ที่สุดของยุค McLaren 750S เจาะลึก DNA Supercar ที่มีกำลังขับเคลื่อนเยี่ยมและทรงพลังมากที่สุด Share this
รถเปิดตัวใหม่
โหมดการอ่าน

ที่สุดของยุค McLaren 750S เจาะลึก DNA Supercar ที่มีกำลังขับเคลื่อนเยี่ยมและทรงพลังมากที่สุด

Nirin P.
โดย Nirin P.
โพสต์เมื่อ 28 August 2566

นับเป็นอีกครั้งที่ McLaren เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในภูมิภาคอาเซียนโดยเลือกไต้หวันเป็นสถานที่จัดงานในครั้งนี้ ด้วยเหตุผลว่า McLaren Taiwan เพิ่งจะได้รับรางวัล Global Retailer of the Year ในปี 2022 และถือเป็นครั้งที่สองของพวกเขาที่ได้รับรางวัลนี้

เมื่อพูดถึง McLaren เรียกได้ว่าเป็นแบรนด์ที่สามารถสร้างรถซูเปอร์คาร์ที่ดีที่สุดในโลกที่เคยมีมา จากการสั่งสมประสบการณ์มานับไม่ถ้วนจนก้าวมาเป็นแบรนด์รถซูเปอร์คาร์บอร์ต้นที่หลาย ๆ คนต่างไว้วางใจ ซึ่งประวัติศาสตร์การพัฒนาวิศวกรรมยานยนต์ในอดีตของ McLaren ยังได้สร้างมาตรฐานใหม่สำหรับวงการยานยนต์ของโลก เช่น  McLaren F1 เป็น Road car คันแรกของโลกที่ใช้ Carbon Fibre Chassis และยังส่งผลต่อการพัฒนาปรับปรุงรถยนต์สมรรถนะสูง มาจนถึงปัจจุบัน

เมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา Autospinn ได้มีโอกาสร่วมสัมผัส DNA ของรถรุ่นใหม่ McLaren 750S โมเดลจริงถึงไต้หวัน รถซูเปอร์คาร์ที่มีน้ำหนักเบาที่สุด มีกำลังขับเคลื่อนมากที่สุด และทรงพลังที่สุดในสายการผลิตเพื่อจำหน่าย

การออกแบบภายนอกยังคงสไตล์รถซูเปอร์คาร์ของแบรนด์เอาไว้ โดยนำความโดดเด่นจาก 720S รวบรวมมาไว้ในรถรุ่นใหม่นี้ได้อย่างลงตัวและเป็นเอกลักษณ์ จนได้เป็น McLaren 750S ที่มีความล้ำหน้า ในด้าน Weight Saving ด้านเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง อากาศพลศาสตร์ เรียกว่าเป็นการยกระดับมาตรฐานและประสบการณ์   การขับขี่สำหรับซูเปอร์คาร์แห่งอนาคต ส่งผลให้รถรุ่นนี้เป็นผู้นำในกลุ่มตลาด

แรงม้าต่อน้ำหนักรถอยู่ที่ 540 แรงม้า/ตัน และมีแรงบิดมากกว่าคู่แข่งถึง 60 นิวตัน-เมตร มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 4 ลิตร Twin-Turbocharged แรงบิด 800 นิวตัน-เมตร สอดประสานกันกับชุดเกียร์ 7 สปีด ที่เอื้อให้รถสามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 2.8 วินาที และเร่งความเร็วจาก 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 7.2 วินาที (สำหรับรุ่น Coupe) และ 7.3 วินาที (สำหรับรุ่น Spider)

นอกจากนี้ เรายังได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ 2 หัวเรือใหญ่ของ McLaren คือ Ms.Charlotte Dickson: Head of Asia Pacific McLaren Automotive และ Mr.Shane Harman: Product Planning Manager จาก  McLaren Automotive ที่มาร่วมเปิดตัว รุ่น 750S ในครั้งนี้ 

โดย คุณ Charlotte ได้บอกเราว่าผู้ที่หลงใหลใน McLaren จะต้องชื่นชอบรุ่น 750S เป็นอย่างมาก เพราะหาก

