หลังจากที่เปิดตัวในไทยอย่างเป็นทางการกันไปแล้ว วันนี้ออโต้สปินน์มีโอกาสได้ขับทดสอบวิ่งทางไกล กรุงเทพฯ-ระยอง บอกเลยว่าในโฉมนี้เปลี่ยนแปลงใหม่หมดจด หรูหรา อัตราเร่งดี คันเดียวครบตอบโจทย์รถครอบครัวแน่นอน
ทริปนี้เป็นกิจกรรมที่โตโยต้า ประเทศไทยจัดขึ้น เพื่อให้สื่อมวลชนได้สัมผัสถึงสมรรถนะของ All-new Innova Zenix บนเส้นทาง กรุงเทพฯ-ระยอง ระหว่างทางได้เจอสภาพเส้นทางที่หลากหลาย มีโอกาสทดสอบทั้งในเรื่องของสมรรถนะเครื่องยนต์ ระบบช่วงล่าง ระบบความปลอดภัย ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ จึงอยากใช้พื้นที่ตรงนี้เพื่อเล่าสู่กันฟังครับ
มิติตัวถัง Innova Zenix 2023
- ความยาว 4,760 มม.
- ความกว้าง 1,850 มม.
- ความสูง 1,790 มม.
- ความยาวช่วงล้อ 2,850 มม.
Innova Zenix 2023 มีทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ได้แก่
- รุ่น 2.0 HEV Smart ราคา 1,379,000 บาท
- รุ่น 2.0 HEV Premium ราคา 1,479,000 บาท
Innova Zenix 2023 รุ่น 2.0 HEV Smart มีออพชั่นอะไรบ้าง ?
- ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว
- ไฟหน้า และไฟท้าย LED เปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ปรับไฟสูงต่ำอัตโนมัติ พร้อม Follow Me Home
- ฝาท้ายเปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมเซนเซอร์แบบ Kick Activated
- เบาะนั่งแถว 2 แบบ Captain Seat และโต๊ะส่วนตัวพับได้
- หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay ไร้สาย และ Android Auto
- จอแสดงผลข้อมูลผู้ขับขี่แบบจอสี TFT ขนาด 7 นิ้ว
- เบาะนั่งด้านคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง
- เบาะนั่งแถว 3 แบบพับเรียบ (50:50)
- ระบบเบรกมือไฟฟ้า และหน่วงเบรกอัตโนมัติ
- ระบบเชื่อมต่อ T-Connect
Innova Zenix 2023 รุ่น 2.0 HEV Premium มีออพชั่นอะไรบ้าง ?
(อุปกรณ์ที่เพิ่มเติมจากรุ่น 2.0 HEV Smart)
- หลังคามูนรูฟแบบ Panoramic
- ภายในแบบทูโทน สีน้ำตาล Dark Chestnut และสีดำ
- เบาะนั่งแถว 2 ปรับไฟฟ้าแบบ Captain Seat พร้อมเบาะรองน่องปรับไฟฟ้า และโต๊ะส่วนตัวพับได้
- ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย Paddle Shift
- กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ
- กล้องมองรอบคัน Panoramic View Monitor
เครื่องยนต์ Innova Zenix 2023
ทั้ง 2 รุ่นย่อยใช้เครื่องยนต์เบนซิน รหัส M20A-FXS ขนาด 2.0 ลิตร 1,987 ซีซี. Dual VVT-i กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 80.5 x 97.6 มิลลิเมตร พละกำลังสูงสุด 152 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 188 นิวตันเมตร ที่ 4,400 – 5,200 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 113 แรงม้า 206 นิวตันเมตร
เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า พละกำลังสูงสุด 186 แรงม้า จับคู่เกียร์อัตโนมัติ e-CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า แบตเตอรี่ไฮบริดนิกเกิลเมทัลไฮดรายขนาด 1.3 kWh รองรับน้ำมัน E10
ระบบช่วงล่าง Innova Zenix 2023
- ระบบกันสะเทือนล้อหน้าแบบอิสระ MacPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลง
