Update: ชมวิดีโอรีวิว Mazda 2 Sedan ได้ที่นี่ครับ click
Mazda2 Sedan ได้เปิดตัวในตลาดเมืองไทยมานานหลายสัปดาห์แล้ว แต่กระแสยังคงแรงต่อเนื่องจากจำนวนคนเข้าชมบทความของ Mazda2 ใน AutoSpinn รวมทุกบทความมากกว่า 3 แสนครั้ง รวมถึงยอดขายถล่มทลายสำหรับเวอร์ชั่นแฮทช์แบ็ค AutoSpinn ได้มีโอกาสทำการขับทดสอบ Mazda 2 Sedan รุ่น Maxx Sports เป็นเวลาหลายต่อหลายวัน โดยใช้เวลา 1 วันเต็มในการทดสอบอย่างเป็นทางการในระยะทางไปกลับกรุงเทพฯ-หัวหิน โดยมีผู้ขับทดสอบหลัก 3 ท่าน (ป้อง เทพ และ Ed) และบุคคลทั่วไปอีก 3-4 ท่าน เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะได้ข้อมูลที่สะท้อนความเป็นจริงมากที่สุด
[singlepic id=23499 w=490 h=380 float=center]
การทดสอบครั้งนี้นำทีมโดยคุณป้องและคุณเทพ ที่ทำการขับทดสอบอย่างเป็นทางการโดยมีการถ่ายทำวิดีโอซึ่ง AutoSpinn จะทำการนำเสนอในครั้งต่อไป ก่อนการถ่ายทำผมและทีมงานบางท่านได้ทำการขับทดสอบไปก่อนแล้วเพื่อให้ได้มุมมองและข้อมูลที่หลากหลาย ซึ่งข้อมูลต่างๆก็ได้สะท้อนออกมาในบทความต่อจากนี้ สำหรับในเรื่องของรูปลักษณ์ โดยส่วนตัวผมกลับชอบด้านท้ายของตัวรถที่ค่อนข้างจะยกสูงเมื่อเปรียบเทียบกับรถทั่วไป ในขณะที่หลายคน(ส่วนใหญ่ที่เคยเจอ และความเห็นที่แตกต่างของทีมงานของเรื่องรูปโฉมในจุดนี้) อาจจะไม่คุ้นเคยหรือรู้สึกแปลกกับรูปทรงนี้ แต่สำหรับผมแล้ว ถือว่า่เป็นความชอบโดยส่วนตัว ที่มองว่าาการออกแบบในลักษณะนี้จะช่วยให้รถดูสมดุลย์ในสไตล์สปอร์ทมากกว่ารถธรรมดาทั่วไป อย่างไรก็ตามเราจะได้เห็นภาพรถคันจริงวิ่งบนถนนหลังจากที่เราได้ทำการตัดต่อวิดีโอเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งเราคิดว่าข้อมูลต่างๆที่รอบด้าน ตลอดจนวิดีโอของการขับทดสอบจะเป็นประโยชน์ให้ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย สำหรับวันนี้เราลองอ่านรีวิวซึ่งเรียบเรียงโดยคุณป้องและคุณเทพกันก่อนว่า การขับทดสอบเป็นอย่างไรบ้าง
[singlepic id=23516 w=490 h=380 float=center]
Car: Mazda 2 Sport Sedan 4 Doors
Type: Maxx Sports
Engine: MZR 1.5 DOHC-16Valve
Gear: 4 Speed Automatic
Color: Grey
หาคู่....แบบชีวิตอิสระ
