รีวิว Ford Ranger Wildtrak Hi-Rider 2.2L 4x2 ขับทดสอบระยะทางกว่า 700 กม. Share this
รีวิวรถยนต์
โหมดการอ่าน

รีวิว Ford Ranger Wildtrak Hi-Rider 2.2L 4x2 ขับทดสอบระยะทางกว่า 700 กม.

Admin
โดย Admin
โพสต์เมื่อ 25 October 2555

หากคุณคิดที่จะซื้อรถ Pick Up สักคันเพื่อใช้ทั้งบรรทุก และงานโดยสาร แน่นอนว่าในตลาดบ้านเรามีให้เลือกมากมายจนอาจตัดสินใจไม่ถูก เพราะนอกจากรถที่มีเฉพาะเครื่องยนต์ดีเซล แล้วยังมีพลังงานทางเลือกอย่างเบนซินติดตั้งระบบ CNG มาจากโรงงานให้อีก แต่ถึงอย่างไรก็ตาม หนึ่งในทั้งหมดนั้นที่ไม่ควรจะมองข้ามไปอย่างยิ่งก็คือ Ford Ranger เพราะเพียงแค่โฉมกายภายนอกก็ทำเอาคนเล่นรถกระบะทั้งหลาย ต้องเหลียวมองตั้งแต่แรกเห็น ทั้งความใหญ่ของขนาดตัว และดีไซน์ภายนอกสุดแกร่ง และที่สำคัญได้ผ่านการทดสอบความทรหด แทบทุกด้าน ทั้งสภาพอากาศ และสภาพภูมิประเทศสุดขั้ว ไม่ว่าจะเป็น ทดสอบความร้อน, การลากจูง, ลุยข้ามแม่น้ำ, ลุยทางออฟโรด, ทดสอบบนทางลื่น, ทดสอบการควบคุมขณะขึ้น-ลงเขา เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่า จะได้กระบะพันธุ์ที่แกร่งที่สุดเท่าที่คุณจะเคยมีมา

รูปลักษณ์ภายนอก Ford Ranger ถือว่าเป็นรถกระบะ Pick Up ที่ดูแข็งแกร่ง จากเส้นสายด้านข้างตัวรถ ภายนอกดูบึกบึนกว่ากระบะค่ายอื่น ทั้งมิติความใหญ่โต และรูปร่างหน้าตา โดยในรุ่นที่ได้มานี้เป็นรุ่น Wildtrak จะมีการตกแต่งภายนอกที่ดูดุดันกว่า XLT นั่นคือ จะมีการตัดด้วยสีดำ ตามจุดต่างๆ ในขณะที่ XLT จะตัดด้วยโครเมียม อาทิ กันชนหน้า-หลัง, กระจกมองข้าง, มือจับเปิดประตู แล้วยังแถมด้วยราวหลังคา กับราวเสริมขอบกระบะท้ายเพิ่มเติมให้ รวมถึงพื้นปูกระบะท้าย กับไฟส่องสว่างข้างตัวรถ และที่ขาดไม่ได้สติกเกอร์บ่งบอกความเป็น Wildtrak บริเวณประตูหน้า และฝากระบะท้าย ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานี้ทำให้ตัว Wildtrak นั้นดูดุดัน ออกแนวลุยๆ สปอร์ตออฟโรด กว่ารุ่น XLT ในส่วนล้ออัลลอยเป็นขอบ 17” มากับยาง 265/65/17 Bridgestone Dueler ซึ่งดูออกจะเล็กไปเมื่อเทียบกับตัวถังที่ใหญ่ระดับนี้

