เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่กับ MV Rockstar โดยนักร้องมากฝีมือระดับโลกชาวไทย Lisa หรือ ลิซ่า ลลิสา มโนบาล ที่มาถ่ายทำกันในหลายสถานที่ของประเทศไทย เรามาส่องดูกันว่ามีรถอะไรปรากฎตัวใน MV นี้บ้าง?
รถ ใน ROCKSTAR
สำหรับรถใน MV Rockstar ที่ปรากฎตัวแบบเด่นชัดที่สุด ชัดเจนทั้งแบรนด์และรุ่นรถที่สุดนั่นคือ Royal Enfield Interceptor 650 ที่ทาง Autospinn เราเคยรีวิวไปแล้วหลายครั้งก่อนหน้านี้
และยังมีรถอีกหลากหลายรุ่น จากหลากหลายแบรนด์เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ รถตุ๊กๆ หรือมอเตอร์ไซค์ ที่ปรากฎตัวอยู่ใน MV นี้ด้วยเช่นกัน
ชม MV Rockstar
Royal Enfield Interceptor 650
Royal Enfield Interceptor 650 คือรถมอเตอร์ไซค์ที่ใช้แรงบันดาลใจการออกแบบมาจาก Royal Enfield Interceptor รุ่นปี 1960 ซึ่งในยุคสมัยนั้นมีความนิยมการขับขี่มอเตอร์ไซค์ชมวิวเลียบชายฝั่งแคลิฟอเนียร์ โดยตัวรถคันนี้ทางทีมผู้ออกแบบได้หยิบเอาดีไซน์การออกแบบมาจากรุ่นปี 60 แทบจะทุกประการ เพื่ออนุรักษ์ความคลาสสิกของรถไว้ โดยผสมกับความทันสมัยของเครื่องยนต์ลูกใหม่เข้าไป เพื่อให้รถมีความเร้าใจมากยิ่งขึ้น แต่ยังคงความเป็นโรดสเตอร์เอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน
Royal Enfield Interceptor 650 ใช้ไฟหน้าฮาโลเจนกรอบโครเมี่ยมทรงกลมสไตล์คลาสสิก รวมไฟสูงและไฟต่ำไว้ในเรือนเดียว เก็บงานได้เรียบเนียนสนิทกว่าทุกโมเดลที่ผ่านมาของทางค่าย
ถังน้ำมันทรงหยดน้ำความจุ 13.7 ลิตร โดยมีความกว้างและแบนกว่าตัว GT เล็กน้อย ส่วนเบาะนั่งเป็นแบบตอนเดียว ความสูง 803 มม. ซึ่งเบาะนั่งตัวนี้จะมีความหนานุ่มกว่าตัว GT พอสมควร
ทางด้านช่วงล่าง ด้านหน้าใช้โช๊คอัพแบบ Telescopic ขนาดแกน 41 มม. ระยะยุบ 110 มม. พร้อมล้อหน้าซี่ลวดแบบมียางในขนาด 18 นิ้ว รัดยาง Pirelli Phantom Sportcomp ขนาด 100/90-18
ด้านระบบเบรคเป็นดิสเบรคเดี่ยวขนาด 340 มม. พร้อมระบบ ABS ป้องกันล้อล็อกจาก Bosch และปั้มเบรค 4 พอตจาก Bybre แบรนด์ลูกของ Brembo
Royal Enfield Interceptor 650 ใช้โช๊คอัพหลังคู่พร้อมซัพแท็งค์ ระยะยุบ 88 มม. พร้อมล้อซี่ลวดแบบมียางในขนาด 18 นิ้ว มาพร้อมยาง Pirelli Phantom Sportcomp ขนาด 130/70-18
ด้านระบบเบรคเป็นดิสเบรคเดี่ยวขนาด 240 มม. พร้อมระบบ ABS ป้องกันล้อล็อกจาก Bosch และปั้มเบรค 2 พอตจาก Bybre แบรนด์ลูกของ Brembo