วันสบายๆ กับท้องฟ้าสีคราม .. วันนี้เป็นอีกวันที่ผมรู้สึกกระตือรือล้นและอยากจะตื่นเช้าเป็นพิเศษ เพื่อที่จะได้มาเตรียมตัวแพ็คกระเป๋าแล้วเดินทางไปเที่ยวใช้ชีวิตอิสระๆ ตามภาษาวัยรุ่นอย่างพวกผม และแน่นอนครับ วันนี้ผมมีอะไรพิเศษๆ พร้อมกับความรู้สึกและประสบการณ์ที่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง มาถ่ายทอดให้ทุกคนได้อ่านกันอย่างเต็มที่ในคอลัมน์นี้
[singlepic id=23515 w=490 h=380 float=center]
สำหรับการ Test Drive ในวันนี้ ผมมีพาหนะคู่ใจ 4 ล้อที่จะมาร่วมเดินทางไปกับผมและเพื่อนๆด้วย นั้นก็คือรถยนต์จากค่าย Mazda แต่ไม่ใช่เจ้า Mazda RX 8 สปอร์ตพันธุ์ดุ หรือ MX-5 สปอร์ต Roadster หรือแม้แต่ Mazda 3 Hatchback 5 ประตู สีขาวแต่งเรียบๆ คันที่ผมใช้ดำเนินชีวิตอยู่นะครับ แต่รถคันนี้เป็นรถรุ่นที่กำลังได้รับความนิยมในท้องตลาดเป็นอย่างมากในปัจจุบัน และถือได้ว่าเป็นน้องเล็กแต่จิ๊ดได้ใจจากค่าย Mazda ที่ออกมายั่วน้ำลายคนทั้งประเทศกันอีกครั้งนั่นก็คือ Mazda 2 ในแบบ Sport Sedan 4 ประตู ไงล่ะครับ
[singlepic id=23517 w=490 h=380 float=center]
นัดเจอ....รักแรกพบ
แว้บแรกที่เห็นน้องสอง (อย่าพึ่งงงไปนะครับ น้อง 2 ก็คือเจ้า Mazda 2 คันนี้นี่แหละครับ...ผมขออนุญาตเรียกเป็นชื่อเล่นแล้วกันนะครับ) หลังจากเปิดประตูบ้านออกมา และเดินเข้าไปใกล้ๆแล้ว ผมแอบคิดในใจว่า เออหน้าตาสวยดีนะ แต่งหน้าแต่งตามาซะเฉี่ยวเลย พอมองด้านข้าง ก็เออน่ารักดีนะ หุ่นเพรียว โค้งเว้าสัดส่วนใช้ได้เลยทีเดียว แต่พอตามมามองถึงด้านหลังแล้ว ผมกลับรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย เพราะดูแล้วก้นโด่งไปหน่อยไม่เหมือนกับน้องสอง Hatchback เลยที่ก้นเค้าเพรียวดูสมส่วน ก็อย่างว่าแหละครับ สเป็คใครสเปกมัน บางคนอาจจะชอบแบบก้นโด่งๆก็ได้ ฮ่าๆๆ... แต่โดยรวมแล้วเรียกได้ว่า เป็นรักแรกพบเลยทีเดียวครับ
[singlepic id=23507 w=490 h=380 float=center]
ทำความรู้จัก....Zoom Zoom ทั้งภายนอกและภายใน
ผมลองนึกย้อนไปทบทวนถึงรายละเอียดต่างๆของน้องสอง ที่ผมได้เข้าไปศึกษาถึงรายละเอียดของตัวรถจากทั้งในโบวชัวร์ และจากการนั่งหาข้อมูลใน Internet ก็พบว่ามีจุดเด่นที่น่าสนใจอยู่หลายจุดด้วยกัน วันนี้ผมจะขอลองด้วยตัวเองและจะขอมาเล่าให้ทุกคนได้รู้ถึงความรู้สึกที่ผมมีกับน้องสอง ทั้งภายในและภายนอกแบบใกล้ชิดกันเลยนะครับ...
เริ่มจาก ZOOM ZOOM ภายนอกก่อนแล้วกัน...
