Mercedes-Benz G580 Electric ด้วยรูปโฉมที่ยังคงความเป็น G-Wagon อันน่าเกรงขาม ประกอบกับการทำงานของเทคโนโลยี EQ ที่ทั้งแรงกว่า ไปได้ไกลกว่ารุ่นพี่อย่าง G63 และ G550
เผยโฉม Mercedes-Benz G580 Electric ครั้งแรก ดีไซน์เหมือนเดิมเพิ่มเติมความแรง
เมื่อพูดถึงในรุ่น Electric ไอ้เราก็คิดว่า Mercedes-Benz เองจะคงยึดกฏการออกแบบสไตล์มินิมอล เรียบๆ และอาจผลิกโฉม G-wagon ออกไปอย่างสิ้นเชิง แต่ผิดคาดแฮะ เพราะว่า Mercedes-Benz G580 Electric มีการออกแบบที่ยังคงเอกลักษณ์อันน่าเกรงขามของ G-wagon เอาไว้ แต่ก็มีความโดดเด่นไม่น้อยหากไปอยู่ท่ามกลางฝูงชน เรียกว่าไม่ผิดหวังกับเฮียเค้าแหละ ในส่วนของชื่อรุ่นเองที่ตอนแรกคิดว่าจะมาแนว EQG อะไรทำนองนี้ แต่เปล่าเลยเพราะว่าทาง Mercedes-Benz เลือกที่จะใช้ชื่อ G580 Electric และนี่อาจเป็นหนึ่งใน G-wagon ที่ดีที่สุดที่สร้างขึ้นในประวัติศาสตร์ 45 ปี ของรถออฟโรด Mercedes ในตำนานก็เป็นได้
Mercedes-Benz G580 Electric
หลังจากมีการปล่อยทีเซอร์ออกมาที่ลาสเวกัสในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ในที่สุดเราก็ไม่ต้องลุ้นกันอีกต่อไป เพราะเฮียเค้าเผยโฉม Mercedes-Benz G580 Electric ให้ได้ชมอย่างเป็นทางการ โดยมีการใช้เทคโนโลยีของ EQ ที่ผลิตด้วยไฟฟ้าทั้งหมดคันแรก ที่ยังคงไว้ซึ่งสไตล์รวมถึงเอกลักษณ์อันโด่งดังของ G-Wagon เอาไว้ ซึ่งเราอาจจะสังเกตความแตกต่างในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อาทิ ซุ้มฝากระโปรงที่ยกขึ้นนิดหน่อย มีช่องระบายอากาศที่ซุ้มล้อหลัง มีการติดป้าย "EQ" สีเงิน ติดตั้งสปอยเลอร์ที่ขอบด้านหลังของหลังคา มาพร้อมกับกล่องเก็บอุปกรณ์สายชาร์จที่ฝากระโปรงหลัง ซึ่งหากใครที่ต้องการยางอะไหล่ก็มีจัดจำหน่ายเป็นทางเลือกเช่นเดียวกัน และสุดท้ายล้อห้าก้านลายใหม่ขัดเงาใส่ยางมาตรฐานขนาด 18 นิ้ว
มอเตอร์ 4 ตัว 579 แรงม้า
Mercedes-Benz G580 Electric ใช้เทคโนโลยีของ EQ ที่ประกอบด้วยมอเตอร์ 4 ตัว มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนสีล้อ ผลิตพละกำลังรวม 579 แรงม้า มีแรงบิด 859 ปอนด์-ฟุต สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กิโลมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลา 4.4 วินาที โดยที่ Top Speed จะถูกจำกัดไว้ที่ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งเอาจริงๆ ก็เร็วมากแล้วนะ หากเทียบกับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน รวมถึงการแบกรับน้ำหนักของตัวถัง
มาถึงในเรื่องของการชาร์จไฟกันบ้าง Mercedes-Benz G580 Electric สามารถชาร์จได้สูงสุด 11 kW ด้วยกระแสไฟ AC ระดับ 2 และ สูงสุด 200 kW ด้วยเครื่องชาร์จเร็ว DC ระดับ 3 และยังใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาที ในการชาร์จแบตจาก 10-80% รวมถึงสามารถตั้งโปรแกรมการชาร์จล่วงหน้าตามสภาพอากาศ หรือระดับการชาร์จตามแต่ละสถานที่ นอกจากนี้ยังมีระบบ One pedal ที่สามารถปรับระดับการดึงพลังงานกลับได้ที่บริเวณพวงมาลัยอีกด้วย