Royal Enfield Interceptor 650 ใช้ท่อไอเสียคู่ขนาดใหญ่ ให้เสียงเครื่องยนต์ดุดันมากๆ พร้อมไฟท้ายและไฟเลี้ยวแบบเหลี่ยมสไตล์คลาสสิก และในส่วนของเบาะนั่งเป็นเบาะแบบตอนเดียวยาวมาจนถึงเฟรมท้ายรถ
เรือนไมล์แบบเข็มสไตล์คลาสสิก 2 เรือน โดยฝั่งซ้ายจะเป็นมาตรวัดความเร็วของรถเป็นหน่วยกิโลเมตร และหน่วยไมล์ พร้อมหน้าจอดิจิตอลบอกข้อมูลเกี่ยวกับเลขไมล์รวมของรถ, ทริป A และ B ส่วนด้านขวาจะเป็นมาตรวัดรอบเครื่องยนต์จะเห็นได้ว่าเรดไลน์ของรถรุ่นนี้อยู่ที่ 7,500 รอบ/นาที
มุมมองจากผู้ขับขี่จะเห็นได้ว่าตัวรถคันนี้ค่อนข้างใส่ของมาแน่นๆ ไม่ว่าจะเป็นแฮนด์บาร์พร้อมบาร์ค้ำแฮนด์สไตล์รถคลาสสิก ส่วนประกับแฮนด์ด้านซ้ายจะเป็นปุ่มควบคุมไฟสูง/ไฟต่ำ, ไฟพาส, ไฟเลี้ยว และแตร ด้านขวาเป็นปุ่ม off/run และปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์
ข้อมูลทางเทคนิค Royal Enfield Interceptor 650
เครื่องยนต์ | 2 สูบเรียง SOHC 4 วาล์วต่อสูบ ระบายความร้อนด้วย Oil-cooler |
ปริมาตรกระบอกสูบ | 648 ซีซี |
อัตราส่วนกำลังอัด | 9.5 : 1 |
องศาจุดระเบิด | 270 องศา |
เกียร์ | 6 สปีด พร้อมสลิปเปอร์คลัช |
แรงม้าสูงสุด | 47 แรงม้า ที่ 7,250 รอบ/นาที |
แรงบิดสูงสุด | 52 นิวตันเมตร ที่ 5,250 รอบ/นาที* |
*ตัวเครื่องสามารถสร้างแรงบิดสูงถึง 80% ได้ |
ขนาดกว้าง x ยาว x สูง (มม.) | 2,122 x 1,165 x 789 |
ระยะฐานล้อ (มม.) | 1,400 |
มุมคาสเตอร์ / ระยะเทรล (มม.) | 24° / 106 |
น้ำหนักรถเปล่า (กก.) | 202 |
ความจุถังน้ำมัน (ลิตร) | 13.7 |
ความสูงเบาะนั่ง (มม.) | 804 |
ระยะห่างจากพื้น (มม.) | 174 |
เฟรม | แบบท่อเหล็กเปลคู่ |
โช๊คหน้า | Telescopic ขนาดแกน 41 มม. ระยะยุบ 110 mm |
โช๊คหลัง | สปริงคู่พร้อมซัพแท็งค์ ปรับพรีโหลดได้ 5 ระดับ ระยะยุบ 88 mm |
ล้อหน้า | ล้อซี่ลวด 36 ซี่ ขนาด 100/90-18 พร้อมยาง Pirelli Phantom Sportcomp |
ล้อหลัง | ล้อซี่ลวด 36 ซี่ ขนาด 130/70-18 พร้อมยาง Pirelli Phantom Sportcomp |
เบรคหน้า | ดิสเบรคเดี่ยวขนาด 320 มม. พร้อมปั้มเบรคจาก Bybre และ ระบบ ABS จาก Bosch |
เบรคหลัง | ดิสเบรคเดี่ยวขนาด 240 มม. พร้อมปั้มเบรคจาก Bybre และ ระบบ ABS จาก Bosch |
ความแตกต่างของ Royal Enfield Interceptor 650 กับ Royal Enfield Continental GT 650
