Lamborghini LB744 สุดยอดเทคโนโลยี ที่เหนือกว่า Share this

Lamborghini LB744 สุดยอดเทคโนโลยี ที่เหนือกว่า

วรัญญู ยอดพรหม
โพสต์เมื่อ 23 March 2566

รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด เครื่องยนต์ V12 สมรรถนะสูงรุ่นแรกจากลัมโบร์กินี มอบสุดยอดแห่งประสบการณ์การขับขี่ที่แตกต่างถึง 13 รูปแบบ เปิดตัวระบบกระจายแรงบิดไฟฟ้าและระบบ LDVI 2.0 (ระบบคาดการณ์การขับขี่ล่วงหน้า)


Lamborghini LB744

 

 ลัมโบร์กินี (Lamborghini) เผยข้อมูลเชิงลึกด้านไดนามิกการขับขี่ก่อนการเปิดตัวรอบปฐมฤกษ์ของรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตระบบไฮบริด ซึ่งเป็นรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด เครื่องยนต์ V12 สมรรถนะสูงรุ่นแรก (High Performance Electrified Vehicle: HPEV) โดยนวัตกรรมยานยนต์ซึ่งใช้ชื่อรหัส LB744 ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์สุดเร้าใจและการควบคุมที่สมบูรณ์แบบในทุกสภาพถนนและโหมดการขับขี่ สร้างความรู้สึกที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับรถยนต์ พร้อมยกระดับความมั่นใจที่ไม่มีนักขับคนไหนเคยสัมผัสมาก่อน

นวัตกรรมที่ถูกนำมาติดตั้งใน LB744 ล้วนเป็นสุดยอดเทคโนโลยีของแต่ละด้าน ซึ่งรวมถึงสถาปัตยกรรมโครงสร้างและดุลยภาพยานยนต์ ผ่านแนวทางที่ล้ำหน้าในการใช้โครงแชสซีและการออกแบบอากาศพลศาสตร์ขั้นสูง ไปจนถึงระบบส่งกำลังแบบไฮบริดรุ่นใหม่ที่ช่วยเสริมกำลังให้มอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จนสามารถสร้างโหมดการขับขี่ใหม่ ๆ มากมาย ซึ่งรวมถึงโหมดการขับเคลื่อนสี่ล้อที่ปล่อยไอเสียเป็นศูนย์ (Zero-emission 4WD) เพื่อมอบสุดยอดประสบการณ์การเดินทางที่แตกต่างกันได้มากถึง 13 รูปแบบ 

LB744 ใช้เลย์เอาต์การวางตำแหน่งเครื่องยนต์ที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยติดตั้งเครื่องยนต์ V12 แบบไร้ระบบอัดอากาศ ขนาด 6.5 ลิตร บริเวณกลางตัวรถและมีมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ซึ่งมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวแรก จะอยู่ที่เพลาขับคู่หน้า และอีก 1 ตัว จะถูกติดตั้งอยู่กับชุดเกียร์ดับเบิลคลัชต์ 8 สปีดรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ชุดเกียร์ถูกติดตั้งอยู่หลังเครื่องยนต์ โดยเป็นการติดตั้งแนวขวางอยู่ด้านหลังเครื่องยนต์สันดาป V12 เป็นครั้งแรก ส่วนพื้นที่ของอุโมงค์เกียร์ที่มีมาตั้งแต่รุ่น Countach นั้นถูกแทนที่ด้วยแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนพลังสูงเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า 

