วิธีเตรียมความพร้อมก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า และการดูแลรถยนต์ไฟฟ้า Share this

วิธีเตรียมความพร้อมก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า และการดูแลรถยนต์ไฟฟ้า

Champ Autospinn
โพสต์เมื่อ 15 December 2566

เทรนด์การใช้รถไฟฟ้าในปัจจุบันถือว่ามาแรงมาก สำหรับท่านที่กำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้าไว้ใช้งานสักคัน ก่อนซื้อจะต้องเตรียมความพร้อมอย่างไร และหลังจากที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาแล้ว จะต้องดูแลรักษาอะไรบ้าง บทความนี้มาดูกันครับ


ก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ต้องเตรียมความพร้อมอะไรบ้าง ?

1.เตรียมความพร้อมระบบไฟในบ้าน เพื่อติดตั้งเครื่องชาร์จ

รถยนต์ไฟฟ้าเปรียบเสมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นใหญ่หนึ่งชิ้นที่กินไฟ และมีโหลดที่ค่อนข้างเยอะ หากต้องเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน พร้อมกับชาร์จรถไฟฟ้าไปด้วยในเวลาเดียวกัน อาจทำให้ไฟตกหรือไฟไม่พอ ก่อนอื่นต้องเปลี่ยนมิเตอร์ไฟฟ้าให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น เช่นของเดิมเป็นมิเตอร์ขนาด 5(15) หรือ 15(45) ก็อาจจะเพิ่มเป็น 30(100) แอมป์ หรือบางพื้นที่เราสามารถขอมิเตอร์ลูกที่สองเพื่อใช้กับรถไฟฟ้าโดยตรงได้เลย ซึ่งการเปลี่ยนขนาดมิเตอร์ หรือขอมิเตอร์ลูกที่สอง เราจะต้องไปติดต่อที่การไฟฟ้า รวมถึงต้องเปลี่ยนขนาดสายไฟ ติดตั้งสายดิน และตู้คอนซูมเมอร์ยูนิตจะต้องได้มาตรฐานที่การไฟฟ้ากำหนด

2. เลือกเครื่องชาร์จ ที่มีขนาดเหมาะสม

ส่วนใหญ่เมื่อเราซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ก็มักจะได้เครื่องชาร์จแบบติดผนังมาเป็นของแถม ซึ่งเครื่องชาร์จที่แถมมาให้นั้นก็จะมีขนาดกำลังไฟที่พอเหมาะกับรถที่เราซื้ออยู่แล้ว แต่สำหรับรถบางรุ่นที่ไม่แถมเครื่องชาร์จแบบติดผนังมาให้ หากเราต้องซื้อมาติดตั้งเอง ต้องดูก่อนว่ารถเรารองรับการชาร์จไฟกระแสสลับ (AC) กี่ kWh สมมติว่ารถรองรับ 6.6 kWh เราก็ซื้อเครื่องชาร์จ ขนาด 7 kWh หรือ 11 kWh ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว ถ้าถามว่าเราสามารถติดตั้งเครื่องชาร์ทที่ให้กำลังไฟมากกว่านั้นได้ไหม คำตอบคือ ได้ แต่มันเกินความจำเป็นครับ ยิ่งเครื่องที่ให้กำลังไฟมากราคาก็จะแพงขึ้น

3. ติดตั้งเครื่องชาร์จตรงไหนดี

ช่องชาร์จของรถไฟฟ้าแต่ละรุ่น อาจอยู่คนละตำแหน่งกัน เช่น MG ZS EV ช่องชาร์จไฟอยู่ด้านหน้า ,MG4 ช่องชาร์จไฟอยู่ด้านหลังฝั่งซ้าย, Mini Cooper SE ช่องชาร์จไฟอยู่ด้านหลังฝั่งขวา เป็นต้น หากติดเครื่องชาร์จผิดตำแหน่ง อาจทำให้ลำบากตอนชาร์จไฟ และถ้าเป็นไปได้ควรติดตั้งเครื่องชาร์จเอาไว้ในที่ที่มีหลังคา เพื่อป้องกันแสงแดดและน้ำ จะได้ไม่เสื่อมสภาพไว

4. ต้องดูว่าในหนึ่งวัน เราใช้รถในการเดินทางกี่ กม.

อย่างเช่นในหนึ่งวันเราเดินทาง 100 กม. ถ้าเป็นกรณีนี้รถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นตอบโจทย์การใช้งานคุณได้แน่นอน เพราะในปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ก็วิ่งได้ระยะทาง 300 กม. ขึ้นไปอยู่แล้ว แต่ถ้าในหนึ่งวันคุณต้องเดินทางไกลมากกว่า 300 กม. อาจต้องพิจารณารุ่นรถที่รองรับกับระยะทางที่คุณใช้งาน รวมถึงศึกษาเส้นทางว่าจุดที่เราขับรถผ่านนั้นมีสถานีชาร์จไฟหรือไม่

หลังจากที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาแล้วต้องดูแลอะไรบ้าง ?

