Honda City เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ขายดิบขายดี ผลิตรถส่งลูกค้ากันแทบไม่ทัน แม้ว่าในรุ่นนี้จะเปิดตัวออกมาสักพักใหญ่แล้ว แต่กระแสความนิยมไม่ได้ลดน้อยลงเลย
วันนี้ออโต้สปินน์มีโอกาสนำ Honda City Hatchback 1.0 Turbo RS มาขับทดสอบ จึงขอใช้พื้นที่ตรงนี้เล่าสู่กันฟังครับ ว่าทำไม Honda City Turbo ถึงขายดี และจะคุ้มค่าไหมกับราคาค่าตัวในรุ่น Hatchback 1.0 Turbo RS 749,000 บาท
ซื้อรถ Honda City มือสองกับ CARSOME การันตีคุณภาพรถยนต์ ผ่านการตรวจสภาพ 175 จุด พร้อมรับประกันสูงสุด 2 ปีเต็ม ราคาโปร่งใส คุ้มค่า ซื้อไปแล้วไม่พอใจ การันตีคืนเงินเต็มจำนวนภายใน 30 วัน
ดีไซน์ภายนอก Honda City Hatchback 1.0 Turbo RS
Honda City Hatchback 1.0 Turbo RS เป็นรุ่นเครื่องยนต์เทอร์โบในตัวถังแบบ 5 ประตู มีมิติตัวถัง ความกว้าง 1,748 มม. ความสูง 1,488 มม. ความยาว 4,349 มม. ฐานล้อ 2,589 มม. ความสูงจากใต้ท้องรถ 135 มม.
โดยส่วนตัวผมเป็นคนที่ชอบรถตัวถัง 5 ประตูอยู่แล้ว เพราะมีความอเนกประสงค์ในการใช้งาน โดยคันนี้คือรุ่นท็อปสุดที่มาพร้อมกับชุดแต่ง RS รอบคัน เรียกได้ว่าแต่งหล่อมาให้แล้วจากโรงงาน อาทิ กระจังหน้าสีดำเงา Gloss Black พร้อมสัญลักษณ์ RS ,กันชนสไตล์สปอร์ต ,กระจกมองข้างสีดำ ,เสาอากาศครีบฉลามสีดำ ,ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ,กันชนท้ายทรงสปอร์ตพร้อมดิฟฟิวเซอร์หลัง ,สัญลักษณ์ RS ที่ฝากระโปรงท้าย ซึ่งชุดแต่งดังกล่าวจะมีในรุ่น RS เท่านั้น หากซื้อรุ่นย่อยอื่น ๆ จะไม่ได้แบบนี้
Honda City Hatchback 1.0 Turbo RS จะได้ไฟหน้าแบบ LED ซึ่งจะต่างจากรุ่นย่อยอื่น ๆ ที่เป็นแบบโปรเจคเตอร์ แต่ถึงกระนั้นฟังก์ชันการใช้งานก็ยังน้อยกว่า City e:HEV ที่จะได้ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และระบบปรับไฟสูงต่ำอัตโนมัติ รวมถึงกล้อง Honda LaneWatch และระบบความปลอดภัย Honda SENSING ในรุ่นเครื่องยนต์เทอร์โบจะยังไม่มีมาให้ หากคุณอยากได้ออปชั่นดังกล่าวจะต้องซื้อเป็นรุ่น e-HEV
ดีไซน์ภายใน Honda City Hatchback 1.0 Turbo RS
ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง ดีไซน์เรียบง่าย แต่สำหรับรุ่น RS จะต่างจากรุ่นย่อยอื่น ๆ โดดเด่นด้วยเบาะผ้าสลับหนัง และหนังกลับ ตกแต่งด้วยแถบสีแดงสื่อถึงความสปอร์ต เบาะนุ่มกำลังดี ช่วยให้การขับขี่นาน ๆ ไม่รู้สึกเมื่อย
พวงมาลัย 3 ก้านหุ้มหนัง เดินด้ายเย็บสีแดง มีปุ่มมัลติฟังก์ชันฝั่งซ้ายสำหรับควบคุมจอเครื่องเล่นตรงกลาง ส่วนปุ่มทางฝั่งขวาสำหรับตั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (ยังไม่ใช่แบบแปรผัน) และมี Paddle Shift หลังพวงมาลัยเพิ่มความสนุกในการขับขี่
มาตรวัดเรือนไมล์แบบเรืองแสงสีแดง สไตล์สปอร์ต สำหรับดูค่าต่าง ๆ ของตัวรถ