สถาปัตยกรรมโครงสร้างรูปแบบใหม่ทำให้สามารถกระจายน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยม (44% ที่ส่วนหน้าและ 56% ที่ส่วนท้าย) ทำให้มีน้ำหนักเข้าใกล้จุดศูนย์ถ่วงมากที่สุดและยังลดความยาวของฐานล้ออีกด้วย ส่งผลให้การกระจายน้ำหนักมีความสมดุลและมีความสมบูรณ์แบบ ทำให้ LB744 มีความคล่องตัวสูงและขับขี่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพทั้งบนพื้นถนนทั่วไปและในสนามแข่งอันคดเคี้ยว ทั้งยังเสริมคุณสมบัติการกระจายน้ำหนักด้วยการเพิ่มระดับความแข็งของเหล็กกันโคลง (+11% ด้านหน้าและ +50% ด้านท้าย) และลดอัตราทดเฟืองพวงมาลัย   (-10% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Aventador Ultimae) ซึ่งเป็นวิธีที่ถูกนำมาใช้งานจนประสบความสำเร็จมาแล้วในรุ่น Huracán STO นอกจากนี้ LB744 ยังยกระดับขีดความสามารถด้วยระบบบังคับเลี้ยว ซึ่งช่วยเพิ่มสัมผัสการควบคุมที่ฉับไว ตอบสนองเร็วทันใจ และเปี่ยมด้วยความคล่องตัวสูงโดยยังรู้สึกได้ถึงความเสถียรและแม่นยำในทุกจังหวะการขับขี่ รวมถึงจากการใช้ยาง Bridgestone Potenza Sport ที่พัฒนาขึ้นเพื่อรถยนต์รุ่นนี้โดยเฉพาะที่มอบพื้นที่ด้านหน้าที่กว้างขึ้น (+4% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Aventador Ultimae)


ด้วยการติดตั้งใช้งานเพลาไฟฟ้า (e-axle) กับ LB744 ทำให้ลัมโบร์กินีสามารถนำระบบกระจายแรงบิดไฟฟ้ามาใช้งานเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์และทำงานร่วมกับระบบ Lamborghini Dinamica Veicolo 2.0 อย่างเป็นทางการครั้งแรก   

ระบบกระจายแรงบิดไฟฟ้าช่วยเพิ่มความฉับไวให้กับตัวรถเมื่อต้องเข้าโค้งที่แคบ รวมถึงเพิ่มเสถียรภาพเมื่อต้องเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงโดยช่วยกระจายแรงบิดในแต่ละล้อได้อย่างดีเยี่ยมและยังทำงานสอดคล้องกับระบบบังคับเลี้ยวสี่ล้อ นอกจากนี้ ระบบกระจายแรงบิดไฟฟ้ารุ่นใหม่ยังแตกต่างจากแบบเดิม โดยระบบจะเข้ามาช่วยเบรกเมื่อมีเหตุจำเป็นเท่านั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดและเสริมการขับขี่ที่เป็นธรรมชาติตลอดจนสมรรถนะที่สูงขึ้น โดยเมื่อทำการเบรก เพลาไฟฟ้า (e-axle) และมอเตอร์ไฟฟ้าตัวท้ายจะช่วยชะลอความเร็ว ลดแรงกดบนเบรกไปพร้อม ๆ กับการชาร์จแบตเตอรี่ในเวลาเดียวกัน 

โครงแชสซีที่เลือกใช้ยังช่วยยกระดับพลศาสตร์ของตัวรถได้อย่างมาก โดย LB744 เป็นรถยนต์รุ่นแรกของ       ลัมโบร์กินีที่ใช้สถาปัตยกรรมตัวถังแบบ Monocoque ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากอุตสาหกรรมการบินโดยผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด (เบากว่าโครงแชสซีรุ่น Aventador ถึง 10%) ผสานกับระบบขับเคลื่อนพลังงานประสิทธิภาพสูงเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ทนทานต่อแรงบิด (+25% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Aventador) ทำให้ LB744 มีความเสถียรเป็นเลิศ พร้อมช่วยเสริมความคล่องแคล่วและการตอบสนองที่ฉับไวให้กับตัวรถในภาพรวม