Royal Enfield Interceptor 650 จะมีเบาะนั่งสูง 804 แตกต่างจาก GT จะมีเบาะนั่งสูงเพียง 793 มม. ตัวแฮนเป็นแบบแฮนบสร์มาพร้อมเบาะนั่ง 2 คน, ถังน้ำมันแบบหยดน้ำสไตล์คลาสสิก และตำแหน่งพักเท้าแบรถเน็กเก็ตทำให้ตัวรถมีความเป็นรถเน็กเก็ตสูง ขับขี่ได้ง่าย และควบคุมได้ง่ายกว่า
Royal Enfield Interceptor มอบประสบการณ์ขับขี่ได้อย่างยอดเยี่ยม
การขับขี่ Royal Enfield Interceptor 650 คันนี้ ทางทีมงานได้จัดให้วิ่งทดสอบในเส้นทางเลียบมหาสมุทรแปซิฟิก ตั้งแต่เมือง Santa Cruz ผ่าน Pescadero เข้า Skywood ผ่าน Redwood เช่นเดิม ก่อนวนกลับทางเลียบมหาสมุทรเช่นเดิมกลับที่พัก ระยะทางรวมกว่า 200 กิโลเมตร ทว่าสภาพเส้นทางจะมีความหลากหลายกว่า ไม่ว่าจะเป็นแดดร้อนๆ เผาให้เหงื่อตก กระทั่งหมอกเย็นๆ จากมหาสมุทร หอบเอาความเย็นเพียง 12 องศา มาปะทะผิวกายขณะขับขี่ด้วยความเร็ว 65 ไมล์/ชั่วโมง ผ่านเส้นทางถนนดำที่พื้นแน่นๆ กระทั่งถนนกำลังทำทางที่มีหินกรวดลอยให้ดีดใส่คนขับตามกันพอสะดุ้ง
ด้วยความที่ Royal Enfield Interceptor 650 ถูกวางให้เป็นรถที่เน้นการขับขี่ที่ง่าย และสนุก ซึ่งยอมรับว่าในตอนแรกเห็นความแตกต่างของรถเพียงไม่กี่จุดก็แอบคิดว่า จะต่างจากตัว GT ขนาดไหนกัน แต่พอได้ขี่แล้วบอกเลยว่า มันต่างกันอย่างมากเลยล้ะ
ท่าทางการขับขี่
Royal Enfield Interceptor 650 คันนี้ ถูกออกแบบตัวรถมาเป็นแนว Naked -Touring ซึ่งได้วางตำแหน่งพักเท้าต่ำกว่า แถมกางออกมากกว่า และเลื่อนไปด้านหน้ามากกว่ารุ่น GT ทำให้ท่าทางการวางขาเป็นแบบรถเน็กเก็ตเลยล้ะ ประกอบกับตัวถังน้ำมันและเบาะนั่งที่กว้างกว่าเล็กน้อยทำให้การวางตำแหน่งของขาและเท้าเป็นแบบรถทัวร์ริ่งเลย
ตำแหน่งท่านั่งของ Royal Enfield Interceptor ถูกวางให้มีความสบายมากกว่าตัว GT อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งของพักเท้าที่เลื่อนไปด้านหน้ามากกว่า เบาะนั่งที่สูงกว่าเล็กน้อย แฮนที่เป็นแบบแฮนบาร์ยกสูง ดึงเข้าหาตัวคนขับ ทำให้ท่าทางการขับขี่ออกไปแนวรถเน็กเก็ตกึ่งๆ ทัวร์ริ่งเลยทีเดียว เพราะด้วยตำแหน่งท่านั่งนี่เอง ทำให้การควบคุมรถทำได้ง่ายมากอย่างไม่น่าเชื่อ สามารถพลิกรถไปมาได้อย่างคล่องแคล่วมากๆ ประกอบกับตำแหน่งท่านั่งที่ผ่อนคลายกว่ารุ่น GT ทำให้ตัว Interceptor นี้สามารถขับขี่ในระยะทางทดสอบกว่า 200 กิโลเมตรได้อย่างสบายๆ
Royal Enfield Interceptor 650 ใช้เครื่องยนต์ที่ดีที่สุดของค่าย
