เปรียบเทียบความเปลี่ยนแปลงของ Toyota Prius 2019 กับเจเนอเรชั่นปัจจุบัน 2024 ที่วางแผนทำตลาดในประเทศไทยภายในปีนี้ มาดูกันว่าทั้ง 2 รุ่น จะมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
Toyota Prius 2019 VS 2024
สาวก Toyota Prius บ้านเราที่รอคอยการกลับมาของโฉมใหม่ สำหรับครั้งนี้คงไม่ต้องรอเก้ออีกต่อไปแล้ว เพราะได้รับการยืนยันเป็นที่เรียบร้อยว่า Toyota Prius 2024 นั้นมีแผนเข้ามาทำตลาดในไทยภายในปีนี้อย่างแน่นอน วันนี้เรามาวอมเครื่องรอกันดีกว่าว่าในโฉม 2019 กับ โฉม 2024 มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
โครงสร้างตัวถังและการออกแบบ
สำหรับในรุ่น 2019 สร้างขึ้นโดยใช้แพลตฟอร์ม Toyota New Global Architecture (TNGA) ทำให้ตัวถังมีความแข็งแรงทนทาน อีกทั้งยังมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำลงจากในรุ่นเดิม ทำให้สร้างประสบการณ์การขับขี่ที่น่าดึงดูดใจอย่างมาก ประกอบกับใช้วัสดุที่ทำจากเหล็กแรงดึงสูงซึ่งช่วยให้มีน้ำหนักเบาแต่แข็งแรงแม้จะมีรูปทรงที่ซับซ้อนก็ตาม รวมถึงมีส่วนประกอบของอะลูมิเนียม ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของฝากระโปรงหน้า กรอบประตูด้านหลัง และคาลิปเปอร์เบรก มีส่วนช่วยให้น้ำหนักตัวรถไม่หนักมากอีกด้วย มีการใช้นวัตกรรมใหม่ในการยึดและเชื่อมต่อโครงสร้างตัวถัง ด้วยการเชื่อมสกรูด้วยเลเซอร์และกาวขั้นสูง ทำให้โครงสร้างมีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น
การออกแบบหากย้อนไปประมาณ 5 ปีก่อน ถือว่าในยุคสมัยนั้นมีการดีไซน์ที่สวยเลยทีเดียว บั้นท้ายไม่เชิดขึ้นมากเหมือนในรุ่นก่อน มีไฟหน้า Bi-LED แบบมาตรฐานที่คล้ายกับตาเหยี่ยวเฉี่ยวขึ้นไปด้านบน และไฟท้ายแบบ LED ที่ช่วยลดการใช้พลังงานเมื่อเทียบกับหลอดฮาโลเจน สามารถให้แสงสว่างดีกว่าและมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า ติดตั้งตะแกรงดักลมเปิด-ปิดอัตโนมัติ ในกรณีที่ไม่ต้องการให้อากาศไหลเวียนไปยังหม้อน้ำ มีกล้องถอยหลังเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ทัศนวิสัยของกระจกหลังกว้างขวางมีการติดตั้งกระจกยาวลงมาถึงสปอยเลอร์ทำให้มองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ถือว่าออกแบบมาได้ดีเลยทีเดียว
มาดูในรุ่น 2024 กันบ้าง ยังคงใช้แพลตฟอร์ม Toyota New Global Architecture (TNGA) เจเนอเรชันที่สอง ที่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจากในรุ่น 2019 ส่งต่อเป้าหมายสมรรถนะการขับขี่อันเร้าใจ ที่ปรับจุดศูนย์ถ่วงให้ต่ำลงไปอีก และเลือกใช้ยางที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดใหญ่ เสริมความแข็งแรงทั่วเรือนร่างไม่ว่าจะเป็น ระบบกันสะเทือนที่ช่วยให้การขับขี่ทางตรงมีความเสถียรมากขึ้น มีการตอบสนองที่ดีขณะเข้าโค้ง ผสมผสานกับระบบส่งกำลังใหม่ ที่มอบสมรรถนะการขับขี่อันน่าหลงใหลและเงียบขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