การออกแบบอากาศพลศาสตร์แบบ active มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการยกระดับประสิทธิภาพการขับขี่และแรงกดสู่มาตรฐานใหม่ โดยเพิ่มขึ้น 61% และ 66% ตามลำดับภายใต้สถานการณ์แรงโหลดสูงเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Aventador Ultimae ซึ่งเกิดจากการติดตั้งสปลิตเตอร์หน้าและการออกแบบส่วนหลังคารถที่ช่วยให้อากาศไหลเวียนไปยังสปอยเลอร์หลังประสิทธิภาพสูง ซึ่งการออกแบบอากาศพลศาสตร์นี้ทำงานสอดคล้องกับระบบกันสะเทือนปีกนกแบบ Semi-active ซึ่งควบคุมโดยระบบ Lamborghini Vertical Control ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับรุ่น LB744 โดยเฉพาะ โดยทำหน้าที่จัดสรรการแลกเปลี่ยนแรงกระทำแนวดิ่งด้วยระบบไฟฟ้า อาทิ เมื่อเกิดการถ่ายแรงแบบฉับพลันขณะวิ่งบนลู่แข่ง โดยจะทำการปรับระบบกันสะเทือนและการเคลื่อนไหวของ   สปอยเลอร์หลังให้เหมาะสมแบบเรียลไทม์

ระบบเบรกและการระบายความร้อนเบรกได้รับการออกแบบใหม่เพื่อตอบโจทย์สถานการณ์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด โดยคาลิเปอร์เบรกหน้าซึ่งใช้ลูกสูบเบรกถึง 10 ตัวแทนที่จะเป็น 6 ตัว ถูกติตตั้งร่วมกับจานเบรกขนาด 410x38 มม. (แทนที่ขนาด 400x38 มม. ของรุ่นก่อนอย่าง Aventador Ultimae) ส่วนคาลิเปอร์เบรกหลังใช้ลูกสูบเบรก 4 ตัวและจานเบรกขนาด 390x32 มม. (แทนที่ขนาด 380x38 มม. ของรุ่นก่อน) ซึ่งการออกแบบอากาศพลศาสตร์ยังช่วยเสริมการทำงานของระบบเบรกด้วย โดยแผ่นกันสะเทือนคู่หน้าและตะแกรงด้านในซุ้มล้อได้ถูกออกแบบใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่เพียงสำหรับการระบายความร้อนเบรกหน้าโดยที่แผ่นนี้จะช่วยพาอากาศจากดิฟฟิวเซอร์หน้าไปที่เบรกเท่านั้น แต่ยังมีรูปทรงที่ช่วยลดแรงต้านภายในล้อได้เช่นกัน จึงช่วยจำกัดระดับการบีบอัดและเพิ่มแรงโหลดในส่วนหน้า นอกจากนี้ ท่อดักอากาศ (NACA) คู่บริเวณด้านหน้าของล้อหลังทั้งสองข้าง ยังคอยเก็บลมจากใต้ท้องรถและส่งตรงไปยังท่อระบายความร้อนของเบรกหลังให้อีกด้วย

สิ่งที่เปิดตัวพร้อมกับระบบไฮบริดก็คือ 3 โหมดการขับขี่รูปแบบใหม่ที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ ได้แก่ Recharge, Hybrid และ Performance เพื่อใช้ร่วมกับโหมดเดิมอย่าง Città (City), Strada, Sport และ Corsa ซึ่งสามารถเลือกปรับได้ด้วยการใช้โรเตอร์ 2 ตัวบนพวงมาลัยที่ออกแบบใหม่ ซึ่งเมื่อรวมทั้งหมดจะสามารถตั้งค่าไดนามิกได้


ถึง 13 รูปแบบ เพื่อให้ LB744 แสดงบุคลิกและศักยภาพที่แตกต่างกันไปตามสถานการณ์และสภาพพื้นถนน หรือแม้แต่บนสนามแข่งขันที่รถยนต์กำลังพุ่งทะยานอยู่  

ยกตัวอย่างเช่น โหมด Città ถูกออกแบบมาเพื่อการขับขี่ประจำวันในย่านกลางเมืองด้วยอัตราการปล่อยไอเสียเป็นศูนย์ ซึ่งเมื่อแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนที่คอยให้พลังงานแก่มอเตอร์ไฟฟ้าจำเป็นต้องได้รับการชาร์จไฟแต่พื้นที่แถบนั้นไม่มีสถานีชาร์จ เครื่องยนต์ V12 จะเข้ามาทำงานเพื่อชาร์จไฟจนเต็ม (เข้าสู่โหมด Recharge) ในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งทำให้รถยนต์รุ่นนี้สามารถแล่นเข้าไปในพื้นที่ที่มีกฎระเบียบควบคุมการปล่อยก๊าซมลพิษได้ด้วยการใช้โหมดไฟฟ้า โดยที่ระบบกันสะเทือน ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และชุดเกียร์ จะมอบความสบายสูงสุดในการขับขี่ ซึ่งแรงต้านอากาศที่น้อยลงยังทำให้โหมด Città มีประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงที่ดีที่สุดโดยจำกัดกำลังเครื่องสูงสุดที่ 180 แรงม้า