มองไปที่รุ่น 750S และถ้าคุณเคยสัมผัสกับ Artura ซึ่งเป็นซูเปอร์คาร์อีกคันของ McLaren ทั้งคู่ถ่ายทอดประสบการณ์ที่ให้ความเร้าใจในการขับขี่เป็นอย่างมาก แต่ในรูปแบบที่แตกต่างกัน รุ่น 750S เป็นการนำพื้นฐานการออกแบบจากรุ่น 720S มาพัฒนาต่อยอดพัฒนาไปอีกขั้น เพื่อทำให้รุ่น 750S เบาขึ้น ซึ่งเบากว่าคู่แข่งหลักอย่างน้อย 200 กิโลกรัม (DIN Kerb weight) มีพละกำลังมากขึ้น และมีความโดดเด่นมากขึ้น รถรุ่นนี้จึงกลายเป็นพื้นฐานใหม่สำหรับ McLaren ในขณะที่รุ่น Artura ยังคงมีความสามารถในเรื่องของสมรรถนะ และเหมาะที่จะเป็นรถที่ใช้ในชีวิตประจำวัน มีโหมดการขับขี่ที่แตกต่างกันถึง 4 โหมด ตั้งแต่โหมด Track ซึ่งทำความเร็วได้มากที่สุด ไปจนถึง E-mode ที่คุณสามารถขับขี่ในเมืองยามค่ำคืน ที่ค่อนข้างเงียบได้


ด้วยเหตุที่ McLaren เข้าใจว่ามีกลุ่มลูกค้าทั้ง 2 แบบที่แตกต่างกันอย่างมาก ลูกค้าบางส่วนที่ต้องการซูเปอร์คาร์ที่มีความดุดัน นั่นคือรุ่น 750S แต่ก็ยังมีอีกกลุ่มลูกค้า ที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งต้องการผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้ในไลฟ์สไตล์ชีวิตประจำวันและนั่นคือสิ่งที่ Artura ตอบโจทย์กลุ่มคนเหล่านั้น

 


เมื่อถามคุณ Shane ว่า McLaren 750S รุ่นใหม่นั้นมีเอกลักษณ์และแตกต่างอย่างไร?

คุณShane เล่าว่า “McLaren 750S มาพร้อมกับเทคโนโลยีนวัตกรรมหลายอย่าง 

อย่างแรกเลยคือระบบช่วงล่าง ซึ่งเรียกว่า Proactive Chassis Control  ถูกปรับปรุงและพัฒนาเป็นครั้งที่ 3 ในรุ่น 750S ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของระบบช่วงล่างที่แตกต่างจากผู้ผลิตรายอื่น เพราะไม่มีการติดตั้งเหล็กกันโคลงที่เชื่อมโยงด้านข้างของระบบกันสะเทือนช่วงล่าง แต่มันถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันผ่านวงจรไฮดรอลิค 

และมันช่วยให้คุณตั้งค่าการขับขี่ได้อย่างคล่องตัว ช่วยให้คุณเปลี่ยนโหมด Comfort, Sport และ Track ได้อย่างราบรื่น และที่มากกว่านั้นทำให้เปลี่ยนแดมเปอร์ได้อย่างอิสระ มีการถ่ายปริมาณของของเหลวไหลข้ามไปมา เป็นระบบที่ซับซ้อนมากและส่งผลต่อลักษณะของโหมดการขับขี่อย่างมีนัยยะสำคัญ

นอกจากนี้ยังมีการออกแบบหลักอากาศพลศาสตร์ในรุ่น 750S ได้น่าประทับใจอย่างมาก ถือเป็นอีกครั้งที่สามารถส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงต่อการควบคุมพวงมาลัย จากที่เราได้เห็นโมเดล 750S ไปเมื่อวานนี้ เราเชื่อว่า Wing หลังถูกซ่อน มันจะขยับขึ้นลงเพื่อให้สอดประสานไปกับตัวรถ ช่วยในเรื่องหลักอากาศพลศาสตร์อย่างมาก ซึ่งส่งผลต่อการทำความเร็ว แต่ Wing หลังจะขยับและสามารถกางขึ้นตั้งตรงเป็นแนวชันเพื่อกลายร่างเป็นเบรกอากาศ( Air Brake )ได้เช่นกัน ดังนั้นรุ่น 750S จึงมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากๆ ซึ่ง McLaren 750S ที่นำมาแสดงให้เห็นในงาน คือโมเดลจริงในการผลิตซีรีส์แรกที่จะถูกสร้างขึ้นในเดือนตุลาคมสำหรับการส่งมอบในช่วงปลายปีนี้”


คุณสมบัติเทคนิคต่าง ๆ ระหว่าง McLaren 720S และ McLaren 750S นั้นแตกต่างอย่างไร?

