ฟิล์มติดรถยนต์ ยี่ห้อไหนดี 2025 ประเภทไหนตอบโจทย์คุณที่สุด Share this
Lifestyle
โหมดการอ่าน

ฟิล์มติดรถยนต์ ยี่ห้อไหนดี 2025 ประเภทไหนตอบโจทย์คุณที่สุด

Chuenkamon Phasuk
โพสต์เมื่อ 3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ฟิล์มรถยนต์ มีกี่ประเภท ยี่ห้อไหนเหมาะกับคุณที่สุด พร้อมวิธีเลือก ฟิล์มติดรถยนต์ ให้โดนใจ ดูค่าอะไรถึงรู้ว่าฟิล์มกรองแสงรถยนต์ยี่ห้อนี้ดี

คลิกอ่านเฉพาะหัวข้อที่คุณสนใจ

ติดฟิล์มรถยนต์ ยี่ห้อไหนดี

ติดฟิล์มรถยนต์ยี่ห้อไหนดี 2568

ฟิล์มติดรถยนต์ คือ ฟิล์มกรองแสงที่ออกแบบมาเพื่อติดตั้งบนกระจกรถยนต์โดยเฉพาะ นอกจากจะช่วยลดความร้อนและถนอมวัสดุภายในรถ ยังช่วยป้องกันรังสี UV ที่เป็นอันตราย ลดอันตรายจากอุบัติเหตุที่ทำให้กระจกแตก ทั้งยังถนอมสายตา ช่วยขับขี่ได้สบายตามากขึ้น

แต่ถ้าคุณอยากรู้ว่า ฟิล์มรถยนต์ ยี่ห้อไหนดี Autospinn แนะนำ 3 ยี่ห้อนี้เลย

1. ฟิล์มติดรถยนต์ Lamina

Lamina เป็นหนึ่งในยี่ห้อฟิล์มกรองแสงรถยนต์ที่ได้รับความนิยมสูงในประเทศไทย ด้วยคุณภาพและประสิทธิภาพที่น่าสนใจ จึงทำให้เป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ มีฟิล์มรถยนต์มากถึง 9 ซีรีส์ มากกว่า 60 รุ่น ว่าแต่ฟิล์มลามิน่า รุ่นไหนดี ขอแนะนำรุ่นต่อไปนี้

Lamina Digital Pop Boost Series

เนื้อฟิล์มระดับอนุภาคเมทัลลิคอัลลอยบริสุทธิ์ 100% ปลอดสนิม ลดความร้อนจากแสงแดดจริงได้สูงขึ้นถึง 60%

ราคาบานหน้ารวมรอบคันเริ่มที่ 9,500 บาท

Lamina Digital Mystery Boost

เหมาะกับคนที่ขับกลางแดดบ่อย ๆ มีเทคโนโลยี DigitalBoost® ช่วยบูสต์สัญญาณดิจิทัลให้เร็ว แรง และเสถียรมากขึ้นกว่าเดิม

ราคารอบคันรวมบานหน้าเริ่มต้น 13,800 บาท

Lamina Digital Ceramic Iris Boost

มาพร้อม 3 นวัตกรรมสุดล้ำ คือ AntiSolar+ กันร้อน กันยูวี, DigitalBoost  รองรับสัญญาณดิจิทัลทุกชนิด และ NanoClear เนื้อฟิล์มชนิดใหม่ สวยเข้มภายนอก เคลียร์ชัดภายใน

ราคารอบคันรวมบานหน้าเริ่มต้น 15,000 บาท

Lamina Digital CM ONE Boost

ใช้นวัตกรรมอนาคต Nano DigitalHybrid 100% เคลียร์ขึ้น ชัดขึ้น สวยขึ้น พร้อมผนึกเทคโนโลยี DigitalBoost® ตอบโจทย์ยานยนต์ยุค 5G

ราคารอบคันรวมบานหน้าเริ่มต้น 21,900 บาท

Lamina Digital Ceramatrix Safety

ฟิล์มเซรามิกนิรภัย หนา 4 มม. เน้นป้องกันการโจรกรรมและความเสียหายจากภัยธรรมชาติ เข้มนอกชัดใน กันความร้อน กันทุกรังสี รองรับทุกสัญญาณดิจิทัล