โหมด Strada เหมาะที่สุดสำหรับการขับขี่ประจำวันที่เน้นสัมผัสแบบไดนามิกและการวิ่งทางไกล ซึ่งผสานการขับขี่แบบสบาย ๆ เข้ากับสัมผัสแนวสปอร์ตด้วยกำลังเครื่องสูงสุดที่ 886 CV โดยเครื่องยนต์ V12 จะทำงานตลอดเวลาเพื่อทำการชาร์จไฟแบตเตอรี่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะไปช่วยเสริมการขับขี่ในโหมด Recharge ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ส่วนเพลาไฟฟ้าด้านหน้า (e-axle) ด้านหน้ารองรับระบบกระจายแรงบิดและการทำงานของระบบอากาศพลศาสตร์แบบ active เพื่อมอบเสถียรภาพสูงสุดเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูง เช่น บนทางหลวง 

เมื่อเลือกโหมด Sport จะทำให้ LB744 เปลี่ยนสมรรถนะไปอย่างสิ้นเชิง โดยรถจะถูกปรับค่าเพื่อสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจให้คุณโลดแล่นไปอย่างสนุกสนาน พร้อมกำหนดรูปแบบการตอบสนองในแต่ละโหมดการขับขี่ 3 แบบที่ทำงานร่วมกันคือ Recharge, Hybrid และ Performance โดยเครื่องยนต์สันดาปซึ่งควบคุมโดยระบบไฮบริดจะทำงานกับทั้ง 3 สถานการณ์การขับขี่และมอบกำลังเครื่องสูงสุดที่ 907 CV พร้อมเสียงคำรามอันกึกก้องของเครื่องยนต์ V12 อันน่าหลงใหล ส่วนชุดเกียร์จะตอบสนองการทำงานในระดับสูงสุด ในขณะที่ระบบกันสะเทือนและระบบอากาศพลศาสตร์จะช่วยยกระดับความคล่องตัวที่ฉับไว ให้คุณเข้าโค้งได้อย่างสนุกเร้าใจมากขึ้น

 

หากต้องการสุดยอดแห่งประสบการณ์ไดนามิกและพลังที่เต็มเปี่ยม ทั้งในแง่ประสิทธิภาพการขับขี่และพลังเสียง ต้องเลือกโหมด Corsa ที่ออกแบบมาเพื่อเน้นย้ำถึงศักยภาพด้านสุดยอดไดนามิกบนสนามแข่งขันของ LB744 โดยในโหมด Performance ระบบส่งกำลังจะแสดงพลังสูงสุดด้วยกำลังเครื่องถึง 1,015 แรงม้า และการควบคุมระบบไฮบริดจะถูกปรับให้รีดศักยภาพของเพลาไฟฟ้า (e-axle) ออกมาทั้งหมด ทั้งในด้านเวกเตอร์แรงบิดและการขับเคลื่อนในทุกล้อ เพื่อสร้างประสบการณ์ขับขี่ระดับ Ultra-sport ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้  โดยในโหมด Corsa Recharge นักขับสามารถเน้นการชาร์จไฟแบตเตอรี่ให้มากที่สุด สำหรับนักขับที่เชี่ยวชาญก็สามารถเลือกปิด ESC เพื่อสัมผัสประสบการณ์แห่งพลังได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องมีระบบช่วยขับและเร้าใจได้ตั้งแต่ออกสตาร์ทด้วยกำลังเครื่องสูงสุดผ่านฟังก์ชั่น “Launch Control” ซึ่งเปิดทำงานได้ด้วยการกดค้างปุ่มตรงกลางโรเตอร์ตัวซ้าย
 


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