จอเครื่องเล่นแบบทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay พร้อม Google Maps มีระบบสั่งการด้วยเสียงผ่าน SIRI และระบบเชื่อมต่อ Honda Connect เมื่ออยู่ในตำแหน่งเกียร์ถอยกล้องจะตัดมาเป็นภาพด้านหลัง แม้ภาพจะไม่ได้คมชัดมากนัก แต่ก็มองเห็นรู้เรื่องทั้งกลางวันและกลางคืน นอกจากนี้ยังสามารถปรับมุมมองกล้องได้ 3 ระดับ
สำหรับที่นั่งผู้โดยสารตอนหลัง นั่งสบาย พื้นที่กว้างขวาง พร้อมช่องจ่ายไฟ ตัวเบาะยังสามารถพับได้หลากหลายรูปแบบ พื้นที่ใช้สอยสูงสุด 822 ลิตร รองรับการใช้งานได้ 4 โหมด ดังนี้
- Utility Mode : เบาะด้านหลังทั้ง 2 ด้านปรับพับเรียบ เพิ่มพื้นที่เก็บของด้านหลัง
- Long Mode : เบาะด้านหน้าและด้านหลังปรับพับ เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวยาว
- Tall Mode : เบาะด้านหลังพับขึ้น เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวสูง
- Refresh Mode : เบาะด้านหน้าพับเชื่อมต่อกับเบาะด้านหลัง
ถือเป็นจุดเด่นของในรุ่น 5 ประตูแฮทช์แบคเลยก็ว่าได้ เราสามารถพับเบาะนอนในรถ หรือใส่สัมภาระต่าง ๆ ได้อย่างจุใจ และทราบหรือไม่ว่าเจ้าคันนี้ เราสามารถยัดรถ จยย. เข้าไปได้ด้วย เช่นฮอนด้าเวฟ ยามาฮ่ามีโอ ฟีโน่ เป็นต้น
เครื่องยนต์เทอร์โบขนาด 1.0 ลิตร DOHC VTEC TURBO 3 สูบ 12 วาล์ว กำลังสูงสุด 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 173 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 – 4,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง (CVT) พร้อมระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยแบบ 7 สปีด (7-Speed Paddle Shift) อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงใน Eco Sticker 23.3 กิโลเมตร/ลิตร รองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E20
ทดสอบการขับขี่ Honda City Hatchback 1.0 Turbo RS
ในเรื่องของอัตราเร่ง แม้เครื่องยนต์จะมีขนาดเพียงแค่ 1.0 ลิตร แต่มีเทอร์โบพ่วงมาให้ด้วย จึงทำให้มีแรงม้าและแรงบิดที่เหลือเฟือ มากพอที่จะแบกตัวรถและผู้โดยสารให้เคลื่อนที่ไปได้แบบสบาย ช่วงออกตัวเพียงแค่ยกเท้าออกจากเบรก ตัวรถก็พร้อมเคลื่อนที่แบบไร้แรงหน่วง พอเติมคันเร่งเข้าไปอีกนิด สัมผัสได้ถึงความแรงแม้จะอยู่ในโหมด ECON ก็ตาม สำหรับการขับขี่ในโหมดปกติ การตอบสนองของคันเร่งจะดีขึ้นมาอีกนิด เป็นรถที่ให้ความรู้สึกคันเร่งติดเท้าเพราะเทอร์โบทำงานในรอบที่ค่อนข้างต่ำ จึงทำให้ทุกการเร่งแซงทำได้แบบไร้กังวล และด้วยความที่ตัวรถมีขนาดไม่ใหญ่เทอะทะ จึงทำให้การขับขี่ในเมืองคล่องตัว จอดรถง่าย ขับซอกแซกเข้าออกซอกซอยได้ง่าย มุดซ้ายมุดขวาในสภาพการจราจรหนาแน่นได้ดี และการขับขี่จะสนุกยิ่งขึ้นถ้าใช้ Paddle Shift ที่อยู่หลังพวงมาลัย ซึ่งการใช้งานในเมืองที่รถติดเฉลี่ยแล้วจะกินน้ำมันอยู่ที่ 15-17 กม./ล.