ราคารอบคันและบานหน้าเริ่มต้น 31,000 บาท

2. ฟิล์มรถยนต์ Hi-Kool

ฟิล์มกรองแสงเป็นอีกหนึ่งยี่ห้อที่อยากแนะนำ ด้วยมาตรฐานของอเมริกา ฟิล์มจึงมีคุณภาพสูง ราคาคุ้มค่า ทุกรุ่นรับประกันนานถึง 7 ปี มีให้เลือกหลายรุ่นตามความต้องการ เช่น

R Series

R Series เป็นฟิล์มกรองแสง Hi-Kool ในตำนาน มีมานานกว่า 30 ปี รุ่นนี้จะเป็นฟิล์มเคลือบโลหะที่มีคุณสมบัติกันความร้อนได้สูง

เคลือบฟิล์มด้วยวิธี Sputtering โดยใช้พลังปรมาณูยิงไปยังโลหะภายใต้สภาพสุญญากาศ ทำให้โลหะจะเรียงตัวทีละอะตอม มีความละเอียด แน่นหนา และทนทาน มี 3 โทนสีให้เลือก คือ โทนเทา โทนเขียว และโทนฟ้า

UV CARE

ฟิล์มกรองแสงเซรามิกเกรดพรีเมียมที่ใช้นวัตกรรม "SUPER CLEAR PLUS Technology" หลอมฟิล์มหลายชั้นเข้าด้วยกันโดยไม่ใช้กาว

  • ป้องกันรังสี UV400 ต้นเหตุของผิวเหี่ยวย่น กระ ฝ้า และมะเร็งผิวหนังได้ 100%

  • ป้องกันแสงฟ้า ต้นเหตุจอประสาทตาเสื่อมได้ 98% สูงสุดในปัจจุบัน

  • ไม่ขัดขวางสัญญาณ Easy Pass และ GPS

  • สะท้อนแสงต่ำ ลดความร้อนได้ดี

  • ใส เคลียร์ ไม่ซีดจาง

Black Carbon

ฟิล์มติดรถยนต์ Hi-Kool รุ่นนี้ทำจากคาร์บอนที่มีขนาดเล็กในระดับนาโน (10-9m) ตอบโจทย์คนที่ชอบฟิล์มโทนดำดุ ๆ เพราะไม่ค่อยมันวาว 

  • ดำสนิทจากภายนอก ใสเคลียร์จากภายใน

  • ป้องกัน UVA และ UVB สาเหตุของมะเร็งผิวหนังได้ 99.99%

  • ป้องกันความร้อนจากแสงแดดสูงสุด 75%

  • ป้องกันรังสี Infrared สูงสุด 80%

  • ไม่รบกวนสัญญาณดิจิทัลทุกชนิด

  • สะท้อนแสงต่ำ ไม่รบกวนทัศนวิสัยในการขับขี่บนท้องถนน

BEYOND CERAMIC

รุ่นนี้เป็นฟิล์มเซรามิกติดรถยนต์ของ Hi-Kool ที่เหนือกว่าฟิล์มเซรามิกที่เคยมี เพราะผสาน Nano Ceramic สารป้องกัน UV และ IR เข้าเป็นเนื้อเดียวกันกับเนื้อฟิล์ม ทำให้ฟิล์มทนทาน ใช้งานได้นานขึ้น ทั้งยังมอบทัศนวิสัยในการขับขี่คมชัดยิ่งขึ้น

  • ป้องกันรังสี UV ได้ถึง 99%

  • ป้องกันความร้อนจากรังสีอินฟราเรด (IR) สูงถึง 97% 

  • ช่วยลดแสงจ้า ถนอมสายตา และเพิ่มทัศนวิสัยในการมองเห็น 

  • ปกป้องอุปกรณ์ภายในรถยนต์ไม่ให้ซีดจาง เสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนด 

