อาจจะเป็นเรื่องที่หลายท่านคิดไม่ตกระหว่างรถไฟฟ้าและรถน้ำมัน ว่าควรจะเลือกแบบไหนดี และในวันนี้น้องใหม่ที่พึ่งเปิดตัวหมาดๆทั้งสองรุ่นระหว่าง Honda City e:HEV Minorchange และ BYD Dolphin ใครจะน่าสนใจกว่ากัน
Honda City e:HEV Minorchange Vs BYD Dolphin
เชื่อได้ว่าหลายท่านอาจจะนำเปรียบเทียบกันก็เป็นได้ เพราะเอาเข้าจริงแม้ตัวรถอาจจะถูกมองว่าคนละ Segment ก็ตามแต่ด้วยขนาดของทั้งสองรุ่นที่ไม่ต่างกันมากเป็นรถในกลุ่มใกล้เคียงกันด้วยขนาดตัวรถ รวมไปถึงราคาค่าตัวก็ใกล้กัน คงต้องมาดูกันว่าใครจะมีความคุ้มค่ามากกว่ากัน
ภายนอก
มิติตัวถัง BYD Dolphin
ยาว 4,290 มิลลิเมตร
กว้าง 1,770 มิลลิเมตร
สูง 1,570 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ wheelbase 2,700 มิลลิเมตร
ระยะต่ำสุดถึงพื้น 130 มิลลิเมตร
มิติตัวถัง Honda City
ความยาว 4,589 มิลลิเมตร
ความกว้าง 1,748 มิลลิเมตร
ความสูง 1,480 มิลลิเมตร
ความยาวฐานล้อ 2,589 มิลลิเมตร
ระยะตำ่สุดใต้ท้องรถ 147 มิลลิเมตร
ความจุถังนำ้มัน 40 ลิตร
มิติตัวรถจะเห็นได้ว่า City มีขนาดที่ใหญ่กว่าเล็กน้อยในทุกมิติ ซึ่งทำให้พื้นที่ใช้สอยในห้องโดยสารย่อมมีมากกว่าแต่รูปแบบของตัวรถในฝั่งของ Dolphin รถทรง hatchback ที่มีพื้นที่ด้านท้ายมากกว่าจึงทำให้เมื่อเทียบกันแล้วก็ไม่ได้แตกต่างกันมากมาย แต่จุดที่น่าสนใจคือ ความยาวฐานล้อที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด Dolphin ซึ่งยาวกว่ามากทำให้การทรงตัวของรถนั้นย่อมแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ในเรื่องรูปทรงของตัวรถนั้นถ้าถูกใจวัยรุ่นก็คงต้องยกให้ City มีความซิ่งมากกว่านี้ยังไม่รวมถึงของแต่งที่มีอยู่อย่างหลากหลายในตลาด ส่วน Dolphin เน้นความน่ารักด้วยการออกแบบซึ่งถ้าใครชอบคือรักเลยแต่ถ้าไม่ชอบคือเกลียดเลยก็ว่าได้ อันนี้ขึ้นอยู่กับความชอบแต่ละบุคคล
ภายใน
BYD Dolphin
การออกแบบเน้นสีทูโทน เส้นสายในตัวรถโค้งมนเข้ากับตัวรถพร้อมการตกแต่งให้เข้ากับ ชื่อโลมา มือจับประตูออกแบบคล้ายครีบของโลมา พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบ 3 ก้าน ทรง D Shape มาตรวัดตรงกลาง Full Digital ขนาด 5.0 นิ้ว จออินโฟเทนเมนต์ระบบสัมผัส Touchscreen ขนาด 12.8 นิ้ว สามารถหมุนแนวตั้ง – แนวนอน ด้วยระบบไฟฟ้า Intelligent Rotating หลังคา Panoramic เบาะนั่งเป็นแบบสปอร์ตทรง Bucket Seat ตัวท็อปเบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทางพร้อมแอร์เป่า
Honda City
การออกแบบแนวสปอร์ตโทนสีดำเป็นหลัก เน้นเรียบง่ายใช้งานสะดวกปุ่มต่างจัดวางได้ชัดเจน โดดเด่นกับหน้าจอ กลางระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัส ขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมช่องปรับอากาศตอนหลัง ช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง ด้านหลังแบบ Type-C 2 ตำแหน่ง ลำโพง 8 ตำแหน่ง
ภายในต้องยอมรับว่าความทันสมัยคงต้องมองที่รถแดนมังกรมากกว่า Dolphin ก็เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่เต็มไปด้วยความทันสมัยและสิ่งอำนวยความสะดวกแบบเพียบพร้อม หน้าจอความบันเทิงขนาดใหญ่แถมหมุนได้อีกเบาะนั่งทรงสปอร์ตไฟฟ้าคู่หน้าที่มาพร่้อมแอร์ที่ตัวเบาะ หลังคาเป็นแบบ Panoramic ของท่วมท้น ฝั่ง City ให้มาแบบเพียงพอและพอเพียงในการใช้งานเท่านั้น ของที่ให้นั้นเหมือนจะมาครบทุกอย่างแต่ก็ขาดอีกหลายอย่าง ไม่ได้หรูหราเน้นใช้งานมองหาออฟชั่นที่เด่นก็คงจะมีแต่ Honda LaneWatch ที่ใครๆก็ไม่มี (เพราะเขามีกล้อง360กันหมดแล้ว) ดังนั้นภายในคงไม่ต้องพูดเยอะ
เครื่องยนต์
BYD Dolphin
ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchonous Motor พละกำลังสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ BYD Blade Battery (LFP) ขนาด 60.5 kWh ขับเคลื่อนล้อหน้า Front-Wheel Drive
ตัวเลขเคลมจากโรงงาน
- อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 7.0 วินาที
- Top Speed ความเร็วสูงสุด 160 km/h
- วิ่งระยะทางสูงสุด 490 km. (มาตรฐาน NEDC)
หัวชาร์จแบบ Type 2 / CCS Combo พร้อมระบบจ่ายไฟฟ้าจากตัวรถ VTOL Mobile Power Supply Function 3.3 kW
รองรับการการชาร์จไฟฟ้า
- กระแสสลับ AC รองรับสูงสุด 6.6 kW ใช้เวลา 0-100% ภายใน 9 ชั่วโมง
- กระแสตรง DC Fast Charging รองรับสูงสุด 80 kW จาก 30-80% ภายใน 30 นาที
Honda City
เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร 1,498 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 73.0 x 89.5 มิลลิเมตร กำลังอัด 13.5 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดมัลติพอยท์ PGM-FI กำลังสูงสุด 98 แรงม้า (PS) ที่ 5,600 – 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 127 นิวตันเมตร ที่ 4,500 – 5,000รอบ/นาที รองรับนำ้มันเชื้อเพลิงสูงสุด Gasohol E20
ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 109 แรงม้า (PS) ที่ 3,500 – 8,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 253 นิวตันเมตร ที่ 0 – 3,000 รอบ/นาที พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 1.0 kWh แบบ 4 โมดูล 48 เซลล์ ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยระบบส่งกำลังแบบ E-CVT
ตัวเลขความแรงด้านพละกำลังต้องยกให้รถไฟฟ้าแน่นอน Dolphin สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 7.0 วินาที กดเป็นมาตลอดแบบไม่ต้องรอรอบแต่ความเร็วหยุดที่ 160 km/h หนึ่งการชาร์จวิ่งได้จริงประมาณ 400-420 km. สำหรับฝั่ง City e:HEV มีเครื่องผสมกับมอเตอร์แม้ว่าแรงม้าจะดูน้อยนิดแต่แรงบิดก็ไม่ธรรมดา การขับขี่ก็ไม่ได้แย่ช่วงออกตัวอาจจะแพ้แต่ความเร็วปลายมากกว่า 160km. แน่นอนพร้อมน้ำมันหนึ่งถังสามารถวิ่งได้ประมาณ 500-600km ดังนั้นถ้าหารเฉลี่ยค่าน้ำมันกับค่าไฟแล้วต่างกันเล็กน้อย
แต่สิ่งสำคัญสำหรับรถไฟฟ้าอาจจะต้องวางแผนในการใช้ชีวิตมากกว่าต้องยอมรับว่าปัจจุบันคนใช้รถไฟฟ้ากันมากขึ้นจุดชาร์จไฟอาจจะโตไม่ทันการวางแผนจึงสำคัญในการเดินทางแม้ว่าจะสามารถชาร์จได้ไวแต่ชีวิตจริง 30นาที ก็ถือว่าเยอะถ้าเทียบกับการเติมน้ำมัน
การขับขี่อย่างที่เราจะสังเกตเห็นว่าระยะฐานล้อของ Dolphin มีความยาวมากนั้นเป็นจุดสำคัญอีกประการเพราะทำให้ Dolphin มีการเกาะถนนที่ดีเรียกว่าดีกว่า City ชัดเจนมากทั้งในความเร็วต่ำและสูง การเก็บเสียงสำหรับรถไฟฟ้าสำคัญมากเพราะตัวรถเงียบเป็นทุนเดิมทำให้เสียงที่เข้าห้องโดยสารนั้นชัดมากถ้าหากรถเก็บเสียงไม่ดีซึ่ง Dolphin เก็บเสียงได้ดีมากและถ้าเทียบกับ City ก็ดีกว่า
ในด้านระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือการขับขี่ต่างๆนาๆนั้นไม่ได้แตกต่างกันมากทำงานได้ดีพอๆกัน
สรุป
สำหรับใครถ้ากำลังมองหารถขนาดเล็กในราคาไม่เกิน1ล้าน จะเอารถไฟฟ้าหรือน้ำมันดีคำตอบอยู่ที่ตัวเราว่าต้องการใช้งานรถแบบไหน ถ้าคุณอยู่คอนโดแต่อยากใช้รถไฟฟ้าคุณต้องบอกตัวเองว่าพร้อมไหมกับการที่ต้องนำรถไฟชาร์จไฟข้างนอกตอนดึกๆหรือวันหยุด(ถ้าคอนโดไม่มีที่ชาร์จ) คุณต้องออกต่างจังหวัดบ่อยแค่ไหนถ้าบ่อยคงจะไม่เหมาะ แต่ถ้าคุณอยู่บ้านเดียวหรือมีที่ชาร์จแน่นอนวิ่งแต่ในเมืองเป็นหลัก รถไฟฟ้าคือคำตอบ
City e:HEV จุดเด่นคือความเป็น Honda ที่ใครๆก็ไว้ใจ ตัวรถมีหน้าตาที่คนส่วนใหญ่ถูกใจเสมอความแรงอาจจะไม่มากแต่การประหยัดก็ถือเป็นจุดแข็ง วิ่งต่างจังหวัดสบายๆใช้น้ำมันเติมเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ต้องวางแผนการเดินทางแต่อย่างไรหยิบกุญแจแล้วออกเดินทางได้ ดังนั้นจุดเด่นสำหรับรถแต่ละคันไม่เหมือนกันซึ่งขึ้นอยู่กับจุดประสงค์การใช้งานของบแต่ละคน
การเลือกซื้อรถแต่ละคันไม่ว่าจะกี่บาทเราต้องดูปัจจัยโดยรอบของเราด้วยเหมือนกับรถไฟฟ้าและน้ำมันว่าเราจะเหมาะกับแบบไหนมากกว่ากัน
ความคิดเห็น