รูปโฉมภายใน เมื่อทำการเปิดประตูเข้ามายลโฉมห้องโดยสารภายใน ต้องขอบอกเลยว่าการดีไซน์นั้นทำได้ สวยงามไม่น้อยหน้ารถยนต์เก๋ง และดูจะสวยกว่าในรถยนต์เก๋งหลายคันด้วยซ้ำ กับภายในของตัว Wildtrak ที่เบาะป็นหนังดำตัดด้วยแถบสีส้ม และเดินด้ายส้ม ปัก Wildtrak บนพนักศรีษะตอนหน้า แถมด้วยพรมรองเท้าที่เป็น Wildtrak อีก ทำให้มันเป็นรถกระบะที่มีเบาะโดยสารดูสวยงามสปอร์ตที่สุดเท่าที่จะหาได้ในเมืองไทย ส่วนบริเวณคอนโซลนั้น ก็ตกแต่งด้วยกรอบพลาสติกลายคล้ายเคฟล่าดูดุดันสวยงาม ด้านบนสุดเป็นจอ MID ซึ่งรองรับ Voice Control และเชื่อมต่อผ่านระบบ Bluetooth เข้ากับโทรศัพท์ได้ ด้านใต้คอนโซลมีช่องสำหรับ USB และ AUX IN ซ่อนอยู่ใต้ที่ปรับอากาศ บริเวณช่องวางของ ซึ่งตอนแรกนึกว่าไม่มีให้ต้องเสียบชาร์จโทรศัพท์ จากช่อง Power Outlet เอา แผงหน้าปัดทรงออกเหลี่ยมๆหน่อย ในฝั่งวัดรอบอาจมองไม่ค่อยถนัดนักเพราะ จะมีขีดแบ่งความละเอียดอยู่ที่ 500rpm เท่านั้น พื้นของมาตรวัด ก็เป็นลายคล้ายเคฟล่าเช่นเดียวกับกรอบคอนโซลกลาง ปุ่มเซ็นทรัลล๊อค จะอยู่ตรงบริเวณคอนโซลกลาง โดยที่เมื่อทำการกดล๊อคแล้ว ไฟสีส้มจะขึ้นเป็นรูปกุญแจล๊อค ด้านระบบปรับอากาศเป็นแบบ Manual ถ้าต้องการแบบอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา เชิญไปคบหากับตัว 3.2 Wildtrak ซึ่งจะมีแถมคอนโซลกลางแบบทำความเย็นด้วย

เครื่องยนต์ ดีเซล DuraTorq TDCi ขนาด 2.2 ลิตร 4สูบเรียง DOHC 16วาล์ว มาพร้อมกับ VG Turbo พร้อม Intercooler ที่ให้กำลังสูงสุด 150แรงม้า@3700rpm และแรงบิดสูงสุด 375Nm@1500-2500rpm ซึ่งที่จริงแล้ว มันก็เครื่องเดียวกับ Di THUNDER ของ Mazda BT-50 นั่นล่ะ เพียงเรียกชื่อให้ต่างกันเท่านั้น ซึ่งขุมพลังหัวใจใหม่นี้ ทาง Ford เคลมว่าให้พลังแรงขึ้น แต่ประหยัดน้ำมันขึ้นกว่ารุ่นก่อนด้วย ซึ่งแรงม้าเพิ่มขึ้น 5% และแรงบิดเพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตรตัวก่อน รวมถึงความสามารถในการลากจูงได้ถึง 3,350กก. พร้อมบรรทุกสัมภาระได้กว่า 1,000กก.

ระบบส่งกำลังและการควบคุม ระบบส่งกำลังเป็นแบบเกียร์อัตโนมัติ 6 Speed แบบ Sequential ที่มาพร้อมกับโหมด S ให้เลือกเปลี่ยนเกียร์ได้เหมือนเกียร์ Manual แถมให้การประหยัดน้ำมันเทียบเท่าเกียร์ธรรมดา และระบบส่งกำลังอัจฉริยะนี้ ใช้โปรแกรมจดจำการขับขี่ ปรับการตอบสนองให้สอดคล้องกับสไตล์ของผู้ขับ รวมถึง การลดเกียร์โดยอัตโนมัติ (Grade Control Logic) ในระหว่างขับลงเขา หากมีการเหยียบเบรกมากระบบจะลดเกียร์ลงเพื่อช่วยเบรก, การสนับสนุนเบรก (Brake Support Downshift) ระบบจะลดเกียร์ลงทันทีหากมีการเหยียบเบรกกระทันหันเพื่อใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรก, หยุดการเปลี่ยนเกียร์ในขณะเข้าโค้ง (Gear Hold Around Corner) ระบบจะป้องกันไม่ให้มีการเปลี่ยนเกียร์ขณะเข้าโค้งกระทันหัน