  • ช่วยประหยัดพลังงาน ลดการทำงานหนักของเครื่องปรับอากาศ

  • ไม่กีดกั้นสัญญาณ Easy Pass* หรือ GPS

3. ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ 3M™

ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ 3M™ เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของคุณภาพและประสิทธิภาพในการป้องกันความร้อนและรังสี UV นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีที่หลากหลาย ทำให้มีฟิล์มให้เลือกหลายรุ่น เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของผู้บริโภค ปัจจุบันมีให้เลือก 4 ซีรีส์ ได้แก่

XP Series

  • ลดความร้อนจากแสงอาทิตย์โดยรวม (TSER) สูงสุดถึง 65%

  • ลดความร้อนจากรังสีอินฟราเรด (IRR) สูงสุดถึง 35%

  • ป้องกันรังสียูวี (UVR) สูงสุด 99.9%

  • แสงส่องผ่าน (VLT) เพียง 4% - 65%

  • ลดแสงจ้าสูงสุด 95%

Ceramic IM Series

  • ลดความร้อนจากแสงอาทิตย์โดยรวม (TSER) สูงสุดถึง 65.5%

  • ลดความร้อนจากรังสีอินฟราเรด (IRR) สูงสุดถึง 82%

  • ป้องกันรังสียูวี (UVR) สูงสุด 99.9%

  • แสงส่องผ่าน (VLT) เพียง 7.1% - 62.3%

  • ลดแสงจ้าสูงสุด 90.2%

  • ไม่บล็อกสัญญาณสื่อสาร

Ceramic IR Series

  • ลดความร้อนจากแสงอาทิตย์โดยรวม (TSER) สูงสุดถึง 66%

  • ลดความร้อนจากรังสีอินฟราเรด (IRR) สูงสุดถึง 95%

  • ป้องกันรังสียูวี (UVR) สูงสุด 99.9%

  • แสงส่องผ่าน (VLT) เพียง 5% - 64%

  • ลดแสงจ้าสูงสุด 93%

  • ไม่บล็อกสัญญาณสื่อสาร

  • ได้รับคำแนะนำจากสถาบันมะเร็งผิวหนัง

Crystalline Series

  • ลดความร้อนจากแสงอาทิตย์โดยรวม (TSER) สูงสุดถึง 64%

  • ลดความร้อนจากรังสีอินฟราเรด (IRR) สูงสุดถึง 99%

  • ป้องกันรังสียูวี (UVR) สูงสุด 99.9%

  • แสงส่องผ่าน (VLT) 17% - 72%

  • ลดแสงจ้าสูงสุด 77%

  • ไม่บล็อกสัญญาณสื่อสาร

  • ได้รับคำแนะนำจากสถาบันมะเร็งผิวหนัง

ฟิล์มติดรถยนต์มีกี่ประเภท

ฟิล์มติดรถยนต์มีให้เลือกหลายประเภท ซึ่งคุณภาพและราคาก็จะแตกต่างกันไป สำหรับบทความนี้ Autospinn แบ่งได้ประเภทฟิล์มกรองแสงรถยนต์เป็น 7 ประเภท ได้แก่

1. ฟิล์มติดรถยนต์ แบบย้อมสีหรือย้อมดำ

ฟิล์มรถยนต์ประเภทนี้จะใช้การย้อมสีดำแล้วฉาบลงบนผิวหน้าฟิล์ม เทคโนโลยีการผลิตไม่ได้ซับซ้อนเท่าไรนัก แต่ก็พอช่วยกรองแสงได้บ้าง

  • กันความร้อนได้น้อย

  • ป้องกันรังสี UV ไม่ได้

  • ซีดจางง่ายหากโดนแดดเป็นเวลานาน

  • ราคาถูกเมื่อเทียบกับฟิล์มชนิดอื่น ๆ

  • อายุการใช้งานค่อนข้างสั้น ส่วนใหญ่ประมาณ 1 ปี

2. ฟิล์มติดรถยนต์เคลือบโลหะ (ฟิล์มปรอท)

ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ประเภทนี้จะใช้โลหะ เช่น อะลูมิเนียม เงิน อัลลอย หรือทองแดง ผนึกลงในเนื้อฟิล์มเพื่อกันความร้อนเข้ามาภายในรถ แล้วที่เรียกว่า “ฟิล์มปรอท” ก็เพราะว่าเวลาสะท้อนแสง มองแล้วเหมือนสีของปรอทนั่นเอง