ถ้าถามว่าสวยไหม??...ก็ขอตอบว่าแบบฮัมเป็นเพลงว่า "เธอสวย ทุกนาทีที่ได้สัมผัส"
ก่อนอื่นก็ต้องขอชมเชยทีมงาน Design ที่ได้นำแนวคิด “Flow Design” หรือแปลเป็นไทยประมาณว่า “สง่างามและสะท้อนให้เห็นถึงพลังความเคลื่อนไหว” ก่อนเลย ไม่รู้นะถ้าถามผม ผมชอบไฟหน้าที่เฉี่ยวแบบเกินห้ามใจรวมถึงการออกแบบกระจังหน้าและเสริมด้วยโลโก้ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Mazda มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว มันดูเท่ดี และตั้งแต่ น้องสาม จนมาถึงน้องสองทั้งในแบบ Hatch Back 5 ประตู และ ตัว Sport Sedan 4 ประตู ก็ไม่เคยทำให้ผมผิดหวังเลย ด้านล่างของกระจังหน้าก็ยังคงมีไฟตัดหมอกดวงกลมพร้อมกรอบสวยเท่ทั้งซ้ายและขวา เพื่อเป็นตัวช่วยในเวลาที่ต้องการส่องสว่างในยามค่ำคืนอีกด้วย ไฟเลี้ยวด้านซ้ายและขวาที่ขนาบไปพร้อมกับไฟหน้าทำให้ทุกอย่างดูเป็นชิ้นเดียวกัน และด้วยฝากระโปรงหน้าที่เน้นส่วนเว้าด้านข้างที่ถูกรองรับด้วยซุ้มโป่งของล้อหน้าทำให้รถดูมีมิติขึ้นมาในทันที
[singlepic id=23509 w=490 h=380 float=center]
แอบมาดูด้านข้างกันบ้าง เริ่มจากกระจกมองข้างที่สมส่วน มุมมองเวลาที่มองจากคนขับถือว่าใช้ได้ มองเห็นทัศนวิสัยได้อย่างดี แต่ผมว่าถ้าใหญ่กว่านี้อีกนิดนึงจะถือว่าเยี่ยมมากเลย ถัดมาคือปุ่มตรงที่มือจับประตู ที่ในรถรุ่นใหม่ๆเริ่มนิยมกันมากขึ้น ซึ่งก็ใช้เป็นที่ปิดเปิดประตูได้โดยที่เราไม่ต้องหยิบรีโมทขึ้นมากดให้เสียอารมณ์เหมือนแต่ก่อน พอเหลือบมองลงมาข้างล่าง ผมก็เดินขยับเข้าไปใกล้ๆ และก้มตัวลงเพื่อสังเกตล้อแม็กอัลลอยที่มาพร้อมกับยางแบบสปอร์ต ขนาด 16 นิ้ว พร้อมยางขนาด 195/45R16 ในใจก็คิดว่า เอ!! ยางล้อมันเล็กหรือบางไปไหม แล้วความนุ่มนวลจะหายไปไหมน๊า แต่ก็เอาน่า ด้วยรุ่น Maxx Sports เค้าคงออกแบบมาดีแล้ว และในเรื่องของความหนึบและแน่นของช่วงล่างแล้ว Mazda ก็ไม่เคยเป็นรองใคร ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คงต้องลองขับกันดูล่ะครับ ว่าจะแน่แค่ไหน...
[singlepic id=23510 w=490 h=380 float=center]
เอาละครับมาต่อกันที่ด้านหลังบ้าง ผมว่าองค์ประกอบไฟท้าย ไฟเลี้ยวและไฟถอยหลัง ของน้องสองซีดานเนี่ย ดูรวมๆแล้วไม่เท่าไหร่ ไม่ค่อย Love ซักเท่าไหร่ หรืออาจเป็นเพราะก้นที่มันโด่งก็ไม่รู้นะครับ ผมเลยดูแล้วมันแปลกๆ แต่ก็อย่างที่บอกนะครับ ว่าต่างคนต่างไอเดีย.... ในส่วนของเสาอากาศวิทยุด้านบนนั้น ตำแหน่งที่วางก็คงไม่แตกต่างกับตัว Hatchback คือวางไว้ด้านหน้าของหลังคานั้นเอง
หลังจากที่เดินดูรอบๆของน้องสองจนครบถ้วนแล้ว ที่นี้ผมจะพาไปเปิดฝากระโปรงหน้า เพื่อดูในเรื่องของ หัวจิตหัวใจและพละกำลังของเครื่องยนต์ และเปิดฝากระโปรงหลังเพื่อดูว่ากว้างขวางแบบเหลือเฟือและใหญ่จริงสมคำล่ำลือจริงหรือไม่....