- ระบบกันสะเทือนล้อหลังแบบ Torsion Beam พร้อมเหล็กกันโคลง
ระบบความปลอดภัย และระบบช่วยเหลือการขับขี่ Innova Zenix 2023
- ระบบความปลอดภัย TOYOTA SAFETY SENSE เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด
- กล้องมองภาพขณะถอยหลัง
- ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSM และระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA
- ระบบแจ้งเตือนลมยาง TPMS
- สัญญาณเตือนกะระยะ 8 ตําแหน่ง
- ถุงลมนิรภัย 6 ตําแหน่ง
ทดสอบการขับขี่ Innova Zenix 2023
ต้องบอกก่อนเลยว่าในโฉมนี้ ไม่เหมือนกับ Innova รุ่นก่อน ๆ ที่ได้เคยสัมผัส เพราะโฉมนี้ได้เปลี่ยนแปลงใหม่หมดจด ซึ่งก็แน่นอนว่าในเรื่องของการขับขี่นั้น ต่างจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด ทันทีที่ได้ขึ้นมานั่ง สัมผัสได้ถึงความหรูหรา หลังจากที่กดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ จะไม่มีเสียงดังแช๊ะของไดร์สตาร์ท เหมือนที่เราเคยได้ยินในรุ่นก่อน ๆ แต่จะเป็นการสตาร์ทเครื่องด้วยระบบไฟฟ้า ตามสไตล์ของรถยนต์ไฮบริด พอเติมคันเร่งเข้าไปเบา ๆ เครื่องยนต์ให้การตอบสนองที่ดีมากครับ ซึ่งก็พอจะเดาออกตั้งแต่แรกแล้วว่า รุ่นนี้ต้องเป็นรถที่ประหยัดน้ำมันแน่ ๆ เพราะเราแทบไม่ต้องเค้นกำลังเครื่องยนต์ในช่วงออกตัวเลย ในช่วงของการขับเร่งแซง เพียงแค่อยู่ในตำแหน่งเกียร์ D แล้วกดคันเร่งลึกเข้าไปอีกนิด กำลังของเครื่องยนต์มาดีมากครับ เร่งแซงได้แบบทันใจไม่ต้องลุ้นเลย จังหวะการต่อเกียร์ก็ทำได้สมูทครับ ต่อเกียร์แบบเนียน ๆ ไม่รู้สึกกระชาก และการขับขี่จะสนุกยิ่งขึ้นถ้าคุณอยู่ในตำแหน่งเกียร์ D แล้วดันคันเกียร์มาทางขวาให้เป็นเกียร์ + - จะได้ความรู้สึกเหมือนขับเกียร์ธรรมดา ลากรอบได้สูงขึ้น และยังสามารถใช้เป็น Engine Brake เวลาขับขึ้นลงเขา หรือทางลาดชันได้อีกด้วย
โหมดการขับขี่ มี 3 โหมด แต่ละโหมดแตกต่างกันดังนี้
- โหมด ECO คันเร่งจะรู้สึกหน่วงกว่าโหมดอื่น ๆ เพราะเน้นประหยัด
- โหมด Normal คันเร่งไวกว่าโหมด Eco เป็นการขับแบบปกติทั่วไป คันเร่งตอบสนองตามเท้า
- โหมดสปอร์ต Sport คันเร่งไว รอบจัดขึ้น เหยียบคันเร่งในน้ำหนักเท่ากันแต่รถจะพุ่งแรงกว่าโหมดอื่น ๆ รวมถึงกินน้ำมันมากกว่าโหมดอื่นด้วย
แต่การใช้งานจริง ในโหมด Normal ก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้วล่ะครับ เป็นโหมดมาตรฐานที่ถูกปรับเซ็ทมาแบบกลาง ๆ ครอบคลุมการขับขี่ทุกสถานการณ์ แต่ถ้าคุณเป็นขาซิ่ง อยากรีดสมรรถนะให้ออกมาแบบเต็ม ๆ ก็ปรับเป็นโหมด Sport แต่ก็จะแลกกับอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่มากขึ้นกว่าโหมดอื่น แต่ถ้าเจอเส้นทางที่รถติด ๆ ไม่สามารถทำความเร็วได้ ก็ปรับมาในโหมด Eco จะช่วยให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น
นอกจากกนี้ยังมีโหมด EV ซึ่งจะเคลื่อนที่โดยใช้ไฟฟ้าแบบเพียว ๆ แต่โหมดนี้คุณอย่าไปคาดหวังอะไรมากนะครับ เพราะสามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าได้แค่เพียงระยะทางแบบสั้น ๆ เท่านั้น และการใช้โหมดนี้คุณจะเติมคันเร่งได้แค่เบา ๆ และใช้ความเร็วได้แค่ราว ๆ 30-40 กม./ชม. เท่านั้น เพราะแบตไฮบริดความจุน้อย ต่างจากรถ EV ที่มีความจุแบตเตอรี่เยอะกว่าหลายเท่าตัว หากเติมคันเร่งแรง หรือใช้ความเร็วที่มากกว่านี้ เครื่องยนต์จะติดทันที ถือเป็นโหมดที่ใช้งานในสถานการณ์จริงในชีวิตประจำวันไม่ได้เลย
สำหรับระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense จะเป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด ซึ่งพระเอกของระบบนี้คือกล้องที่อยู่ด้านบนของกระจกหน้า จับระยะได้ไกลขึ้น มุมมองกว้างขึ้น จับระยะห่างได้เร็วขึ้น สามารถตรวจจับได้ทั้งรถยนต์ จักรยานยนต์ คนขี่จักรยาน คนเดินเท้า เส้นเลนถนน ซึ่งหลักการทำงานของระบบ Toyota Safety Sense มีดังนี้
- ระบบความปลอดภัยก่อนการชน : หากเราขับรถมาแบบเพลิน ๆ แล้วรถคันหน้าเบรกแบบกะทันหัน หรือขับจี้ท้ายรถคันหน้ามากเกินไป เริ่มแรกจะมีสัญญาณเตือนให้เราแตะเบรก จากนั้นระบบจะเตรียม BA (Brake Assist) ไว้เพื่อเพิ่มแรงเบรก แต่ถ้าระบบคำนวนแล้วว่าอยู่ในระยะที่ไม่ปลอดภัย ระบบเบรกจะทำงานให้อัตโนมัติ เพื่อลดความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นจากการชน
- ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงกลับอัตโนมัติ : หากเราเปลี่ยนเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว ระบบจะขึ้นสัญญาณเตือนที่หน้าจอ พร้อมกับหน่วงพวงมาลัยดึงให้ตัวรถกลับเข้ามาในเลน หากใครยังไม่ชินกับระบบนี้อาจรู้สึกหงุดหงิด เพราะพวงมาลัยจะขืนเมื่อเราขับทับเส้นเลนถนน แต่สำหรับผม ผมว่าเป็นระบบที่ดีเพราะช่วยสร้างวินัยในการขับรถ ทำให้การเปลี่ยนเลนจะต้องเปิดไฟเลี้ยวทุกครั้งจนติดเป็นนิสัย
- ระบบควบคุม และปรับลดความเร็วอัตโนมัติพร้อมช่วยควบคุมให้รถอยู่กลางเลน และช่วยลดความเร็วขณะเข้าโค้ง : เมื่อเราล็อกความเร็วเอาไว้ เราสามารถยกเท้าออกจากคันเร่งได้เลย หากคันหน้าเบรก รถเราก็จะเบรกตาม (ทำงานจนถึงจุดหยุดนิ่ง) และหากคันหน้าเพิ่มความเร็ว รถเราก็จะเพิ่มความเร็วตามจนถึงระดับความเร็วที่เราล็อกเอาไว้ นอกจากนี้ เรายังสามารถตั้งระยะความห่างระหว่างรถเรากับคันหน้าได้ 4 ระดับ รวมถึงบังคับควบคุมตัวรถให้อยู่กึ่งกลางของเลน และในทางโค้งจะช่วยลดความเร็วและพวงมาลัยก็จะหมุนเลี้ยวให้เองในทางโค้ง
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ : เมื่อขับผ่านเส้นทางที่มืด และไม่มีรถอยู่ด้านหน้า ระบบจะเปิดไฟสูงให้แบบอัตโนมัติ แต่ถ้ากล้องที่อยู่ด้านบนของกระจกตรวจจับได้ว่ามีรถวิ่งสวนทางมา ก็จะปรับเป็นไฟต่ำ การขับในเมืองอาจไม่ได้ใช้ระบบนี้สักเท่าไหร่ เพราะในเมืองมีแสงไฟถนนเยอะอยู่แล้ว แต่มีประโยชน์มากเวลาเดินทางข้ามจังหวัดตอนกลางคืน
ระบบช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบ อิสระแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบทอร์ชั่นบีม พร้อมเหล็กกันโคลง ในช่วงที่เป็นทางโค้งแบบกว้าง ๆ เราสามารถขับสาดโค้งที่ความเร็ว 140 กม./ชม. ได้เลยครับช่วงล่างเอาอยู่ แต่เจ้าคันนี้จะไม่ค่อยถนัดกับโค้งแบบลึก เพราะเท่าที่ลองทดสอบเข้าโค้งแรง ๆ ด้านท้ายแอบมีหลุดเล็กน้อย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวถังที่มีขนาดใหญ่ และช่วงล่างปรับเซ็ทมาแบบกลาง ๆ ที่ให้ความรู้สึกนุ่มแบบรถครอบครัว ถือเป็นรถที่ช่วงล่างถูกปรับเซ็ทมาได้ลงตัว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการใช้แพลตฟอร์มแบบใหม่ Monocoque ซึ่งต่างจากของเดิมที่เป็นแบบ Body on frame รวมถึงยังใช้สถาปัตยกรรมยานยนต์ TNGA “Toyota New Global Architecture” พร้อมช่วงล่างใหม่ และพวงมาลัยไฟฟ้า EPS จึงได้การควบคุมรถที่แม่นยำ มีประสิทธิภาพในการทรงตัวที่ดี