ภายนอกดีไซน์สปอร์ตใหม่บอกเลยว่าสวยมากดึงดูดสายตาสุด แต่ยังคงมีกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ของ Prius รุ่นดั้งเดิม มีสัดส่วนใหม่ที่ดูล้ำสมัยมากขึ้น เรียบง่าย และ เท่อีกด้วย ด้านหน้าออกแบบละม้ายคล้ายกับฉลามหัวค้อน ปรับเปลี่ยนไฟท้ายเป็นแบบยาวจากซ้ายจรดขวา รวมถึงติดตั้งมูนรูฟแบบพาโนรามาที่สามารถเปิดได้อย่างเต็มที่ เพื่อความโปรงโล่งอิสระภายในห้องโดยสาร ดูแล้วเหมือนกับรถยนต์ระดับ hi-end คันหนึ่ง ยกระดับ Prius ให้ดู Premium มากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งทาง Toyota คาดการณ์ล่วงหน้าไว้ว่าสำหรับโฉมนี้จะเป็นรุ่นที่นิยมต่อเนื่องในอนาคต ตามสโลแกน "Just in time for the 21st century" มาพร้อมสีที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ 2 สี ซึ่งก็คือ Ash และ Mustard ที่มาสร้างความประทับใจให้กับสายสปอร์ต และเติมสีสันให้กับ Everyday Life มากขึ้นอีกด้วย
สมรรถนะและขุมพลังการขับขี่
Toyota Prius 2019 มีให้เลือกหลายรุ่นย่อย อาทิ L Eco, LE, XLE และ Limited มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.8 ลิตร ทำงานควบคู่กับระบบส่งกำลังแบบแปรผันอย่างต่อเนื่อง (CVT) มีการนำเอาเทคโนโลยีแบบ AWD-e มาใช้ ซึ่งเป็นการนำเอามอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับขับเคลื่อนล้อหลัง ที่สามารถทำงานได้ถึงความเร็วสูงสุด 69 กม/ชม. โดยใช้กำลังไฟจากแบตเตอรี่แบบนิเกิล-เมทัลที่วางไว้ใต้เบาะนั่งด้านหลัง ซึ่งจุดประสงค์ของมอเตอร์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นมา เพื่อเพิ่มการยึดเกาะถนนในสภาวะถนนลื่น จะเริ่มทำงานทันทีเมื่อพบอาการล้อไถล ขณะที่การขับขี่ในสภาวะปกติจะใช้เพียงล้อคู่หน้าเพื่อรีดอัตราสิ้นเปลืองให้ดีที่สุด ซึ่งสำหรับ AWD-e จะมีจำหน่ายในรุ่น LE และ XLE เท่านั้น
ขอขยายความเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยี AWD-e เป็นการใช้แบตเตอรี่จากนิกเกิลเมทัลไฮไดรด์ (Ni-MH) ขนาดกะทัดรัดที่พัฒนาขึ้นใหม่ ซึ่งออกแบบมาเพื่อมอบประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมในสภาพอากาศหนาวเย็น ซึ่งอักษร "e" นั้นย่อมาจากไฟฟ้าทดแทน หากใช้ความเร็วอยู่ที่ไม่เกิน 0-69 กม/ชม. รถยนต์จะเลือกใช้เทคโนโลยี AWD-e ในล้อหลัง และยังสามารถคำนวณการขับขี่ว่าควรหรือไม่ควรใช้การขับเคลื่อนแบบสี่ล้อ เพื่อให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ระบบ AWD-e จะเพิ่มการยึดเกาะและความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่ และเป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่ประหยัดเชื้อเพลิงมากที่สุด วัดค่าความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง mpg ในเมืองประมาณ 52mpg ทางหลวงประมาณ 48mpg ดังนั้นจึงมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 50mpg โดยประมาณ