หลังจากที่ทดสอบขับขี่ในเมืองได้ 2 วัน เลยมีความคิดว่าถ้าเราขับทางไกลมันจะประหยัดน้ำมันได้แค่ไหนกันเชียว วันรุ่งขึ้นไม่รอช้า ขับมุ่งหน้าไปจังหวัดนครนายกทันที ระหว่างทางรถค่อนข้างแออัด ใช้ความเร็วตามสภาพการจราจร กว่าจะไปเจอช่วงถนนโล่งก็แถวคลอง 16 เข้าเขตนครนายกพอดี โดยเป้าหมายการเดินทางวันนี้อยู่ที่น้ำตกคลองมะเดื่อ
หากใครเคยไปที่นี่จะทราบดีว่าทางเข้าจะเป็นทางลูกรัง ดินแดง ขรุขระตลอดทั้งเส้นทาง ด้วยความสูงใต้ท้องรถ 135 มม. แม้จะไม่สูงมาก แต่เจ้าคันนี้ก็ขับเข้าไปได้แต่แค่ต้องระวังหินก้อนใหญ่ ๆ หน่อย พอไปถึงก็จอดรถแวะถ่ายรูปกันพักใหญ่ก่อนที่จะเดินทางกลับในเส้นทางเดิม
รวมระยะทางที่ขับไปในทริปแรกนี้ 312.5 กม. ที่หน้าจอแสดงค่าอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง 19.2 กม./ล. ตัวเลขนี้ใครเห็นก็ว่าประหยัดแล้วใช่มั้ยล่ะครับ แต่เดี๋ยวก่อน !!! ยังไม่จบแค่นี้
เส้นทางที่ขับทดสอบทริปแรกยังไม่หนำใจ อยากไปเส้นทางที่ไกลกว่านี้ วันรุ่งขึ้นตื่นแต่เช้ามืด ขับกันแบบยาว ๆ มุ่งหน้าจากจังหวัดกรุงเทพฯ - จังหวัดอุบลราชธานี ช่วงแรกของการเดินทางรถติดนิดหน่อย จะไปโล่งอีกทีก็แถว ๆ จังหวัดนครราชสีมา
ช่วงที่เป็นทางโล่งผมใช้ Cruise Control ล็อกความเร็วไว้ที่ 110 กม./ชม. ซึ่งก็ช่วยลดอาการเมื่อยล้าได้ดีเลยทีเดียวครับ แต่ใช้งานได้จริงก็ตอนที่ถนนเป็นทางตรงและโล่งเท่านั้น
สำหรับการขับเข้าโค้งที่ความเร็ว 100-110 กม./ชม. ก็ทำได้มั่นใจครับ ตัวรถไม่ร่อน เข้าโค้งแรง ๆ ท้ายไม่ออก แต่ยังห่างชั้นกับ City e:HEV พอสมควร ในเรื่องของการเก็บเสียงนั้นยังไม่ดีเท่าที่ควร แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรครับ เพราะเอาไปแดมป์เก็บเสียงเพิ่มอีกนิด น่าจะดีขึ้นเยอะเลย
ในเรื่องของอัตราเร่งนั้น เหยียบปุ๊บ รอบกวาดปั๊บ แรงตามเท้า สามารถไต่ระดับความเร็วไปได้เรื่อย ๆ แต่ความเร็วส่วนใหญ่ที่ผมใช้ในครั้งนี้จะอยู่ที่ประมาณ 100-120 กม./ชม. ใช้รอบเครื่องประมาณ 1,800-2,000 รอบต่อนาที ซึ่งเป็นความเร็วที่เหมาะสมและเครื่องยนต์ไม่เค้นกำลังมากเกินไป ซึ่งช่วยให้รถประหยัดน้ำมันได้อีกด้วย
ถึงอุบลราชธานีแวะค้าง 1 คืน ก่อนมุ่งหน้าขับกลับกรุงเทพฯ แบบชิล ๆ พอถึงกรุงเทพมีธุระด่วนต้องไปที่สมุทรสาครต่อ เรียกได้ว่าเป็นการขับทดสอบกันแบบยาว ๆ รวมระยะทางทั้งหมด 2,098 กม. ที่หน้าจอแสดงค่าอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง 21.3 กม./ล. (น้ำมันที่ใช้ในการทดสอบ แก็สโซฮอล E20) ถือว่าเจ้าคันนี้ประหยัดน้ำมันใช้ได้เลยล่ะครับ หากเดินทางไกลเราขับไม่ลากรอบ จะประหยัดน้ำมันพอ ๆ กับ City e:HEV เลย
ทีนี้เรามาไขข้อสงสัยกันว่าทำไม Honda City Turbo ทั้งตัวถัง Sedan และ Hatchback ถึงขายดี
- เพราะใช้เครื่องยนต์ 1.0 Turbo เครื่องตัวนี้แม้ซีซีน้อย แต่มีเทอร์โบพ่วงมาให้ด้วย ทำให้ขับสนุก เร่งแซงทันใจ ไม่ต้องรอรอบ สามารถเอาไปต่อยอดความแรงได้ง่าย จูนกล่องนิด เปลี่ยนปลายท่ออีกหน่อย แรงม้าเพิ่มอีกหลายตัว ถูกใจวัยรุ่นขาซิ่งเลยทีเดียว