1. ควรซื้อประกันภัยชั้น1 เท่านั้น และห้ามปล่อยให้ประกันขาด

หากรถเราเกิดอุบัติเหตุโดยที่ไม่มีประกัน และถ้าความเสียหายนั้นคือแบตเตอรี่ บอกเลยว่าค่าซ่อมเจ็บหนักแน่นอน เพราะแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาประมาณครึ่งหนึ่งของราคารถ และเหตุผลที่ต้องให้ซื้อประกันภัยชั้น 1 เท่านั้น เพราะจะได้วงเงินคุ้มครองรถเราทั้งการชนแบบมีคู่กรณี และไม่มีคู่กรณี เช่น ขับชนเสาไฟฟ้า ขับรถตกข้างทาง เป็นต้น

2. น้ำหล่อเย็น ห้ามปล่อยแห้ง

และการดูแลรักษารถยนต์ไฟฟ้า แม้จะไม่จุกจิกเหมือนรถน้ำมัน แต่ก็มีจุดที่ต้องดูแลเหมือนกัน เช่น น้ำยาหล่อเย็นสำหรับแบตเตอรี่ และมอเตอร์ ควรเติมให้ถึงระดับที่กำหนดห้ามปล่อยให้แห้งเด็ดขาด เพราะน้ำยาตัวนี้จะช่วยลดความร้อนให้กับแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้า รวมถึงกรองแอร์ก็เช่นกัน ควรเปลี่ยนตามรอบที่กำหนด

3. ถ้าเค้นกำลังมอเตอร์มากเกินไป รถจะกินไฟเยอะ

หลายคนที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าก็หวังเพื่อให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางลดลง แต่ถ้าคุณใช้ความเร็วท็อปสปีดติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือตะบี้ตะบันขยี้คันเร่งแบบดุดันไม่เกรงใจใคร ก็จะทำให้รถกินไฟมากขึ้น และยังทำให้มอเตอร์ไฟฟ้ามีโอกาสเสียหายได้ไวขึ้นในอนาคต ดังนั้นควรใช้ความเร็วที่เหมาะสมจะดีกว่า

4. ชาร์จไฟแบบ DC แบตเสื่อมไวกว่าชาร์จแบบ AC

ปัจจุบัน รถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่จะรองรับการชาร์จทั้งไฟกระแสสลับ (AC) และไฟกระแสตรง (DC) ซึ่งแต่ละแบบนั้นมีข้อดีและข้อเสียต่างกัน หากชาร์จไฟกระแสสลับ (AC) กำลังไฟจะน้อย ใช้เวลาชาร์จนานกว่า แต่ข้อดีก็คือแบตเตอรี่จะเสื่อมสภาพช้า ในขณะที่การชาร์จแบบไฟกระแสตรง (DC) กำลังไฟจะเยอะกว่า ใช้เวลาในการชาร์จที่เร็วกว่า แต่ในระยะยาวแบตเตอรี่ก็จะเสื่อมไวกว่าด้วย

5. ติดฟิล์มกรองแสงกันความร้อน ที่มีคุณภาพ

การติดตั้งฟิล์มกรองแสงกันความร้อน เป็นอีกหนึ่งวิธีในทางอ้อมที่จะช่วยให้รถของคุณประหยัดไฟ เพราะประเทศไทยเป็นเมืองร้อน อาจทำให้คอมแอร์ทำงานหนักจนกินไฟ อีกทั้งแสงแดดยังทำลายชิ้นส่วนต่าง ๆ ในรถ เช่น ชิ้นส่วนที่เป็นพลาสติก และหนัง เป็นต้น

6. ดูแลสีรถ ให้สดใหม่ เงางาม

ปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าที่มีจำหน่ายในประเทศไทย ยังถือว่ามีราคาแพงเมื่อเทียบกับรถน้ำมัน ไหน ๆ ก็ขับรถราคาแพงแล้ว ควรดูแลสภาพสีภายนอกควบคู่กันไปด้วย รถจะได้สดใหม่เงางามอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการดูแลสีรถที่นิยมทำกันก็จะมี 2 แบบ คือ การเคลือบสี และ การติดสติกเกอร์กันรอย

การเคลือบสีมีกี่แบบ ?