  • ป้องกันความร้อนได้ดีมาก เทียบเท่าฟิล์มเซรามิก

  • ช่วยให้รถดูใหม่ขึ้น เพราะมีความเงามาก แต่ก็สะท้อนแสงมากเช่นกัน

  • มีหลากหลายโทนสีให้เลือก เช่น สีฟ้า สีเขียว สีชา สีเทา สีดำ

  • ราคาปานกลาง ไม่แรงมาก

  • สัญญาณดิจิทัลอาจสะดุดบ้าง เพราะโลหะจะรบกวนสัญญาณต่าง ๆ แนะนำให้เลือกรุ่นที่มีสัญลักษณ์ Easy Pass OK จะช่วยได้ในระดับหนึ่ง

  • แสงมักจะสะท้อนเข้าตาคนอื่น ควรเลือกรุ่นที่ค่าการสะท้อนไม่สูงเกินไป

ฟิล์มติดรถยนต์เคลือบโลหะ (ฟิล์มปรอท)

3. ฟิล์มคาร์บอน (ฟิล์มชาโคล)

ฟิล์มคาร์บอนถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่ออุดข้อเสียของฟิล์มปรอท มีการผนึกถ่าน (Charcoal) ลงไปในเนื้อฟิล์มเพื่อเพิ่มคุณสมบัติในการกันความร้อน แต่ด้วยถ่านมีส่วนทำให้ฟิล์มสีเข้ม ความใสเลยน้อยกว่าฟิล์มเซรามิกนิดหน่อย แต่ก็มีคุณสมบัติหลายอย่างที่ใกล้เคียงกัน เช่น

  • ไม่ปิดกั้นสัญญาณดิจิทัล

  • อายุการใช้งานนานถึง 10 ปี ทนต่อการขีดข่วน

  • สีฟิล์มไม่ซีดจางตามกาลเวลา

  • กันความร้อนได้ดีพอ ๆ กับฟิล์มเซรามิกแท้

  • ราคาไม่สูงเท่าฟิล์มเซรามิก

4. ฟิล์มเซรามิก

ฟิล์มเซรามิกใช้วิธีการเคลือบฟิล์มแบบ Magnetron Sputtering ซึ่งเป็นการฝังอณูนาโนเซรามิกเข้าไปในชั้นเนื้อฟิล์ม จึงมีคุณสมบัติยืดหยุ่น ทนทาน กันความร้อนได้ดี ไม่มันวาวและสะท้อนตรงคอนโซล กลายเป็นฟิล์มกรองแสงรถยนต์ที่ได้รับความนิยมสูงในปัจจุบัน เพราะมีคุณสมบัติที่พิเศษกว่าฟิล์มรถยนต์ทั่วไป คือ

  • มืดข้างนอก สว่างข้างใน เหมาะกับคนที่รักความเป็นส่วนตัว แต่อยากเห็นภายนอกแบบชัด ๆ

  • สีดำด้าน เงาน้อย เพราะใช้อณูนาโนเซรามิกเป็นสารกันความร้อน ไม่ใช่โลหะเลยไม่เงา

  • กันความร้อน, รังสี UV, และรังสีอินฟราเรด (IR) ได้สูงเกือบ 100% ถนอมสุขภาพผิวและดวงตา

  • ทนทาน ใช้งานได้นาน เพราะใช้วิธีการผลิต Magnetron Sputtering

  • รองรับทุกสัญญาณดิจิทัลได้ทุกชนิด เพราะเซรามิกเป็นอโลหะ จึงไม่รบกวนการรับ-ส่งสัญญาณ

5. ฟิล์มรถยนต์แบบใสกันร้อน

ฟิล์มติดรถยนต์ประเภทนี้จะใสมาก แต่คุณสมบัติในการกันความร้อนก็สูงมากเช่นกัน กระบวนการผลิตจะซับซ้อนกว่าฟิล์มทั่วไป มีการผนึกสารกันความร้อนคุณภาพสูงเอาไว้ ส่วนใหญ่นิยมติดรถคลาสสิกหรือรถ Premium Luxury ที่ต้องการโชว์การตกแต่งภายในรถยนต์มากกว่า