มาดูที่เครื่องยนต์กันก่อนกับขนาดเครื่องยนต์กะทัดรัดวางลงในห้องเครื่องแบบไม่อึดอัดจนเกินไป และด้วยพละกำลังของเครื่องยนต์ ขนาด 1,498 cc. ตามสเปกที่ระบุไว้แล้วมาลองเทียบกับขนาดและน้ำหนักของตัวรถที่มีการลดน้ำหนักลงมาแล้ว ก็คงจะพาพวกเราไปพบกับความสนุกบนท้องถนนได้อย่างแน่นอน
[singlepic id=23511 w=490 h=380 float=center]
มาถึงกระโปรงหลังกันบ้าง โอ้โห ผมคงต้องขอยืมสโลแกนจากงานดนตรีที่เจ๋งที่สุดที่ผมได้ไปมาเมื่อปีที่แล้ว อย่างงาน Big Mountain มาเลยทีเดียว เพราะว่า “มันใหญ่มาก” ใหญ่และกว้างเกินตัวจริงๆ ผมลองเอาตัวอวบๆ ของผมลงไปนอนเล่นได้อย่างสบายเลยล่ะครับ แหมเรียกได้ว่าโดนใจคนที่ชอบใส่ของไว้ในรถอย่างผมมากเลย และแถมยังสามารถพับเบาะลงเพื่อเพิ่มพื้นที่การเก็บของได้มากขึ้นยามจำเป็นอีกด้วย ส่วนตำแหน่งที่เก็บยางอะไหล่และอุปกรณ์เครื่องมือก็อยู่เป็นสัดเป็นส่วนใต้พื้นที่เก็บสัมภาระเหมือนเดิมครับ
ถึงเวลาของการ ZOOM ZOOM ภายในแล้วนะครับ..
เอาล่ะได้เวลาสำรวจภายในห้องโดยสารของน้องสองกันบ้างดีกว่า ก่อนที่ผมจะเปิดประตูและทิ้งตัวนั่งลงบนเบาะผ้าแบบสปอร์ตสีทูโทนที่ดูน่าจะทำความสะอาดได้ง่ายแล้ว สิ่งที่สังเกตได้ก็คือกุญแจแบบใหม่ (Keyless Start System) ที่เริ่มนิยมในรถสมัยใหม่ โดยไม่ต้องนำกุญแจเสียบเพื่อเปิดประตูหรือสตาร์ทเครื่องอีกต่อไป เพราะแค่ถือหรือใส่กุญแจในกระเป๋ากางเกง ผมก็สามารถเปิด- ปิดล็อกประตู ได้ด้วยปุ่มตรงมือจับของประตูทั้งสองฝั่งด้านหน้า ได้อย่างสะดวกสบาย หรือเมื่อเข้าไปในห้องโดยสารแล้ว นำกุญแจไปวางตรงไหนในห้องโดยสารก็สามารถปลุกขุมกำลังของน้องสองขึ้นมาได้ในทันที เพียงแค่ผมกดและบิดสวิตซ์เครื่องยนต์ก็สตาร์ทติดปั๊ป สะดวกจริงๆ แต่ถ้าสตาร์ทเครื่องอยู่แล้วเผลอเอากุญแจออกไปด้วย น้องสองจะร้องเรียกเตือนเราทันทีเลยครับ แหมสงสัยคงไม่อยากให้เราไปไหนไกลอ่ะ...ฮ่าๆๆ เอาล่ะมาต่อกันเลยครับ หน้าปัดสีขาวบอกการทำงานของเครื่องยนต์ที่ครบครันไปด้วยข้อมูลต่างๆที่เป็นประโยชน์กับการใช้งานบนท้องถนน พวงมาลัยมีปุ่มควบคุมการใช้งานที่ครบครัน คอนโซลที่เน้นการรวมฟังค์ชั่นทั้งหมดมารวมอยู่ตรงกลางรวมถึงตำแหน่งเกียร์ด้วย จากจุดดีตรงนี้ทำให้ผมรู้สึกไม่อึดอัดและดูรถกว้างขึ้นมาถนัดตา แต่ก็แอบคิดอีกแหละครับว่าถ้าเป็นรุ่นเกียร์ธรรมดาที่ต้องมีการเปลี่ยนเกียร์อยู่ตลอดเวลาสำหรับการขับขี่ในเมืองแล้วนั้น น่าจะเมื่อยอยู่บ้างนะเนี่ย
[singlepic id=23512 w=490 h=380 float=center]