โครงสร้างตัวถังยังคงมีความแข็งแกร่งทนทาน มาพร้อมระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระ ติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 116 kWh สามารถวิ่งได้ไกลสูงประมาณ 386.24 กิโลเมตร ซึ่งแบตเตอรี่ประกอบด้วยเซลล์ 216 เซลล์ ใน 2 ชั้น ป้องกันน้ำและสิ่งสกปรก ทนต่อการบิดงอ ด้านล่างของตัวเครื่องถูกหุ้มด้วยแผ่นกันกระแทกที่ทำจากพลาสติกเสริมคาร์บอนซึ่งมีความแข็งมากกว่าเหล็กหรืออลูมิเนียม ไม่ขึ้นสนิม มีน้ำหนักเบา
ออฟโรดใน EV เต็มรูปแบบ
ด้วยชื่อเสียงของ G-Wagon กับการตะลุยในรูปแบบการขับขี่แบบออฟโรด ดังนั้นจึงเกิดเป็นคำถามว่า Mercedes-Benz G580 Electric จะยังคงมี Feeling รวมถึงโหมดการขับขี่แบบออฟโรดอยู่มั้ย? คำตอบก็คือ มีค่ะ G580 Electric จะยังคงสามารถตอบสนองทั้งการขับขี่แบบขึ้นเนินสูงชันและพื้นทราย รวมถึง G-steering หมุนรอบ 360 องศา และฟังก์ชันการคลานแบบออฟโรดในความลึก 33.5 นิ้ว (ซึ่งลึกกว่าในรุ่น ICE) ผ่านการควบคุมบนล้อทั้ง 4 ล้อ มีการยึดเกาะที่ดีขึ้นด้วยระยะห่างจากพื้นอยู่ที่ 9.8 นิ้ว และระบบกันสะเทือนแบบปรับได้ที่มีความทนทานทั้งในสภาพเปียก โคลน และทราย
ในส่วนของโหมดการขับขี่ นอกเหนือจากโหมดปกติทั่วไปอย่าง Comfort, Sport และ Individual ยังมีโหมด Trail และ Rock สำหรับการใช้งานออฟโรดด้วยเช่นกัน ซึ่งสามารถใช้ฟังก์ชัน G-steering จากที่กล่าวไปข้างต้นได้อีกด้วย คุณสามารถมองผ่านใต้ฝากระโปรงเพื่อสำรวจสิ่งกีดขวางด้วยกล้อง 360 องศา จึงช่วยให้คุณอุ่นใจในทุกสภาพท้องถนน
ภายในหรูหรา สะดวกสบายครบครัน
แม้ว่าภายนอกจะยังคงความแข็งแกร่ง ดุดัน ซักเท่าไหร่ แต่พอเข้ามาภายในห้องโดยสาร คุณอาจโดนพี่เค้าตกเอาง่ายๆ เพราะการออกแบบภายในมาพร้อมกับความหรูหรา ล้ำสมัย สะดวกสบายตามสไตล์ Mercedes-Benz ที่ไม่แตกต่างจากในรุ่น G550 ซักเท่าไหร่ มีพวงมาลัยหุ้มหนังแนปปา ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสาร
ในส่วนของระบบสาระบันเทิง ติดตั้ง Mercedes MBUX ด้วยหน้าจอสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว มีระบบจดจำเสียง และระบบสั่งงานด้วยเสียง โดยสั่งการผ่านการพูด "Hey Mercedes" ที่รองรับทั้ง Android Auto และ Apple CarPlay รวมถึงมีระบบนำทางแบบเรียลไทม์ให้ด้วย
คุณสมบัติเสริมอื่นๆ ได้แก่ ที่วางแก้วแบบควบคุมอุณหภูมิ Wiress Charging กล้องติดรถยนต์ และระบบเสียงรอบทิศทางจาก Burmester 3D มาพร้อมกับ Dolby Atmos ที่เป็นเสียงสังเคราะห์สำหรับ G-class เท่านั้น มาในชื่อ "Aura" และ "Event"
สาวก G-Wagon ยังสามารถออกแบบและตกแต่งเพิ่มเติมได้สำหรับในรุ่น Edition One ซึ่งมีสีให้เลือก 5 สี ได้แก่ South Sea Blue Magno, Obsidian Black Metallic, Opalite White Magno, Opalite White Bright และ Classic Grey Solid นอกจากนี้ยังประกอบไปด้วยคาลิเปอร์เบรกสีน้ำเงิน แถบตกแต่งสีน้ำเงิน กล่องสัมภาระสีเดียวกับตัวถัง ข้อความไฟส่องสว่างตรงประตูหน้าเป็นสัญลักษณ์ตัว "G แข็งแกร่งกว่ากาลเวลา" กระจังหน้าแบบบานเกล็ดสี่บาน และคุณสมบัติจากแพ็คเกจ AMG Line และ Night ที่เป็นสีดำเงาและไฟแบบย้อมสี
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ที่ Autospinn.com
ซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ต้องที่ ตลาดรถมือสอง One2car ซื้อรถง่าย ขายรถไว ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน
ความคิดเห็น