ในเรื่องของการเก็บเสียงนั้นดีใช้ได้เลยครับ เพราะใช้เป็นกระจกกันเสียง ทดลองขับที่ความเร็ว 120 กม./ชม. ยังคงกันเสียงลมจากภายนอกได้ดี แต่ถ้าใช้ความเร็วมากกว่านั้น จะเริ่มได้ยินเสียงลมเล็ดลอดเข้ามาให้ได้ยินบ้าง
ทดสอบนั่งเบาะแถว 2
เบาะแถว 2 นั่งได้สบายไม่เวียนหัว เป็นเบาะแบบ Captain Seat แยกเดี่ยว ฐานเบาะกว้าง พนักพิงปรับเอนได้ ตัวเบาะนุ่มกำลังดี มีแอร์หลังแบบออโต้ มีเนื้อที่กว้างขวาง นั่งสบายไม่อึดอัด ผมสูง 175 ซม. ศีรษะไม่ติดเพดาน แต่ถ้าเทียบกันระหว่างรุ่น Smart กับรุ่น Premium ผมว่าในรุ่น Premium นั่งได้สบายกว่า เพราะมีที่รองน่อง และเป็นเบาะแบบปรับไฟฟ้าด้วยครับ
ทดสอบนั่งเบาะแถว 3
สำหรับการนั่งเบาะแถว 3 ขึ้นลงได้ไม่ยาก แต่ก็ไม่ถึงกับง่าย ตัวเบาะนั่งได้สบาย ฐานเบาะกว้าง พนักพิงปรับเอนได้เยอะ ด้านข้างมีกระจกบานใหญ่ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัด พร้อมทั้งมีช่องจ่ายไฟ 12 V และแอร์แถว 3 ให้ด้วย
อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง Innova Zenix 2023
สำหรับอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง คันที่ผมทดสอบ เริ่มจากจุดสตาร์ทย่านถนนบางนา กม.3- ระยอง วิ่งด้วยโหมด Normal เป็นหลัก แต่ระหว่างทางก็มีเปลี่ยนไปโหมด Sport และ Eco บ้างเล็กน้อย ใช้ความเร็วยืนพื้นกันที่ 100-120 กม./ชม. ระหว่างทางเจอรถติดและถนนโล่งสลับกันไป กินน้ำมันอยู่ที่ 17.7 กม./ลิตร แต่มีสื่ออื่นในทริปเดียวกันขับแบบเน้นประหยัดได้อยู่ที่ 21 กม./ล. ซึ่งก็ถือว่าเป็นรถที่ประหยัดน้ำมันใช้ได้เลยทีเดียว
สรุปโดยรวมหลังขับทดสอบ Innova Zenix 2023
หากดูจากราคา 1,379,000 บาท ในรุ่น HEV Smart (รุ่นเริ่มต้น) ออพชั่นทั้งหมดที่มีให้ผมว่าคุ้มครับ เพราะเพิ่มให้จากโฉมก่อนเยอะมาก ส่วนในเรื่องของการดีไซน์ก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละคนครับ สำหรับผม ผมว่า Innova Zenix ดูหรูหราขึ้นเยอะเมื่อเทียบกับรุ่นเก่า เป็นรถที่ดูภูมิฐาน มีระบบความปลอดภัย และระบบช่วยเหลือต่าง ๆ มากมาย ไว้คอยอำนวยความสะดวก แต่ถ้าเพิ่มเงินอีก 1 แสน เพื่อซื้อรุ่นท็อป HEV Premium ในราคา 1,479,000 บาท ก็จะได้ออพชั่นที่แน่นขึ้น ได้กล้องรอบคัน ได้ภายในที่หรูหราขึ้น แบาะแถว 2 ปรับไฟฟ้า หลังคาซันรูฟ ถ้าถามผมว่าซื้อรุ่นไหนดี ผมตอบแบบไม่ลังเลว่าตัวท็อปครับ เพราะถ้าซื้อด้วยเงินผ่อน เราจะจ่ายเพิ่มแค่เดือนละประมาณ 2 พันบาท เท่านั้น สุดท้ายนี้ หากท่านใดสนใจ สามารถรับชมตัวจริงพร้อมทดลองขับได้ที่โชว์รูม โตโยต้า ทุกสาขาทั่วประเทศครับ
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ที่ Autospinn.com
ซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ต้องที่ ตลาดรถมือสอง One2car ซื้อรถง่าย ขายรถไว ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน
ความคิดเห็น