พอเหลือบไปดูว่าช่องเก็บสัมภาระด้านหน้าที่น้องสองมีนั้นจะเป็นอย่างไร แหมก็ยังมีดีไซน์อยู่นะเนี่ย และมีการแบ่งพื้นที่หรือช่องในการเก็บเป็นสัดเป็นส่วนน่ารักเลยทีเดียว ส่วนพื้นที่ตรงประตูคนนั่งก็ยังสามารถใส่น้ำขวดและของเล็กๆน้อยได้อีกด้วย ในขณะที่ระบบแอร์นั้นยังคงความเป็นแนวคลาสสิคอยู่นิดนึงคือ ยังเป็นระบบมือหมุนอยู่ ส่วนระบบของเครื่องเล่น CD เป็นแบบมาตราฐาน 6 แผ่น ซึ่งจะมีเฉพาะในรุ่น Maxx Sport เท่านั้น เสียงโดยรวมแล้วใช้ได้ครับ และแน่นอนว่าทาง Mazda ก็ไม่ลืมในเรื่องของความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสารโดยมีระบบถุงลมนิรภัยมาให้ ครบถ้วน 2 ใบ ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
ลองหมุนซ้ายหมุนขวาเพื่อสังเกตความกว้างของพื้นที่เบาะหลังก็ถือว่าโอเค ไม่ได้ตกใจอะไรกับรถไซส์ขนาดนี้ ผมลองให้ทีมงานขึ้นนั่งด้านหลังจำนวน 3 คน ค่อนข้างอึดอัดและช่วงเพดานกับหัวคนนั่งแคบไปนิด มีอีกเรื่องนึงถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้ทาง Mazda เพิ่มเติมในส่วนของที่พักแขนจังเลย เพราะว่ามันจะทำให้คนขับมีที่พักแขนและจะรู้สึกสบายเมื่อขับทางไกลครับ แต่สิ่งที่ชอบก็คือพิ้นที่ระหว่างเบาะหน้าซ้ายขวาที่ดูโล่งมีที่วางของได้เยอะพอสมควรรวมถึงมีช่องวางแก้วน้ำด้วยอีก 1 จุด และ มีช่อง AUX สำหรับอุปกรณ์ต่อพ่วงด้วยครับ และชิ้นส่วนภายในรวมถึงการเล่นสีของวัสดุเกือบทั้งหมดที่ออกแบบมาก็ดูดีมาก สมราคาจริงๆ โดยรวมแล้วถือว่าโอเลยครับ
[singlepic id=23513 w=490 h=380 float=center]
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ หลังจากที่ได้รู้จักข้อมูลเบื้องต้นกับน้องใหม่ไฟแรงคันนี้กันแล้ว ผมว่าได้เวลาแล้วที่เราจะพาน้องสองไปโลดแล่นเพื่อทดสอบถึงสมรรถนะการขับขี่และประสิทธิภาพของระบบช่วงล่างดูว่าจะสู้เค้าได้หรือไม่....ว่าแล้วก็ไปกันเลยครับ
ทดสอบ....ลองใช้ชีวิตด้วยกัน
ก่อนที่จะออกสู่ถนนใหญ่ ผมพาน้องสองตะลุยเนินเต่าของหมู่บ้านมาซะทุกเนินเลยครับ แต่แปลกใจมากเพราะตัวรถรวมถึงตัวผมสะเทือนน้อยมาก และสิ่งที่ผมต้องขอชมก่อนเลย เผื่อลืม ก็คือ ระบบพวงมาลัยครับ หลายคนอาจสงสัยว่าทำไม? ผมบอกได้เลยครับ ว่าระบบพวงมาลัยของน้องสองที่เป็นระบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมพาวเวอร์ช่วยผ่อนแรงแบบไฟฟ้า (EPAS) นั้นทำให้ผมมั่นใจและน้ำหนักของพวงมาลัยไม่เบาจนรู้สึกโหวงเหวงแต่กลับให้ความรู้สึกที่แน่นหนึบของระบบช่วงล่างเป็นอย่างดี
[singlepic id=23518 w=490 h=380 float=center]
จากการทดสอบการออกตัว และระบบการเปลี่ยนเกียร์ ถือว่าปรู๊ดปร๊าดและตอบสนองได้ดีเยี่ยมถ้าเทียบกับรถในระดับเดียวกัน ความคล่องตัวใช้ได้สำหรับการขับขี่ในเมือง ผมให้ผ่านฉลุยครับ