Toyota Prius 2024 เปิดตัวด้วยซีรีส์ Parallel Hybrid (HEV) และ Plug-in Hybrid (PHEV) ที่ได้รับแนวคิดมาจากความปรารถนาที่ต้องการรักษาความนิยมไว้ในอีก 25 ปีข้างหน้า แนวคิด Hybrid Reborn จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อชูจุดแข็งในฐานะรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เริ่มต้นกันด้วยซีรีส์ Parallel Hybrid System มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินทางเลือกขนาด 2.0 ลิตร และ 1.8 ลิตร ซึ่งสามารถส่งกำลังสูงสุด 144 กิโลวัตต์ (193 PS) ในรุ่น 2.0 ลิตร สูงกว่ากว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 1.6 เท่า ให้ไดนามิกที่ดีเยี่ยมสำหรับ Prius รวมไปถึงมาพร้อมกับระบบ E-Four ใหม่ล่าสุด ส่งผลให้สมรรถนะการขึ้นเนินที่ดีขึ้นบนพื้นผิวถนนที่มีแรงเสียดทานต่ำ เช่น ถนนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ จึงช่วยเพิ่มเสถียรภาพมากขึ้นขณะเลี้ยว
ต่อมาในซีรีส์ Plug-in Hybrid (PHEV) จะมาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาดเดียวคือ 2.0 ลิตร เป็น Plug-in ตัวแรกของทาง Toyota ปรับปรุงอัตราเร่งและความเงียบเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิม ผสมผสานการทำงานระหว่าง Dynamic Force Engine ประสิทธิภาพสูงและแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ส่งกำลังสูงสุดถึง 164 kW (223 PS) แต่ยังคงรักษาระดับการประหยัดเชื้อเพลิงเช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้า สำหรับซีรีส์นี้มีสมรรถนะของไดนามิกที่โดดเด่น มาพร้อมอัตราเร่งอันทรงพลังแบบ PHEV สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 6.7 วินาที นอกจากนี้ยังสามารถทำงานในโหมด EV เพียงอย่างเดียวได้อีกด้วย
ภายในห้องโดยสารและเทคโนโลยี
อันนี้เลดี้ขอนำเทียบกับรุ่น Toyota Prius AWD-e XLE 2019 ขึ้นไปนะคะ ในรุ่นนี้จะติดตั้งเบาะนั่งคู่หน้าแบบปรับไฟฟ้าด้วย SofTex ที่ได้รับการอัพเกรดจากรุ่นเดิม สามารถปรับด้วยไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง ตามมาด้วยพวงมาลัยแบบปรับเอียง/ยืดไสลด์ พร้อมทั้งยังสามารถปรับอุณหภูมิได้ด้วยเทคโนโลยี SofTex เช่นเดียวกัน นอกจากนี้สวิตช์การสั่งการต่างๆ รวมถึงระบบเครื่องเสียงยังคงติดตั้งไว้บนพวงมาลัยเช่นเดียวกับในรุ่นก่อนหน้า มาพร้อมกับระบบกุญแจอัจฉริยะ ไฟหน้าปรับระดับได้ มีพื้นที่เก็บสัมภาระขนาด 65.5 คิว หากพับเบาะลงแบบ 60:40 ซึ่งมากกว่ารถยนต์ SUV ขนาดเล็กในบางรุ่นด้วยซ้ำ
จอแสดงผลมัลติมีเดียแบบสัมผัสขนาด 6.1 นิ้ว และหน้าจอแดชบอร์ดที่บอกข้อมูลการขับเคลื่อนต่างๆ รวมถึงระบบไฮบริด, คะแนน Eco, ระบบช่วยเหลือคนขับต่างๆ และระบบนำทาง แต่สำหรับในรุ่น Limited จะมาพร้อมกับจอแสดงผลมัลติมีเดีย HD ขนาดใหญ่ถึง 11.6 นิ้ว และติดตั้งลำโพงจาก Premium JBL Audio ติดตั้งระบบกันสะเทือนด้านหลังแบบมัลติลิงค์ ผสมผสานกับความนุ่มนวลในการขับขี่ทำให้ภายในห้องโดยสารเงียบสงบ ในส่วนของระบบเครื่องปรับอากาศ มีโหมดการใช้งาน Smart-flow (S-FLOW) ที่สามารถกำหนดทิศทางการไหลเวียนของอากาศไปยังผู้โดยสารที่นั่งอยู่เท่านั้น เพื่อประหยัดพลังงานและเพิ่มความสะดวกสบายสูงสุด
ไปต่อกันที่ภายในและเทคโนโลยีของรุ่น 2024 ได้รับการออกแบบภายในที่ผสมผสานระหว่าง "ความสนุกสนาน" เข้ากับ "ความหรูหรา" ซึ่งมีภายในที่กว้างขวางและตกแต่งด้วยโทนสีดำที่ทำให้ผ่อนคลายสบายตา ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของคอนโซลหน้าและการเย็บตะเข็บเบาะโดยสาร ให้มีความสมดุลกันระหว่างความสปอร์ตและความหรูหรา แผงหน้าปัดใช้ระบบไฟเตือนแบบเรืองแสง ที่ทำงานร่วมกับระบบ Toyota Safety Sense ที่จะกระพริบไฟแจ้งเตือนก่อนที่เสียงเตือนจะดังขึ้น เพื่อสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่มั่นใจยิ่งขึ้น