Royal Enfield Interceptor 650 เครื่องยนต์ตัวเดียวกับรุ่น GT ทุกประการ ยังคงอัตราเร่งจัดจ้านมากๆ เช่นเดิม โดยผมได้ทำการทดสอบอัตราเร่งในช่วง 0-100 กม./ชม. พบว่ารถใช้เวลาในการขึ้นไปที่ความเร็ว 100 กม./ชม. ในช่วง 3-4 วินาทีเท่านั้น เนื่องด้วยแรงบิดของเครื่องยนต์ตัวนี้จะมาสูงมากๆ ตั้งแต่รอบเครื่องยนต์เพียง 2,500 รอบเท่านั้นเอง ทำให้ตัวรถสามารถสร้างอัตราเร่งที่สูงมากได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะแรงบิดในการส่งขึ้นทางชันทำได้ดีมาก ด้วยพละกำลังที่มาตั้งแต่รอบต่ำ ทำให้การขึ้นทางชันนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย
ส่วนเรื่องรอบเครื่องยนต์ ณ ความเร็วต่างๆ ทางผมได้ทดสอบมาอยู่ 4 ช่วงความเร็ว ได้แก่
- 80 กม./ชม. ที่ 3,500 รอบ/นาที
- 100 กม./ชม. ที่ 3,900 รอบ/นาที
- 120 กม./ชม. ที่ 4,800 รอบ/นาที
- 140 กม./ชม. ที่ 5,200 รอบ/นาที
ส่วนความเร็วสูงสุดเท่าที่ทดสอบได้ อยู่ที่ 160 กม./ชม. ที่รอบเครื่องยนต์ 6,700 รอบ/นาที ซึ่งจะเห็นว่าการทดสอบรถคันนี้ได้ความเร็วน้อยกว่าตัว GT
สาเหตุคือ เนื่องด้วยวันที่ทดสอบ มีสภาพอากาศที่หนาวเย็นจัดต่ำกว่า 10 องศา ในเส้นทางตรงเรียบทะเล ประกอบกับลมแรงมาก อาจเกิดอันตรายได้ จึงได้ทำการทดสอบไว้เพียงเท่านี้ แต่อย่างไรก็ตาม ตัวรถทั้ง 2 ยังคงใช้เครื่องยนต์เดียวกัน เรดไลน์ของรถรุ่นนี้อยู่ที่ 7,500 รอบ/นาที ผมเชื่อว่าหากมีระยะทางให้ลองทดสอบได้ไกลมากพอ และสภาพอากาศเป็นใจน่าจะเห็นตัวเลขความเร็วสูงสุดมากกว่านี้แน่นอน
จุดเด่นของ Interceptor เห็นจะเป็นเรื่องการเข้าโค้งนี่แหละ การเข้าโค้งที่พับไปมาต่อเนื่องด้วยความเร็วสูงทำได้เป็นอย่างดี เนื่องด้วยตัวรถถูกออกแบบมาในแนวเน็กเก็ตอยู่แล้ว และใช้แฮนบาร์ในการควบคุมรถ สำหรับผู้ที่เสพติดการเข้าโค้งบอกเลยว่าคันนี้เล่นโค้งสนุกมากกกกกก (ก ไก่สัก 100 ตัว ยกกำลังสอง)
ตัวรถสามารถพับโค้งอย่างต่อเนื่องได้อย่างรวดเร็ว ว่องไว ประกอบกับเครื่องยนต์ที่แรงบิดสูง ทำให้การส่งตัวออกจากโค้งทำได้อย่างง่ายดาย
ช่วงล่าง
ช่วงล่างของ Royal Enfield Interceptor 650 ทำงานได้ดีมากๆ โช๊คอัพทำงานได้อย่างนุ่มนวล ซับแรงกระแทกจากเนินและหลุมบั้มพ์ต่างๆ ที่มีค่อยข้างเยอะบนถนนในอุทยานฯ ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะช่วงที่มีการทำถนนใหม่ที่มีเนินบั้มพ์ค่อนข้างเยอะ ก็สามารถผ่านไปได้อย่างง่ายๆ