แต่ยังไม่หมดแค่นี้นะครับ ผมยังคงพาน้องสองเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดกับผมด้วย และก็เป็นโอกาสดีที่ผมจะได้ทดสอบการขับขี่ทางไกลได้อีกด้วย การเดินทางในครั้งนี้ผมลองขับไปหาข้อมูลไปเพื่อดูอัตราการเร่ง การทรงตัว อัตรการกินน้ำมัน และรวมถึงระบบความปลอดภัยเป็นหลัก และจุดมุ่งหมายในครั้งนี้อยู่ที่ หัวหินครับ
ก่อนทำการทดสอบ ผมได้แวะเติมน้ำมันจนเต็มถัง ด้วยน้ำมัน E20 สนนราคาอยู่ที่ 960 บาท ซึ่งมีติดถังเดิมอยู่ 1 ขีด และจากระยะทางที่ผมใช้เดินทางทั้งหมดจาก กรุงเทพ – หัวหิน – กรุงเทพ รวมระยะทางได้ทั้งหมดคือ 375 กม. เหลือบไปดูเกจ์น้ำมันเหลือ 1 ขีดเท่าเดิม กดไปดูค่าเฉลี่ยการกินน้ำมันอยู่ที่ประมาณ 9 กิโลลิตร ซึ่งถ้าดูตัวเลขแล้วก็น่าตกใจเหมือนกันว่าทำไมกินน้ำมันอย่างนี้ แต่อย่าลืมนะครับว่าผม Test น้องสองมาเกือบตลอดทาง ทั้งเร่งทั้งเหยียบซึ่งจริงๆ แล้วผมว่าอัตราการกินน้ำมันน่าจะได้อยู่ที่ประมาณ 13 กิโลลิตรครับ
[singlepic id=23519 w=490 h=380 float=center]
*คนขับ 1 คน ตากล้อง 1 คน ไม่มีสัมภาระ
• ความเร็ว ตั้งแต่ 0 – 60 กม./ชม. ใช้เวลา 6.3 วินาที
• ความเร็ว ตั้งแต่ 0 – 100 กม./ชม. ใช้เวลา 12.3 วินาที
• ความเร็ว ตั้งแต่ 100 – 120 กม./ชม. ใช้เวลา 18.7 วินาที
[singlepic id=23522 w=490 h=380 float=center]
ซึ่งถ้ามองจากตัวเลขดังกล่าวก็คงแปลกใจอยู่บ้างว่า 0 -100 นั้นทำเวลาได้ดีเลยทีเดียวกับเครื่องยนต์ขนาด 4 สูบ 1,498 cc. 103 แรงม้า แต่ในช่วงที่ทำความเร็วไต่ระดับตั้งแต่ 100 ไปถึง 120 กม./ชม นั้นต้องใช้เวลาเกือบ 6 วินาที ก็ถือว่าเหนื่อยอยู่เหมือนกันครับ ถ้าลองเปรียบเทียบกับรถระดับใกล้เคียงกันที่ผมเคยลองมาแล้วนั้นก็ถือว่าไม่ได้โดดเด่นแซงหน้าใคร ถ้าเป็นนักเรียนก็ถือว่า เรียนดีปานกลางครับ
อัตราเร่งแซงทำได้ดีเลย แต่อย่างที่บอกแหละครับคงจะออกอาการซ่าส์บนท้องถนนไม่ได้มาก เพราะเราแค่ ซิตี้คาร์ ก็คงต้องเจียมเนื้อเจียมตัวกันไปเมื่อขับขี่ทางไกล แต่ถ้าเป็นการขับขี่ในเมืองแล้วนั้นไม่ต้องพูดถึงครับ ตอบโจทย์อย่างดีเลยครับ
[singlepic id=23520 w=490 h=380 float=center]
ส่วนในเรื่องของช่วงล่างนั้น ด้วยระบบกันสะเทือนหน้าแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังเป็นแบบ ทอร์ชั่นบีม พร้อมเทรลลิ่งอาร์ม นั้น ทำให้การโครงตัวของรถเมื่อมีการโยกเพื่อเปลี่ยนเลนแซง เข้าโค้งด้วยความเร็วสูง หรือแม้กระทั่งปะทะกับลมแรงๆ ก็ยังสามารถควบคุมรถได้เป็นอย่างดี ก็อย่างที่ผมบอกไว้ตอนต้นของบทความนั่นแหละครับ ว่าช่วงล่างของตระกูล Mazda “ของเค้าดีจริงๆ”