  • ป้องกันรังสี UV ได้ แม้จะใสมาก ๆ

  • มองเห็นวิวภายนอกได้ชัดเจน ไม่บดบังทัศนวิสัยในการขับขี่

  • รุ่นที่ผนึกโลหะลงไปในเนื้อฟิล์มจะไม่ค่อยรองรับสัญญาณดิจิทัลเท่าไร

  • รุ่นที่ผนึกถ่านหรือเซรามิกจะรองรับสัญญาณดิจิทัลได้ 100% 

6. ฟิล์มติดรถยนต์นิรภัย

ฟิล์มติดรถยนต์นิรภัยถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้โดยสารและทรัพย์สินภายในรถโดยเฉพาะ ไม่ว่าจากการโจรกรรม พายุ แผ่นดินไหว หรือระเบิด เนื้อฟิล์มจะหนากว่าฟิล์มติดรถยนต์ประเภทอื่น 2-4 เท่า หรือมีความหนาประมาณ 4 mm. หรือ 100 ไมครอนขึ้นไป เพราะมีการเพิ่มชั้นโพลีเอสเตอร์และปริมาณกาวชนิดพิเศษที่เหนียวแน่นกว่าฟิล์มชนิดอื่น

  • กันความร้อนได้ปานกลาง

  • ป้องกันรังสี UV ได้มากถึง 99%

  • เลือกได้หลายสี หลายชนิด

  • ฟิล์มติดอยู่ด้านนอก ถ้าตากแดดตากฝนบ่อย ๆ อายุการใช้งานของฟิล์มจะสั้นลง

7. ฟิล์มดิจิทัล

ฟิล์มดิจิทัล คือ ชื่อเรียกฟิล์มกรองแสงที่มีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการผ่านของสัญญาณดิจิทัลยุคใหม่ ซึ่งเหมาะกับ Smart Car ส่วนใหญ่จะใส่เทคโนโลยีนี้ในฟิล์มโลหะและฟิล์มเซรามิก

เลือกฟิล์มติดรถยนต์ ต้องดูค่าอะไรบ้าง

นอกจากประเภทฟิล์มรถยนต์ เราสามารถเลือกฟิล์มกรองแสงรถยนต์โดยดูค่าเหล่านี้ควบคู่ไปด้วยได้

  1. ค่าแสงส่องผ่าน (Visible Light Transmission : VLT) ยิ่งน้อย แปลว่าแสงผ่านเข้ามาในรถน้อย

  2. ค่าการสะท้อนแสง (Visible Light Reflection : VLR) ยิ่งมาก ฟิล์มยิ่งเงา = สะท้อนแสงมาก

  3. ค่าการลดรังสี UV (UV Rays Rejection : UVR) ยิ่งมาก ยิ่งดีต่อผิว

  4. ค่าการลดความร้อนจากแสงแดด (Total Solar Energy Rejection : TSER) เป็นค่าในการป้องกันความร้อนโดยรวมจากแสงแดด ทั้งจากรังสี UV, แสงสว่าง (Visible Light) และอินฟราเรด (IR) ยิ่งสูง ยิ่งกันความร้อนได้ดี

  5. ค่ากันร้อนจากรังสีอินฟราเรด (Infrared Rays Rejection : IRR) ยิ่งสูง ยิ่งดี แต่ค่านี้สามารถทดสอบให้ได้ % สูง ๆ ได้ง่าย เพียงแค่ใช้หลอดไฟอินฟราเรด แนะนำให้ดูค่า TSER จะครอบคลุมมากกว่า

การเลือกฟิล์มติดรถยนต์เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ ความต้องการ และคุณสมบัติของฟิล์ม การศึกษาข้อมูลและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้คุณเลือกฟิล์มที่เหมาะสมกับรถของคุณมากที่สุด


 

อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ที่ Autospinn.com 

ซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ต้องที่ ตลาดรถมือสอง one2car ซื้อรถง่าย ขายรถไว ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