ขับทดสอบ Toyota Altis 1.8E โฉมปรับเล็กเติม E85 เส้นทางพระราม 9 - สุวรรณภูมิ Share this

ขับทดสอบ Toyota Altis 1.8E โฉมปรับเล็กเติม E85 เส้นทางพระราม 9 - สุวรรณภูมิ

Admin
โดย Admin
โพสต์เมื่อ 20 December 2555

ถ้าพูดถึงรถยนต์นั่งในกลุ่ม Compact Car บ้านเรารวมถึงทั่วโลก รถที่มียอดขายดีเป็นเทน้ำเทท่า มาตลอดกาล แน่นอนว่า คงหนีไม่พ้นรถยนต์ตระกูล Corolla จาก Toyota ซึ่งได้รับความนิยมมายาวนานกว่า 40ปี สำหรับเจ้า Corolla โฉมปัจจุบันนี้คือ Altis ซึ่งเมื่อมีการออกโฉมใหม่เมื่อไร มักจะต้องถูกจับจองกันก่อนจากพวกเต๊นท์แทกซี่ รวมถึงบุคคลทั่วไปที่มี Brand Royalty ให้กับ Toyota อยู่เสมอ และสำหรับในโฉมปัจจุบันนี้ เริ่มทำตลาดมาตั้งแต่ปี 2007 ซึ่ง ณ เวลานี้ ก็ใกล้หมดอายุขัยเต็มที เพราะ All New Toyota Altis จะมาในปีหน้า 2013 นี้แล้ว ซึ่งในบ้านเรา Toyota ประเทศไทยก็ได้จัดส่งเจ้า Altis E85 ซึ่งน่าจะเป็นการปรับโฉมครั้งสุดท้าย มาทำตลาดรถ Compact แข่งกับ Civic และ Lancer EX ที่เป็นรถในระดับเดียวกัน ซึ่งรองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E85 โดย Toyota ได้จัดทำมาเฉพาะในพิกัด 1.8 และได้ทำราคาให้ต่ำลงกว่าตัวเดิมอีกเล็กน้อย เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคให้หันกลับมาสู่แบรนด์ Toyota กันมากขึ้น เนื่องจากในปีนี้ สมรภูมิของ C-Segment นั้นค่อนข้างสู้กันดุเดือดทีเดียว เพราะมีการเปิดตัวของรถยนต์โฉมใหม่กัน เริ่มตั้งแต่ช่วงกลางปี กับ Mazda 3 1.6 ลิตร, Honda Civic, Ford Focus, Nissan Sylphy จึงไม่แปลกที่ทำให้ Altis นั้นโดนกลบกระแสเงียบกันไปพอสมควร ทาง Toyota จึงต้องมาปรับกลยุทธ์สู้ศึกกันปลายนี้ ด้วยการพัฒนาเครื่องยนต์ให้รองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E85 ร่วมกับการปรับลดราคาลง หวังกระตุ้นยอดขายปิดท้ายปีก่อนขึ้นปีหน้า เพื่อรอการมาของ All New Toyota Altis

รูปกายภายนอก ดูๆ แล้วแทบไม่มีอะไรแตกต่างจาก Toyota Altis Minor Change ชุดไฟหน้าเป็น Halogen และชุดไฟท้ายเป็น LED กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวในตัวปรับและพับไฟฟ้า กระจังหน้าเป็นแบบตาข่ายสีดำ ล้อยังเป็นอัลลอยขอบ 15” และที่ขาดไม่ได้มีโลโก้ Dual VVT-I ที่อยู่บริเวณแก้มหน้าทั้งสองข้าง สำหรับไฟตัดหมอกที่มีมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน จะให้เฉพาะตัว 2.0 เท่านั้น

รูปโฉมภายใน ใช้โทนสีเบจ และวัสดุภายในเป็นผ้า บริเวณแผงคอนโซลด้านหน้าจะเป็นสีเงินเมทัลลิก ระบบปรับอากาศยังคงให้เป็นแบบอัตโนมัติ เครื่องเสียงเป็น CD 1 แผ่น 2 Din มาพร้อมลำโพง 4 ตัว มีช่อง AUX ให้ พวงมาลัยแบบยูรีเทน 4 ก้าน ไร้สวิทช์ควบคุม แผงหน้าปัดเป็นแบบธรรมดา หัวเกียร์เป็นยูรีเทน ตรงแป้นคันเกียร์ มีโหมด M ให้สามารถโยก + - เล่นได้