แต่มันยังไม่หมดแค่นั้นครับ มาต่อกันที่ระบบเบรค ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญต่อความปลอดภัยของตัวรถ ผมทดลองที่ความเร็ว 60 กม. เหมือนกับที่เคยทดสอบในรถรุ่นอื่นๆ แล้วกดเบรคแบบเหยียบมิด ผลที่ได้คือรถนิ่งมากครับ ถือว่าดีเยี่ยมครับ เมื่อเทียบกับระบบดิสก์เบรกคู่หน้า แต่ด้านหลังเป็นดรัมเบรก ของ Mazda 2 คันนี้
[singlepic id=23521 w=490 h=380 float=center]
บทสรุป...ขอหมั้นไว้ก่อน
[singlepic id=23500 w=240 h=400 float=center]
คุณป้อง หัวหน้าทีมขับทดสอบ Mazda 2 Sedan ในครั้งนี้
ผมคงต้องขอบอกเลยนะครับ ว่าถ้าลองเอาข้อมูลของ Mazda 2 Sport Sedan มาศึกษาดูอย่างละเอียด ทั้งในเรื่องของคุณภาพและราคา โดยเอามาเปรียบเทียบกับรถที่อยู่ในระดับเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น Honda City Toyota Vios หรือแม้แต่รถยี่ห้ออื่นในรุ่น Sedan ระดับเดียวกันก็ตาม ถ้าพูดถึงเรื่องของความคุ้มค่า ถือว่ามาแรงแซงทางโค้งกันเลยทีเดียว
ผมลองสอบถามเพื่อนหลายๆคน ก็มีบางคนออกความเห็นกับเรื่องเดิมๆ ที่อาจยังเป็นข้อพึงระวังของค่าย Mazda นั้นก็คือ ศูนย์บริการ แต่ผมขอบอกไว้เลยนะ ว่าตอนนี้ศูนย์ Mazda เค้าพัฒนาแล้วครับ จากประสบการณ์ของตัวผมเอง ตอนนี้ผมรู้สึกพอใจกับการให้บริการของศูนย์ Mazda เป็นอย่างมากครับ ดังนั้นถ้าตัดในเรื่องของศูนย์บริการออกไป ผมเชื่อครับว่าเจ้า Mazda 2 Sport Sedan 4 ประตูรุ่นนี้จะทำยอดขายได้ไม่น้อยหน้ารุ่นก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน
ก่อนที่ผมจะขอจบบทความนี้ ทีมงาน Autospinn ก็ต้องขอขอบคุณทางค่าย Mazda ที่เอื้อเฟื้อ รถ Mazda 2 Sport Sedan คันนี้มาให้ทางทีมงานได้ทดสอบกันอย่างเต็มที่ รวมถึงคุณเอ๋และคุณโตที่ช่วยประสานงานในเรื่องนี้เป็นอย่างดี และเตรียมพบกับวิดีโอการขับทดสอบรถรุ่นนี้ ที่นี่เร็วๆนี้ครับ
Behind the Scene: ความคิดเห็นเพิ่มเติมจากผู้ขับขี่รับเชิญที่มีต่อ Mazda 2
[singlepic id=23503 w=490 h=380 float=center]
คุณก้อง ก้องกิจ
“ไม่น่าเชื่อเลยครับ ว่าช่วงล่างของ Mazda เนี่ยดีจริงๆ ชอบมากเลย”
[singlepic id=23504 w=490 h=380 float=center]
คุณเทพ พรเทพ
“เมื่อผมได้มาลองขับมาสด้า 2 ผมก็รู้เลยครับว่ารถคันเก่าของผมกลายเป็นรถจ่ายตลาดไปเลย
[singlepic id=23505 w=240 h=400 float=center]
คุณนัท
“รถคันนี้ดีจริงๆ ทั้งอัตราการเร่งและการทรงตัว และตัวรถออกแบบดูสปอร์ตดีครับ”
[singlepic id=23506 w=240 h=400 float=center]
คุณเบนซ์
“เวลาจับพวงมาลัยของ Mazda 2 แล้วรู้สึกมั่นใจค่ะ”
[nggallery id=1538]
ความคิดเห็น