- เพราะ Jazz ในไทยเลิกผลิต หากคุณชอบตัวถังแบบ 5 ประตู ของฮอนด้า ในราคา 5-7 แสน คุณจะเหลือเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น
- เพราะประหยัดน้ำมัน จริง ๆ แล้วมันก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานด้วย หากคุณเป็นขาซิ่งตีนผี ก็อาจไม่ได้ประหยัดอะไรมากมาย แต่ถ้าคุณเดินทางไกล และเท้าเบาหน่อย คุณก็จะได้ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ประหยัดแบบเหลือเชื่อ
- รุ่นพิมพ์นิยม ของแต่งเยอะ วัยรุ่นชอบ ต้องยอมรับว่าประเทศไทย มีสาวกฮอนด้าอยู่เยอะมาก ยิ่งเป็นรถในกระแส มีคนสนใจเยอะ เลยทำให้มีของแต่งที่เยอะ แต่งได้หลายแนว ทั้งแนวน่ารัก แนวซิ่ง
- ราคาเข้าถึงได้ง่าย ในรุ่นเริ่มต้นราคาเพียง 5.99 แสนบาท ดาวน์น้อย ผ่อนสบาย
- ซื้อง่าย-ขายคล่อง แม้ว่าราคารถป้ายแดงของแต่ละค่ายจะไล่เลี่ยกัน แต่ถ้าถึงเวลาที่ต้องขายเป็นมือสอง บอกเลยว่ารุ่นนี้ราคาแข็งกว่าคู่แข่งแน่นอน แถมยังขายได้ง่ายอีกด้วย
สรุปโดยรวม จากการขับทดสอบ Honda City Hatchback 1.0 Turbo RS อยู่หลายวัน ก็ต้องถือว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่คุ้มค่าในแง่การใช้งาน ตัวรถขนาดไม่ใหญ่มากแต่มีพื้นที่ใช้สอยภายในที่กว้าง เบาะสามารถปรับได้หลายรูปแบบ ตอบโจทย์การใช้งานได้ทุกอย่าง ทั้งบรรทุกคน บรรทุกของ ขับในเมืองคล่องตัว วิ่งทางไกลได้ ขับขึ้นเขา-ลงเขาได้สบาย มี Paddle Shift หลังพวงมาลัยเป็นตัวช่วยในการขับลงเขา อัตราเร่งดี แต่จุดที่ยังต้องปรับปรุงก็มีเช่น ยังเก็บเสียงไม่ดีเท่าที่ควร จะได้ยินเสียงดังจากพื้นถนนเข้าตัวรถตลอดเวลา แต่ก็มีวิธีแก้คือเอาไปแดมป์เก็บเสียง
ส่วนออปชั่นต่าง ๆ ที่ให้มาถือว่าครอบคลุมการใช้งานระดับนึง แต่ผมว่ายังให้ออปชั่นน้อยไป เช่น ไม่มีกล้องรอบคันมาให้ ในขณะที่คู่แข่งให้มาแล้ว รวมถึงระบบความปลอดภัย Honda SENSING ในรุ่นเครื่องยนต์เทอร์โบยังไม่มีมาให้
ราคา Honda City Hatchback 1.0 Turbo
- รุ่น S+ ราคา 599,000 บาท
- รุ่น SV ราคา 675,000 บาท
- รุ่น RS ราคา 749,000 บาท
Honda City Hatchback 1.0 Turbo มีให้เลือก 6 สี
- สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก)
- สีขาวแพลทินัม (มุก)
- สีดำคริสตัล (มุก)
- สีเทาโซนิค (มุก)
- ขาวทาฟเฟต้า
- สีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก)
หมายเหตุ สีขาวแพลทินัม (มุก) เพิ่มเงิน 10,000 บาท, สีดำคริสตัล (มุก) และสีเทาโซนิค (มุก) เพิ่มเงิน 6,000 บาท / สีแดงอิกไนต์ เฉพาะรุ่น RS, สีขาวแพลทินัม เฉพาะรุ่น RS, SV, สีขาวทาฟเฟต้า เฉพาะรุ่น S+
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.honda.co.th/cityhatchback
ซื้อรถ Honda มือสอง มั่นใจ ได้มาตรฐาน ต้อง CARSOME
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ไปกับ Autospinn
ค้นหารถมือสองทุกรุ่น ทุกแบบ ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน ดูรายละเอียด และราคารถมือสองได้ที่ ตลาดรถมือสอง One2car
ความคิดเห็น