เครื่องยนต์ เป็นบล๊อก 2ZR-FBE ขนาด 1798cc 4สูบ DOHC Dual VVT-i ที่ได้ปรับปรุงใหม่ให้รองรับเชื้อเพลิง E85 ให้กำลังสูงสุด 139แรงม้า@6400rpm กับแรงบิด 173Nm@4000rpm ซึ่งก่อนหน้านี้ ในรุ่นก่อน Minor Change ก่อนปี 2010 จะเป็นระบบ VVT-I ทั้งหมด เพิ่งจะมาเปลี่ยนเป็นเป็นระบบ Dual VVT-I ในตัว Minor Change ปี 2010 ที่เปิดตัวร่วมกับ 7 Wonder Speed เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งในช่วงแรกที่เปิดตัว เรื่องของระบบวาล์วแปรผัน Dual VVT-I อาจจะดูน่าตื่นเต้น แต่ถ้ามองกันจริงๆ ก็ดูจะไม่ใช่อะไรที่ใหม่เนื่องจาก เป็นการเพิ่มชุดวาล์วแปรผัน เพิ่มอีกฝั่งที่ทางฝั่งไอเสีย เนื่องจาก VVT-I จะมีทางชุดฝั่งไอดีเท่านั้น และระบบตรงนี้ จริงๆ ทาง Mitsubishi ก็มีมาก่อนเจ้า Altis Minor Change 1 ปี กับระบบ MIVEC ใน Lancer EX

ระบบส่งกำลังและการควบคุม เกียร์อัตโนมัติ Super CVT-I 7 Speed พร้อม Sequential ซึ่งใช้ชื่อว่า 7 Wonder Speed ที่ใช้เป็นตัวชูจุดขายที่ดีที่สุดของเจ้า Toyota Altis คันนี้ เพราะในรถยนต์ญี่ปุ่นบ้านเรา ที่ใช้มักเป็นเกียร์ CVT 6 Speed

ระบบเบรกและช่วงล่าง ระบบเบรกเป็นแบบดิสก์ 4 ล้อ โดยคู่หน้ามาพร้อมครีบระบายความร้อน สำหรับช่วงล่างด้านหน้าเป็นพิมพ์นิยม แม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นคานแข็ง ทอร์ชั่นบีม พร้อมเหล็กกันโคลง

ระบบความปลอดภัย พื้นฐานมีมาให้ครบ ด้านการช่วยเบรก ทั้ง ABS EBD และ BA, ถุงลงนิรภัยคู่หน้า SRS, เข็มขัดนิรภัย ELR 3จุด 5ตำแหน่ง, เข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับอัตโนมัติ, กุญแจนิรภัย Immobilizer รวมถึงสัญญาณกันขโมย, เบาะนั่ง WIL (Whiplash Injury Lessening) ซึ่งช่วยซับแรงกระแทกจากด้านหลัง ช่วยลดการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอ กรณีโดนชนจากด้านหลัง และโครงสร้างนิรภัย GOA สำหรับระบบ VSC + TRC มีให้เฉพาะตัว 2.0V  

ทดสอบขับ Toyota Altis 1.8E เส้นพระราม 9 - สุวรรณภูมิ

เนื่องจากมีเพื่อนผมคนหนึ่งใช้ Corolla Altis 1.8 E อยู่แต่เป็นโฉมปี 2009 ตัวก่อน Minor Change ซึ่งเป็นรุ่นที่ยังใช้เกียร์ 4AT อยู่ รวมถึงระบบวาล์วแปรผันแบบเก่า VVT-I และได้ใช้รถอย่างสมบุกสมบันมานับไม่ถ้วน จนเกิดข้อข้องใจกับช่วงล่าง เลยขอให้ผมช่วยลองทำรีวิวเจ้า Altis E85 นี้ จึงเป็นโอกาสดีอีกครั้งที่จะได้เปรียบเทียบเกียร์ 7 Wonder Speed กับ CVT ของรุ่นอื่นแบบชัดๆอีกครั้ง และบังเอิญโชคดีที่มีรุ่นพี่ที่รู้จักเป็น Sales ดูแลลูกค้า VIP อยู่ที่โชว์รูมพระราม9 จึงได้โทรศัพท์ไปเพื่อขอนัด Test Drive เฉพาะกิจแบบ Exclusive โดยทันที ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ทดสอบเจ้า Altis รุ่นปรับโฉมเล็ก จิบ E85 ซึ่งน่าจะเป็นครั้งสุดท้ายก่อนขึ้น Model Change ในปีหน้า