เคลือบสีแบบธรรมดา เป็นวิธีที่ง่าย และประหยัดเงินในการะเป๋ามากที่สุด แต่จะได้แค่ความเงางามเพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อตากแดด หรือโดนน้ำบ่อย ก็ต้องมาเคลือบซ้ำใหม่ 

เคลือบแก้ว คือการใช้สารที่ผลิตแก้วมาเคลือบบนผิวรถ ทำให้ความหนาของชั้นแลคเกอร์หนาขึ้น ได้ความเงางามที่คงทนขึ้น สามารถป้องกันสะเก็ดหินได้ แต่เมื่อผ่านการใช้งานเป็นเวลานาน ก็มีโอกาสเหลืองได้เช่นกัน

เคลือบเซรามิก คือการใช้สารในกลุ่มเซรามิกมาเคลือบบนผิวรถ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ต่อยอดมาจากเคลือบแก้ว คุณสมบัติจะคล้ายกับเคลือบแก้ว แต่จะปกป้องสีรถได้สูงกว่า มีอายุการใช้งานที่ยาวนานและเหลืองยากกว่า

เคลือบกราฟีน เป็นเทคโนโลยีล่าสุด โดยการนำสารกลุ่มเซรามิกมาผสมกับกราฟีน ซึ่งกราฟีนคือสสารที่ถูกแยกมวลโมเลกุลมาจากกราไฟท์ จากการวิจัยพบว่า ในหนึ่งอะตอมของกราฟีนมีความแข็งแรงมากกว่าเหล็กถึง 100 เท่า มีความยืดหยุ่นสูงกว่ายาง และมีความใส ซึ่งกราฟีนได้รับรางวัลโนเบลในปี 2010 จากประเทศอังกฤษ ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับจากแถบยุโรป และออสเตรเลีย ถือเป็นการเคลือบที่ดีที่สุดในตอนนี้ ข้อดีของการเคลือบกราฟีนคือ เงาตลอด ใสตลอด เป็นรอยยาก เปื้อนยาก ล้างง่าย มีความเงาใสที่สูงมาก ป้องกันกรด ด่าง ได้สูงกว่าการเคลือบเซรามิก

ติดสติกเกอร์กันรอยมีกี่แบบ ?

การติดสติกเกอร์กันรอย จะมีทั้งแบบใส และแบบสี วัตถุดิบที่ใช้มีทั้ง PVC ,PET ,TPU

สติกเกอร์ PVC (Polyvinyl chloride) จะมีทั้งแบบสี และแบบใส ราคาจะไม่แพงมาก เป็นเทคโนโลยีสติกเกอร์ที่ใช้ในบ้านเรามานานแล้ว มีความเงาใสในระดับนึง ป้องกันสะเก็ดหินได้ แต่วัสดุประเภทนี้ อาจไม่ค่อยเนียนตามากนัก จะเห็นเป็นผิวส้ม และเมื่อผ่านการใช้งานไปนาน ๆ จะเริ่มแข็งตัว และแห้งกรอบ เมื่อลอกออกอาจทิ้งคราบกาว

สติกเกอร์ PET (Polyethylene Terephthalate) จะมีทั้งแบบสี และแบบใส เช่นกัน เป็นเทคโนโลยีที่สูงขึ้นจาก PVC ข้อดีของ PET จะเหมือนกับสีรถจริงมากกว่า มองแล้วเนียนตาสวยสดเหมือนกับว่าทำสีมาใหม่ ผิวส้มน้อย ใช้งานได้ยาวนานขึ้น ช่วยปกป้องสีรถ และป้องกันสะเก็ดหินได้ แต่ราคาสูงกว่า PVC

สติกเกอร์ TPU (Thermoplastic Polyurethane) เป็นฟิล์มใสกันรอยที่นิยมใช้ในบ้านเรา แต่จะมีราคาสูงกว่าชนิดอื่นที่ได้กล่าวมา ข้อดีคือ ผิวส้มน้อยมาก มองแล้วเนียนตาจนดูไม่ออกเลยว่ารถคันนี้ติดฟิล์ม มีความเงาใส ป้องกันรอยหินรอยขีดข่วนได้ดี

และทั้งหมดนี้ คือการเตรียมความพร้อมก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า และการดูแลรถยนต์ไฟฟ้าหลังจากที่ซื้อมาแล้ว จะเห็นได้ว่าไม่มีอะไรที่ยุ่งยากเลย หลัก ๆ คือการเตรียมระบบไฟในบ้านเพื่อรองรับการติดตั้งเครื่องชาร์จ ในส่วนของการดูแลก็ไม่มีอะไรมากครับ แค่บำรุงรักษาตามคู่มือ รวมถึงดูแสสภาพสีให้สดใหม่ สำหรับใครที่กำลังลังเลเรื่องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ผมแนะนำให้ลองเช่ารถยนต์ไฟฟ้ามาใช้งานสักระยะเพื่อดูว่าตอบโจทย์การใช้งานของเรามากน้อยแค่ไหน เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่ารถยนต์ไฟฟ้าแต่ละรุ่นราคาสูงพอสมควร

อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ที่ Autospinn.com

ซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ต้องที่ ตลาดรถมือสอง One2car ซื้อรถง่าย ขายรถไว ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