การควบคุม พวงมาลัยเป็นแบบแร็ค แอนด์ พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ช่วยผ่อนแรง ERS ไม่ใช่ไฟฟ้า EPS เป็นเพาเวอร์ไฮโรลิก ซึ่งต่างจากหลายค่ายที่เป็นแบบไฟฟ้าไปแล้ว

ระบบเบรกและระบบกันสะเทือน เบรกหน้าเป็นแบบดิสก์ พร้อมครีบระบายความร้อน ด้านหลังเป็นดรัม ตามแบบฉบับกระบะทั่วๆ ไป โดยการเซ็ตเบรกออกมานั้นค่อนข้างไว Sensitive มาก

สำหรับระบบกันสะเทือน ด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนก 2ชั้น พร้อมคอยล์สปริง (Double Wishbone with Coil Spring) ด้านหลังแบบแหนบซ้อน (Leaf Springs) สเป็กเหมือนกับ BT-50 เป๊ะ แต่ต่างกันในส่วนของสปริงและโช้คอัพ ที่อาจจะเซ็ตค่าความแข็งต่างกัน

ระบบความปลอดภัย มีเพียบพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัยเหนือชั้น ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ระบบเบรก ABS, EBD และระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน (EBA), ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ, ระบบเปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ระบบควบคุมการทรงตัวขณะลากจูง Trailler Sway Control, ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา Hill Descent Control, ระบบช่วยออกตัวในทางลาดชัน Hill Launch Assist และ ระบบป้องกันรถพลิกคว่ำ Roll Over Mitigation ถ้าคุณออกตัว 3.2 Wildtrak สิ่งที่ได้เพิ่มมา จะมีดังนี้ ระบบ ESP และ Traction Control , ถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย, สัญญาณเตือนคาดเข็มขัด, สัญญาณกันขโมย, สัญญาณเตือนระยะถอยหลัง พร้อมกล้องมองภาพด้านหลัง, กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ

ขับทดสอบ Ford Ranger Wildtrak Hi-Rider 2.2L 4x2 กรุงเทพฯ – อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร

ในการขับรถทดสอบครั้งนี้ ขอขอบคุณ Ford Sales & Services (ประเทศไทย) เป็นอย่างมากที่ได้เอื้อเฟื้อรถมาให้ทดสอบ โดยคันที่ได้มานี้เป็น Ford Ranger Wildtrak Hi-Rider 2.2L 4x2 สีบรอนซ์เงิน กับเส้นทางที่ใช้วิ่งครั้งนี้เป็นระยะทางกว่า 700กม. โดยเส้นทางที่วิ่งนั้น วิ่งออกจากกรุงเทพฯ ทางเส้นทาง Toll way วิภาวดี – บางปะอิน แล้ววิ่งตามทางหลวงหมายเลข 1 ขึ้นมายังภาคเหนือ เพื่อมุ่งหน้าไปยังจังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งการจราจรนั้นโล่งคล่องตัว ใช้ความเร็วเฉลี่ยโดยส่วนใหญ่ประมาณ 100-110กม./ชม. โดยไม่นับช่วงประมาณ 20 กม.แรกที่ต้องนำรถออกจากโรงแรมอิมพีเรียลควีนปาร์ค ซึ่งมีสภาพการจราจรที่หนาแน่นพอสมควร ก่อนที่จะขึ้นทางด่วนเพื่อไปออกยังเส้น Tollway รวมระยะทางที่ใช้ในการคำนวณอัตราสิ้นเปลืองทั้งหมดเป็นระยะ 331.3 กม. แต่เนื่องจากไม่ทราบระยะทางที่ทาง Ford ได้เติมน้ำมันออกจากปั๊มและวิ่งกลับมายังลานจอดรถโรงแรมอิมพีเรียลควีนปาร์คว่าเป็นระยะทางเท่าไร จึงขออนุญาติตีระยะทางคร่าวๆ บวกเพิ่มเข้าไป 2 กม. จึงรวมเป็นระยะทางทั้งหมด 333.3กม. เติมน้ำมันกลับเข้าไปเอาแค่หัวจ่ายตัดได้ 26.874L คิดอัตราสิ้นเปลือง = 12.40 กม./ลิตร โดยที่การขับทดสอบครั้งนี้มีเพียงผู้ขับคนเดียว กับกระเป๋าสัมภาระทั้งหมด ประมาณ 7กก.