สำหรับการขับรถทดสอบในครั้งนี้ ต้องขอขอบคุณ คุณดาว รวมถึง โตโยต้ากรุงเทพยนต์ พระราม9 เป็นอย่างมากที่ได้เอื้อเฟื้อรถมาให้ทางเราได้ทดสอบแบบ Exclusive กัน สำหรับคนที่สนใจจะออกรถยนต์ Toyota ลองติดต่อสอบถามคุณดาว เพื่อสอบถามข้อเสนอพิเศษได้ 087-9664477 สำหรับรถยนต์ที่ได้มาคันนี้เป็น Toyota Altis 1.8 E สีขาว รุ่นปรับปรุงล่าสุดเติม E85 ได้ ซึ่งเส้นทางในการวิ่งครั้งนี้เริ่มออกจากโชว์รูมพระราม 9 วิ่งตรงมุ่งหน้าไปทาง Motor way เพื่อเข้าสู่สุวรรณภูมิ หาจุดถ่ายภาพและทางโล่งทดสอบอัตราเร่ง ก่อนที่จะวิ่งกลับไปยังโชว์รูมพระราม 9 เส้นทางเดิม

เมื่อได้ขึ้นมานั่งบนตัวรถ พบวัสดุลูกลดเกรดลงเป็นเบาะผ้าสีเบจ ดูอมฝุ่นเอาเรื่อง และจะดูสกปรกง่ายอีกด้วย อย่างว่าด้วยการทำราคาให้ลดลงก็ต้องตัดลดสเป็กไปด้วยเป็นธรรมดา หลังจากสตาร์ทเครื่องยนต์เรียบร้อย กดเปิดเครื่องปรับอากาศยังคงเป็นเช่นเดิม คือ ต้องรอสัก 3 วินาที คอมแอร์ ถึงเริ่มทำงาน ซึ่งอาจจะไม่ถูกใจวัยรุ่นใจร้อนสักเท่าไรนัก แต่ก็ยังดีที่เป็นระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติมา ซึ่งสะดวกต่อการใช้งาน และกับรถเพื่อนบ้านหลายรุ่นในระดับเดียวกันนี้ยังคงให้เครื่องปรับอากาศแบบ Manual หันมามองบริเวณแผงมาตรวัดยังคงดูโบราณ ไม่สวยงามนัก ซึ่งจะต้องเป็นตัว 1.8G ขึ้นไปถึงจะได้มาตรวัดเรืองแสงแบบ Optitron ซึ่งตรงหน้าปัดกลมๆ จะเป็นสีขาว ดูสวยงามดูดีขึ้น

ในส่วนทัศนวิสัย ในการขับขี่ ด้านหน้าดูโปร่งดี ซึ่งถ้าเทียบจริงๆ Altis ทัศนวิสัย ดีกว่าคู่แข่งพอสมควรเนื่องจากตัวรถดูสูงโปร่งกว่า ทั้งมุมมองจากด้านหน้า ค่อนข้างดูง่าย แต่บริเวณเสา C ด้านหลังที่ค่อนข้างหนา และดูตัด Slope ลง ก็ดูจะมองยากหน่อยกับการกลับรถ หรือ ดูรถที่มาจากทางด้านหลัง