ในส่วนของเทคโนโลยีมาพร้อมกับแพ็คเกจความปลอดภัย Toyota Safety Sense ที่ได้รับการปรังปรุงใหม่พร้อมฟังก์ชันขั้นสูงเป็นมาตรฐานสำหรับทุกรุ่น ช่วยให้ขับขี่ได้อย่างเพลิดเพลินและสบายใจ รวมไปถึงติดตั้งระบบ Advanced Park ที่ใช้งานผ่านฟังก์ชั่นรีโมท ช่วยให้สามารถจอดรถและออกจากพื้นที่จอดรถอัตโนมัติได้อย่างง่ายดายในสถานการณ์ที่หลากหลาย ด้วยการสั่งการภายนอกรถผ่านแอพสมาร์ทโฟน ที่สามารถสั่งการได้แม้ในระยะไกล
เทคโนโลยีความปลอดภัย
ในรุ่น 2019 มาพร้อมกับระบบความปลอดภัยของ Toyota Safety Sense P (TSS-P) เป็นการใช้เรดาร์และกล้องเซ็นเซอร์ตรวจจับสิ่งกีดขวางหรือคนเดินถนน ยานพาหนะและช่องทางการเดินรถในพื้นที่โดยรอบ ซึ่ง TSS-P จะครอบคลุมถึงระบบเตือนการออกนอกเลนพร้อมระบบช่วยบังคับเลี้ยว (LDA พร้อม SA), ไฟสูงอัตโนมัติ (AHB), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติด้วยเรดาร์แบบไดนามิกแบบเต็มช่วงความเร็ว (DRCC) และระบบแจ้งเตือนระยะห่างของยานพาหนะ (VPNS)
และสำหรับในรุ่น 2024 ยังคงใช้เทคโนโลยีความปลอดภัย Toyota Safety Sense แต่มาพร้อมกับกระจกมองข้างแบบดิจิตอล และเครื่องบันทึกการขับขี่ในรถยนต์ ซึ่งข้อมูลจะถูกจัดเก็บไว้ใน ECU เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายของข้อมูลและปัญหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ SD การ์ด สามารถเป็นพาวเวอร์แบงค์เคลื่อนที่ได้จากช่องเสียบปลั๊กไฟเสริม 100 VAC / 1,500 W จำนวน 2 ช่อง บริเวณด้านหลังของคอนโซลกลาง และอีกหนึ่งช่องตรงพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง ซึ่งสามารถเลือกโหมดจ่ายไฟภายนอก HEV ที่จะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เท่านั้นโดยไม่ต้องสตาร์ทเครื่องยนต์ นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งสามารถแปลงพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในรุ่น PHEV เทียบเท่ากับการขับขี่ได้ถึง 1,250 กม. ต่อปี พลังงานไฟฟ้าที่สร้างขึ้นขณะจอดรถจะถูกใช้ในการชาร์จแบตเตอรี่ โดยระบบไม่เพียงแต่จ่ายไฟฟ้าสำหรับการขับขี่เท่านั้น แต่ยังใช้สำหรับเครื่องปรับอากาศและฟังก์ชันอื่นๆ ได้อีกด้วย โดยพลังงานไฟฟ้าที่สร้างขึ้นระหว่างการขับขี่จะถูกนำมาใช้ร่วมกับแบตเตอรี่
เอาจริงๆ พอเลดี้เห็น Toyota Prius รุ่นใหม่โฉม 2024 แล้วแทบกรี๊ด คือน้องทั้งเท่ ทั้งล้ำ ทั้งหรู รวมๆ แล้วมีเสน่ห์สุดๆ ยิ่งสี Ash นะเห็นแล้วรักเลย ประกอบกับมูนรูฟเอยรวมถึงเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ มันตอบโจทย์คนรัก Toyota สุดๆ และครั้งนี้น่าจะไม่เป็นการรอเก้ออีกต่อไป หวังว่าจะได้สัมผ้สตัวจริงของน้องในเร็วๆ นี้นะคะ
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ที่ Autospinn.com
ซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ต้องที่ ตลาดรถมือสอง One2car ซื้อรถง่าย ขายรถไว ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน
ความคิดเห็น