เมื่อเดินมาถึงตัวรถเตรียมที่จะเปิดประตู พบว่าด้ามมือจับประตู วัสดุนั้นเป็นพลาสติกสีดำด้าน ซึ่งเป็นสไตล์ของ Wildtrak ที่รับกับกระจกมองข้างและกันชนหน้า แต่การที่เลือกใช้พลาสติกที่มือจับประตูนั้น โดยส่วนตัวรู้สึกว่าดูด้อยราคาลงไป น่าจะใช้วัสดุเดียวกับตัวรถแต่ทำเป็นสีดำแทน เหมือนอย่างกระจกมองข้าง เมื่อเปิดประตูมาพบกับภายใน ต้องยอมรับว่าดูดีสวยงามไม่แพ้รถยนต์เก๋ง ไม่ได้ดูเหมือนรถ Pick Up เลย แม้แต่น้อย จึงไม่แปลกใจเลยที่รุ่น Wildtrak นี้จะต้องรอนานกันเป็นครึ่งปีข้ามปีกัน เบาะหนังดำตัดด้วยสีส้มปัก Wildtrak แม้กระทั่งพวงมาลัยตะเข็บด้ายก็ยังเป็นสีส้ม อารมณ์ห้องโดยสารภายในที่ได้จากตัว Wildtrak นี้ยังกับเป็นรถสปอร์ต พวงมาลัย 4 ก้านที่ไม่ได้ดูล้าสมัย มีเพียบพร้อมทั้งปุ่ม Multifunction, ปุ่มรับสาย-วางสาย จากการเชื่อมต่อ Bluetooth, ปุ่ม Cruise Control ที่บังแดดด้านคนนั่งมีกระจกให้ แต่ที่บังแดดด้านคนขับไม่มีกระจกส่องให้ คงเป็นเพราะทาง Ford คิดว่า คนที่จะซื้อ Ranger ขับนี้คงไม่น่าจะเป็นผู้หญิง จึงไม่มีมาให้ แต่ก็ถือเป็นสิ่งที่ดีเพราะ จะได้ไม่ต้องมาให้ความสนใจกับการดูแลใบหน้าในขณะขับรถนัก และสิ่งที่ถูกอกถูกใจคนติดแว่นกันแดดอย่างผมก็คือ มีช่องเก็บแว่นให้บริเวณไฟส่องแผนที่ และเพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ขณะฝนตก จะมีเซ็นเซอร์จับระดับปริมาณน้ำฝน และจะควบคุมการทำงานของก้านปัดให้สัมพันธ์กับความแรงของน้ำฝน ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและปลอดภัยเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับระบบเปิด-ไฟหน้าอัตโนมัติ สำหรับการทำงานของ Cruise Control เมื่อเปิดการทำงานอยู่ แล้วต้องการที่จะเร่งแซงรถคันข้างหน้าก็สามารถที่จะเติมคันเร่งเพิ่มเข้าไปได้เลย และเมื่อถอนคันเร่งความเร็วก็จะกลับมาที่เดิมที่ล๊อคเอาไว้ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องกด Off หรือ แตะเบรกเพื่อหยุดการทำงานของระบบ Cruise Control

