองแถวหรือรถที่ไม่สามารถรัดเข็มขัดนิรภัยได้) และสำหรับเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องใช้ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก (คาร์ซีท) ฝ่าฝืนปรับไม่เกิน 2,000 บาท บังคับใช้ 120 วัน นับตั้งแต่วันประกาศ แต่ในช่วงแรกที่เริ่มใช้จะยังไม่ปรับจริง ๆ แต่จะเป็นการว่ากล่าวตักเตือนก่อน
การเลือกซื้อหรือการใช้งานคาร์ซีท รวมทั้งการออกกฎหมายให้ผู้ใช้รถยนต์คาดเข็มขัดนิรภัยหรือติดตั้งคาร์ซีท ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนมีจุดประสงค์เพื่อช่วยลดความสูญเสียที่เกิดขึ้นบนท้องถนน จึงอยากให้พ่อแม่หรือผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคนตระหนักถึงความสำคัญและร่วมมือร่วมใจปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด
แม้ว่าค่าใช้จ่ายในการเลือกซื้อคาร์ซีทจะมีราคาสูง แต่หากเปรียบเทียบกับการซื้อความปลอดภัยให้กับลูกหลานที่คุณรัก จะคุ้มค่ากว่ามาเสียค่าปรับหรือเสียค่าใช้จ่ายอย่างอื่นที่ต้องจ่ายครั้งเดียวตลอดชีวิต ที่สำคัญ การซื้อคาร์ซีทย่อมอุ่นใจทุกครั้งไม่ต้องกังวลเมื่อขับขี่บนท้องถนนอีกต่อไป
ขอขอบคุณข้อมูลจาก: กรมการขนส่งทางบก, babygiftretail
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ไปกับ Autospinn
ค้นหารถมือสองทุกรุ่น ทุกแบบ ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน ดูรายละเอียด และราคารถมือสองได้ที่ ตลาดรถมือสอง One2car
ความคิดเห็น