คุณ Shane เล่าว่า ถ้าเราพูดถึงระบบชุดช่วงล่าง "Proactive Chassis Control" ในรถรุ่น 750S ถูกใช้เป็นรุ่นที่สามแบบเดียวกับรุ่น 720S ซึ่งได้มีการพัฒนาต่อยอดไปอีกขั้น ปรับปรุงในหลายด้าน เช่น การปรับแต่งสปริงที่แตกต่างกันในรุ่น 750S มีความนุ่มนวลที่สปริงหน้าและสปริงหลังมีความแข็งแกร่งขึ้น เราปรับเปลี่ยนแดมเปอร์และวาล์วด้านใน เราเปลี่ยน Accumulator ทุกๆพื้นที่ที่ระบบมีการทำงานร่วมกันถูกอัพเกรดให้ดียิ่งขึ้นและนั่นคือแนวคิดทั้งหมดที่ถูกพัฒนาเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ระบบส่งกำลังก็เช่นกัน มีการเปลี่ยนแปลงหลายร้อยรายการ ทำให้รุ่น 750S นั้นแตกต่างจากรุ่น 720S ถึง 30% ในเรื่องของชุดส่วนประกอบเหล่านั้น


เมื่อเราเดินทางมาถึงยุคของรถไฟฟ้ากำลังเข้ามามีบทบาทก็อดที่จะถามไม่ได้ว่าในอนาคต McLaren จะขยายไปสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% หรือไม่

คุณ Charlotte ได้บอกเราว่า “Michael Leiters“(CEO ของ McLaren) ได้แสดงความชัดเจนไว้ว่าเขาพร้อมที่จะพิจารณาผลิตภัณฑ์ใดก็ตามสำหรับ McLaren แต่จะต้องคงไว้ซึ่ง DNA ของ McLaren นั่นก็คือรถซูเปอร์คาร์ที่มีน้ำหนักเบา พร้อมอัตราเร่ง และมอบประสบการณ์ในการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม

หากมองภาพรวมของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน เทคโนโลยีอาจยังไม่ครอบคลุมที่จะผสานเข้ากับซูเปอร์คาร์ได้อย่างลงตัว หากจะมองเรื่องของอนาคต ถ้าถามว่า McLaren จะก้าวไปสู่การเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% และยังคงให้คุณสัมผัสได้ถึง DNA ของเรานั้น เราคิดว่าในอนาคตอาจมีให้เห็นอย่างแน่นอน แต่อาจจะยังไม่ใช่เร็วๆ นี้ในระยะสั้น แต่ถ้ามองภาพรวมของตลาดซูเปอร์คาร์ เราเชื่อว่าทุกคนกำลังขับเคลื่อนสู่การเปลี่ยนแปลง อย่าง Rolls-Royce และ Bentley เองก็มีการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 100% แต่ความแตกต่างของรถเหล่านี้คือ ไม่ได้ถูกออกแบบเพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ แต่พวกเขาจะมอบการขับขี่ที่สะดวกสบายและผ่อนคลาย 

คุณ Shane กล่าวว่า คุณสมบัติบางสิ่งบางอย่างอาจลงตัวและทำได้ดีกว่าเมื่ออยู่กับแบรนด์อื่น ซึ่ง Rolls-Royce และ Bentley ก็เป็นเช่นนั้น การที่คุณได้ขับเลาะเลียบไปตามชายฝั่งด้วยเสียงเครื่องยนต์ที่เงียบมันดีมาก ในขณะที่สำหรับเรา ความคิดเห็นที่เราได้รับจากลูกค้าของเรา คือกระบวนการเผาไหม้ของระบบเครื่องยนต์สันดาปมีความสำคัญต่อผู้ขับขี่อย่างมาก ดังนั้นมันจึงเป็นความท้าทายในการพัฒนา McLaren ให้ดียิ่งขึ้นต่อสภาพแวดล้อม เมื่อไรก็ตามที่เทคโนโลยีถูกพัฒนามาถึงจุดที่ผสานเข้ากันได้อย่างลงตัวกับความต้องการของลูกค้า เราอาจจะได้เห็น McLaren EV ในอนาคตอย่างแน่นอน”

 

สำหรับใครที่ยังไม่เคยลองขับ McLaren และอยากเข้ามาสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ สามารถติดต่อขอทดลองขับได้ที่โชว์รูม McLaren Bangkok หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมผ่านช่องทางออนไลน์

Facebook: https://www.facebook.com/McLarenBKK

Instagram: https://www.instagram.com/mclarenbangkok/

Website: https://bangkok.mclaren.com/en

Tel: 02-321-1111, 081-434-7777

 


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