การเข้าโค้งด้วยความเร็วถึง 120 กม./ชม.จัดว่าไม่มีปัญหา สร้างความมั่นใจได้ ยิ่งถ้าโค้งพับต่อๆ กัน ยิ่งสนุกมากกว่าเดิมเสียอีก
ประกอบกับยางติดรถที่ให้มาคือ Pirelli Phantom Sportcomp ที่มีความสามารถในการยึดเกาะที่ดีบอกเลยว่าตลอดการทดสอบทั้งวันกว่า 200 กิโลเมตรบนทางดำที่มีอุณหภูมิแตกต่างกันสูงมากตั้งแต่ 12 ถึง 25 องศาเซลเซียส แถมเจอทางกรวดลอยอีก ก็ไม่พบอาการลื่นใดๆ
ข้อสังเกตุ
เนื่องด้วยตัวรถเป็นแบบควบคุมด้วยแฮนบาร์ ทำให้ท่าทางการขับขี่เป็นแบบกางแขนออกมากว้างกว่ารุ่น ส่งผลให้การขับขี่ด้วยความเร็วสูง ผู้ขับขี่จะต้องปะทะกับลมมากสักหน่อย
ในส่วนของหน้ายางทั้งด้านหน้าและด้านหลังมีขนาดไม่กว้างมากนัก โดยตัวรถแนวนี้มักจะถูกนำไปคัสต้อมโดยปกติ เชื่อว่าต้องมีหลายๆ คน นำไปเปลี่ยนยางหลังให้ใหญ่ขึ้นกันแน่นอน โดยจากการคาดคะเนของผมแล้วน่าจะได้ถึงไซส์ 160 กันเลยล้ะ ทั้งนี้ต้องลองก่อนนะครับ เพราะตัวรถทดสอบที่นำมาให้ลองกัน ใช้ยางขนาด 130 เท่านั้นเอง
สรุป
Royal Enfield Interceptor 650 เป็นรถบิ๊กไบค์ขนาดกลางที่มีแรงบิดจัดจ้านเร้าใจเป็นอย่างมาก เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความเร็วบนรถแบบคลาสสิก ซึ่งตัวรถมีน้ำหนักไม่สูงมากนัก มีราคาไม่แพง และคบำรุงรักษาต่ำ เหมาะสำหรับผู้ใช้งานรถจักรยานยนต์ทั้งที่มีประสบการณ์ไม่สูงมากนักก็สามารถควบคุมรถได้อย่างสบายๆ
สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ขับขี่สูง คงต้องการประสิทธิภาพของรถมากยิ่งขึ้น อาจจะเปลี่ยนยางให้มีหน้ากว้างมากขึ้น เพื่อรองรับองศาการเข้าโค้งที่มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ราคา Royal Enfield Interceptor 650
สำหรับราคาวางจำหน่ายดังกล่าวนี้ จะเป็นราคาในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยราคาจะคำนวณเป็นเงินไทยให้แล้วเรียบร้อย ซึ่ง Royal Enfield Interceptor 650 เปิดราคารุ่นเริ่มต้นอยู่ที่ 192,000 บาท รุ่นคัสต้อม 200,000 บาท และรุ่นสีโครเมี่ยม 215,000 บาท ท่านที่สนใจสามารถชมตัวจริงได้แล้วที่ตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ Royal Enfield ทั่วประเทศ
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ที่ Autospinn.com
ซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ต้องที่ ตลาดรถมือสอง One2car ซื้อรถง่าย ขายรถไว ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน
ความคิดเห็น