ในส่วนของเบาะนั่งรู้สึกว่าขนาดค่อนข้างใหญ่ทีเดียว ดูจะเหมาะกับคนที่ตัวใหญ่ๆนั่ง คงจะกระชับ แต่ที่ไม่ชอบเลยคือ ที่ปรับเอนเบาะปรับค่อนข้างลำบากเพราะติดประตู ถ้าคาดเข็มขัดไปแล้วจะไม่สามารถปรับได้ จึงควรปรับเบาะให้พร้อมก่อนที่จะออกรถทุกครั้ง และเวลาขับทางไกลเริ่มเมื่อย อยากยกแขนขวาขึ้นมาพาดตรงพนักพิงศรีษะ ก็ทำไม่ได้เนื่องจากศอกติดเสา B รวมถึงที่เท้าแขนที่ดูจะเท้าได้ไม่ค่อยเต็มแขนนัก หากปรับเบาะค่อนข้างชิดมาทางด้านหน้า เมื่อได้ลองข้ามไปนั่งที่เบาะหลังรู้สึกว่านั่งสบายมากพื้นที่ Leg Room เหลือเฟือ สำหรับคนตัวใหญ่ด้านหลังยังแถมช่อง Power Outlet ให้ผู้โดยสารตอนหลังชาร์จแบตโทรศัพท์ได้อีกด้วย

สำหรับด้านทัศนะวิสัย เมื่อปรับเบาะลงต่ำสุดแล้วด้านหน้ายังคงมองเห็นได้ชัดเจน กระจกมองข้างสี่เหลี่ยมบานใหญ่ มองได้ไม่มีปัญหา แต่ปัญหาของรถกระบะ ก็คือ พนักศรีษะผู้โดยสารตอนหลัง มักจะขึ้นมาบังกระจกหลังอยู่พอสมควร ซึ่งจุดนี้ก็ต้องทำใจ ถ้ามีผู้โดยสารตอนหลังคงต้องขอความกรุณาช่วยมุดหัวหลบสักนิด และการกะระยะวงเลี้ยวสำหรับรถยกสูงซึ่งตัวรถยาว และมองไม่เห็นพื้น เวลาจะกลับรถ หรือเลี้ยวออกจากซอย ควรต้องกะระยะตีวงให้ดี ไม่งั้นอาจไปสอยโดนฟุตบาทได้

ด้านพละกำลังของเครื่องยนต์ DURATORQUE TDCi VG Turbo Intercooler ขนาด 2.2 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า@3700rpm กับแรงบิด 375 Nm@1500-2500rpm ให้กำลังพอตัวไม่น้อยหน้าเพื่อน ค่ายอื่นที่มีความจุ 2.5 ลิตร แต่การตอบสนองต่อคันเร่งดูช้าๆไป ทั้งในการออกตัวจากรถหยุดนิ่ง เมื่อ Kick Down จมมิดรถกว่าจะคิดได้ว่าจะต้องพุ่งทะยานไปข้างหน้า เล่นเอานานเป็นวินาที ชนิดเลี้ยวออกจากซอยมีรถตามต้องระวังโดนสอยท้ายเอา แต่ถึงอย่างไรเมื่อออกตัวไปแล้ว พละกำลังนั้นมาค่อนข้างเร็วไม่ต้องรอรอบ เนื่องจากแรงบิดมาให้ใช้ตั้งแต่รอบต่ำ 1500rpm ในช่วงความเร็วกลางๆ ตั้งแต่ก่อน 100กม./ชม. จนไปถึงประมาณ 140-150กม./ชม. ยังถือว่าทำได้ดีมาเรื่อยๆ แต่หลังจากนั้นความเร็วปลายเริ่มแผ่วบ้าง ตามกำลังและความจุของเครื่องยนต์ จากการทดสอบความเร็วปลายเข็มคาอยู่ที่ประมาณ 180กม./ชม. + นิดๆ และไม่กระดิกต่อแล้ว รอบเครื่องอยู่ที่ประมาณ 3000rpm แน่นอนว่าโดนล๊อคความเร็วไว้ ดูจากพละกำลังที่มีแล้วยังไปได้ต่ออยู่ แต่อย่างว่ารถกระบะด้วยแล้ว จะเอาเร็วมากมายไปก็จะไม่ปลอดภัย ยิ่งยกสูงด้วยแล้ว ยิ่งอันตรายเข้าไปใหญ่ ได้ 180กม./ชม. ก็ถือว่าเพียงพอแล้วกับการใช้งานบรรทุก และโดยสารผู้คน ด้านอัตราเร่งลองเหยียบทดสอบความเร็ว 80-120 กม./ชม. ทำได้ 9.92 วินาที ซึ่งอย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า ตัวเลขน่าจะออกมาดีกว่านี้หากคันเร่งและเกียร์ตอบสนองได้ไว รวดเร็วแบบอยู่เท้า น่าจะทำได้เร็วกว่านี้อีกเกือบหนึ่งวินาที

ด้านความสัมพันธ์ความเร็วต่อรอบเครื่องยนต์ ได้วัดที่ 3 ค่า ดังนี้ 80กม./ชม.=1400rpm 100กม./ชม.=1750rpm 120กม./ชม.=2100rpm ซึ่งมีอัตราทดเกียร์ที่ไม่สูง ซึ่งทาง Ford เคลมเอาไว้ว่าประหยัดเทียบเท่าเกียร์ธรรมดา กับระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 Speed พร้อม SSC (Sequential Shift Control) ลูกนี้ ถ้าขับในโหมด D ให้การเปลี่ยนเกียร์ที่ค่อนข้างต่อเนื่องดี แต่ไม่ได้นุ่มนวลอะไรนัก แต่เมื่อโยกมาเป็นโหมด S การเปลี่ยนเกียร์นั้นไม่สามารถทำได้หากรอบเครื่องไม่ถึงที่กำหนด โดยจะมีการกระพริบเตือนที่ตัวเลขบอกตำแหน่งเกียร์ ซึ่งรอบจะต้องสูงกว่าประมาณ 1800rpm ขึ้นไป เกียร์ถึงจะทำการเปลี่ยนเกียร์ขึ้นได้ แต่ทางกลับกันอยู่ถ้าอยู่ที่เกียร์สูง เหยียบเบรกความเร็วลดลงมาเยอะ เกียร์จะลดลงให้เอง สำหรับการเปลี่ยนเกียร์ในโหมด S นั้นต้องขอบอกว่า ตอบสนองได้ช้ามาก ทั้งพลักไปลง + หรือพลักขึ้น - ไปแล้วต้องรอหน่อยนะถึงจะขึ้นเกียร์ให้ ถ้าเกียร์ขึ้นช้าขนาดนี้ขับโหมด D อย่างเดียวเลยดูจะง่ายซะกว่า หรือขับเกียร์ MT เลยน่าจะเร้าใจกว่าเยอะ แต่เสียดายที่ Wildtrak ตัว Double Cab ไม่มีเกียร์ MT ให้ ยกเว้นแต่จะไปจับ Wildtrak Open Cab เอา

ในส่วนของการเบรก ตั้งแต่ที่เริ่มขับรถออกจากอาคารจอด ในช่วงแรกทำเอาเบรกหัวทิ่มหัวตำอยู่หลายชั้น กว่าจะชินน้ำหนัก เนื่องจากเบรกค่อนข้าง Sensitive มากๆ แตะนิดเดียวหน้าทิ่ม แต่เมื่อชินแล้ว ต้องขอบอกว่าหนึบเท้าดีมาก เป็นรถกระบะคันหนึ่งที่เบรกแล้วค่อนข้างไว้ใจได้ ต่างกับกระบะหลายๆคัน ที่หาเชื่อใจได้ยาก เพราะเบรกเอาทีเวลาจอดไฟแดงชอบไถลไปไกล จนแทบจะสอยก้นชาวบ้านเค้าเป็นประจำ ต้องขอบอกว่าฟีลลิ่งเบรกทำได้ดี ถึงแม้จะไม่ใกล้เคียงรถยนต์เก๋ง 100% แต่ก็น่าประทับใจพอควร

สำหรับการบังคับเลี้ยว พวงมาลัยแรค แอนด์ พีเนียน พร้อมพาวเวอร์ผ่อนแรงแบบไฮโดรลิก 4 ก้านพวงนี้ ให้น้ำหนักที่ค่อนข้างดีหนักแน่นสไตล์ไฮโดรลิก ไม่ถึงกับหนักจนเกินไป และไม่ได้เบาแบบ Sensitive เมื่อความเร็วสูงขึ้นเรื่อยๆ ดูเผินๆ เหมือนความหนืดของพวงมาลัยกำลังดีทีเดียว แต่ถ้าสังเกตุจับความรู้สึกดีๆ จะยังรู้สึกว่าไม่ค่อยแปรผันตามกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นมากสักเท่าไร โดยส่วนตัวยังอยากให้หนืดมากกว่านี้อีกหน่อย เพราะในขณะที่ขับความเร็วประมาณ 110กม./ชม. ที่เลนขวาสุดแล้วเจอน้ำขังถ้าไม่จับพวงมาลัย 2 มือ ก็อาจไปเอาได้เหมือนกัน และในขณะที่เจอหลุมบ่อ ทางขรุขระก็เช่นกันต้องคุมระวังให้ดี อย่าได้ประมาทกับรถกระบะยกสูงหากคิดจะขับชิลๆ สบายๆ ปล่อยมือขับเอ้อระเหยลอยมา ควรดูสภาพถนนเสียด้วย

ช่วงล่าง หน้าเป็นแบบ ด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนก 2ชั้น พร้อมคอยล์สปริง (Double Wishbone with Coil Spring) หลังแบบแหนบซ้อน (Leaf Springs) ถ้าขับขี่ในแบบทั่วๆไป ถือว่า ok เลย ไม่ได้ดูกระโดกกระเดกอะไรมากมาย แต่เมื่อเจอทางขรุขระเข้า ฟีลลิ่งยังให้ความรู้สึกว่ายังแข็งกระด้างสไตล์กระบะอยู่พอสมควร ไม่ได้นุ่มนวลอย่างที่คาดเอาไว้นัก ซึ่งถ้าหวังความนุ่มนวลกว่านี้คงอาจต้องหันไปหาฝาแฝด ออกมาจากท้องเดียวกัน (โรงงาน) อย่าง BT-50 ซะล่ะมั้ง ในด้านการทรงตัวนั้น ถือว่าทำได้ดีทีเดียว เมื่อขับบน Tollway ที่ความเร็ว 120กม./ชม. รู้สึกว่ารถนิ่งมาก เหมือนใช้ความเร็วเพียง 90กม./ชม. ทั้งที่เป็นรถยกสูง การเก็บเสียงก็ทำได้ดีทั้งเสียงลม ที่เล็ดลอดมาน้อย รวมถึงเสียงยางจากพื้นก็เข้ามาถึงห้องโดยสารน้อยเช่นกัน ในจังหวะที่เลี้ยวโค้ง และลองหักเปลี่ยนเลนที่ความเร็วกลางๆ ประมาณ 80กม./ชม. ตัวรถไม่โคลงเคลงเท่าใดนัก ค่อนข้างให้ความหนักแน่นมั่นคงทีเดียว ถือว่าเป็นรถกระบะที่มีช่วงล่างที่หนึบแน่น แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้นุ่มนวลมากนัก แต่เมื่อขับเลนขวายาวๆ ในขณะที่ฝนตกและมีน้ำนอง ท้ายจะมีสะดิ้นปัดออกหน่อย เนื่องจากขับ 2 ยกสูง ยังไงก็ควรขับขี่ด้วยความระวังโดยเฉพาะช่วงนี้หน้าฝนด้วย

สรุป Ford Ranger กระบะพันธุ์แกร่ง จากเมกัน คันนี้ ที่จริงก็เป็นแฝดต่างฝา กับเจ้า Mazda BT-50 นี่แหละ ซึ่งสิ่งที่คุณจะได้จากการออกเจ้า Pick Up สุดหล่อ อย่าง Ranger คันนี้ คือ ภายนอกที่ดูแกร่งบึกบึน เท่ห์ ขับไปไหน พวกนักเลงกระบะมักเหลียวมอง ภายในที่การออกแบบตกแต่ง ทำได้ดีมากถึงที่สุด ในแบบที่ค่ายอื่นหาไม่ได้ ยิ่งถ้าเป็นรุ่น Wildtrak ด้วยแล้ว อารมณ์กลิ่นอาย เบาะหนังการเดินตะเข็บด้าย มีมาให้ยังกับรถสปอร์ต, ช่วงล่างและเบรกระดับต้นๆแถวหน้า ของกระบะบ้านเรา ทำได้ดีทั้งการทรงตัวและ ไม่ได้กระด้างจนเกินไป อยู่ในเกณฑ์พอรับได้กับการโดยสาร แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ชอบเลยในการขับขี่ คือ เกียร์ Sequential ลูกนี้ที่ตอบสนองช้ามาก ไม่ค่อยทันใจ ทั้งในจังหวะกระแทกคันเร่งที่โหมด D และ โยก +- ที่โหมด S สำหรับเครื่องยนต์ที่มีให้เลือกทั้ง 2 รุ่น 2.2 จะเป็นเครื่องที่เล็กสุดในกลุ่มกระบะ แต่กำลังนั้นไม่ได้ด้อยกว่า เพื่อนๆ 2.5 รวมถึงอัตราบริโภคน้ำมันก็อยู่ในเกณฑ์กลางๆ และรุ่นท๊อป 3.2 ซึ่งถือเป็นเครื่องใหญ่ที่สุดในกระบะบ้านเราอีกเช่นกัน โดยที่ราคานั้น ก็แรงที่สุดไม่แพ้กัน ในตัวท๊อป 3.2L 4x4 Wildtrak ที่ราคาเกินหลักล้านไปพอสมควร แต่ออปชั่นต่างๆก็จัดเต็มเช่นกัน ซึ่งถ้าคุณมีตังอยากหล่อแรง ออปชั่นเต็มๆ และทนได้กับการรอคอยที่แสนนาน เพื่อที่จะเป็นเจ้าของรถ Pick Up ที่ดูดีที่สุดในบ้านเราแล้วล่ะก็ จัดไปเลยกับ Ford Ranger Wildtrak คันนี้

สำหรับ Ford Ranger มาพร้อมกับสีทั้งหมด 10 สี ได้แก่ Sparking Gold, Metropolitan Grey, Black Mica, Highlight Silver, Cool White, Gunmetal Blue, Cooper Red, Aurora Blue, True Red, Chilli Orange แต่ในรุ่น Wildtrak จะมีเพียง 5 สี ได้แก่ Metropolitan Grey, Black Mica, Highlight Silver, Cool White, Chilli Orange

ภณ เพียรทนงกิจ (พล autospinn) ผู้เขียน


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