เครื่องยนต์ขนาด 1.8ลิตร บล๊อกเดิมที่ปรับให้รองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E85 เพื่อจับชนกับ Lancer EX และ Civic 1.8 ในด้านพละกำลังของเครื่องยนต์ ทั้ง 3 ตัวนี้ใกล้เคียงกันมาก ทั้งแรงบิด และแรงม้า ซึ่งเจ้า Altis นี้มีอยู่ 139 ตัวเท่ากับ Lancer EX แต่ Civic จะมี 141 ตัว และแรงบิด 173Nm ซึ่ง EX จะมี 172Nm และ 174Nm สำหรับ Civic จากการที่ได้ลองขับในช่วงเวลาไม่นาน ค่อนข้างจับฟีลลิ่ง ได้ใกล้เคียงกับทาง Lancer EX อาจจะเนื่องมาจากเกียร์ CVT ด้วยกัน ซึ่งจะทำให้รู้สึกอืดอาด กว่า Civic ค่อนข้างชัด แต่การตอบสนองของคันเร่งจะดีกว่า EX อยู่หน่อย ขานั้นอืดจริง เมื่อกระแทกคันเร่งเพื่อเร่งแซง ยังพอแซงได้แบบไม่หืดขึ้นคอนัก มาลองดูอัตราเร่ง และค่าแรงม้า, แรงบิดที่วัดได้ จาก OBD II กันบ้าง 0-100กม./ชม. 11.9 วินาที, 1/4miles 18.8 วินาที ที่ความเร็ว 126กม./ชม., แรงม้าที่วัดออกมาได้สูงสุด 114.9 ตัว@4716rpm แรงบิดสูงสุดที่ 128 ปอนด์.ฟุต@4716rpm

ในส่วนของความสัมพันธ์ของความเร็วต่อรอบเครื่อง ได้ทดลองความเร็วที่ 3 ค่า ได้ดังนี้ 80กม./ชม.= 1400rpm 100กม./ชม.= 1900rpm 120กม./ชม.=2100rpm รอบที่ได้ค่อนข้างต่ำ เนื่องจากเป็นเกียร์ 7 speed CVT แต่ทว่ายังสู้ Xtronic CVT ของ Nissan Sylphy ไม่ได้ เจ้านั้นรอบเครื่องที่ความเร็วสูงจะต่ำกว่าอยู่หน่อย

การตอบสนองของเกียร์ เมื่อเติมคันเร่งเล็กน้อยรอบตวัดขึ้นมาไวพอสมควร แต่ความเร็วยังค่อยๆ ไล่ไต่ขึ้น และเมื่อถอนคันเร่งแล้ว รอบจะยังค้างอยู่ที่รอบสูงสักครู่ เหมือนจะรอดูพฤติกกรรมผู้ขับว่าต้องการเติมคันเร่งเพื่อเดินกำลังต่อหรือไม่ ก่อนที่รอบเครื่องจะค่อยๆ Drop ลง ซึ่งก็ถือเป็นข้อดีสำหรับการขับขี่ในจังหวะเร่งแซง (แตกต่างกับ Xtronic CVT ของ Nissan อย่างชัดเจน เพราะเจ้านั้นถอนปุปห้อยทันที เน้นขับขี่แบบประหยัดสุดๆ) และจังหวะลงน้ำหนักเพื่อจะ Kick Down ก็ทำได้ไวดีพอควร รอบตวัดเกียร์เปลี่ยนให้ค่อนข้างไวอยู่ (แต่ Xtronic CVT ยังไวกว่าอยู่ดี) สำหรับการขับขี่แบบเน้นความนุ่มนวล ก็เป็นไปตามประสานิสัยของเกียร์ CVT คือยังคงให้ความต่อเนื่อง แทบไม่รู้สึกจังหวะกระตุกเปลี่ยนเกียร์ ถ้าไม่ได้ใส่ใจนัก โดยรวมแล้ว เทียบกับการขับเกียร์ 4AT ตัวเดิม อาจต้องบอกว่า ตัว 4AT ขับได้มันในอารมณ์กว่า มีกระชากมากกว่า ยิ่งถ้าขับแบบโยก + - เองด้วยแล้วยิ่งเร้าใจขึ้น แต่สำหรับความนุ่มนวลค่อยไปแบบสุขุม นุ่มลึก เจ้าเกียร์ CVT-I ตัวนี้ทำได้ดีทีเดียว

สำหรับพวงมาลัยไฟฟ้านั้น จังหวะสาวพวงมาลัยยังคงเบาะในแบบฉบับพวงมาลัยไฟฟ้า เมื่อขับที่ความเร็วต่ำกว่า 100กม./ชม. ยังรู้สึกว่าน้ำหนักเบาไปอยู่ แต่เมื่อความเร็วสูงขึ้นน้ำหนักก็จะหนืดขึ้นหนักขึ้น หน่อย ระยะฟรีพวงมาลัยมีพอสมควร ไม่มากจนเกินไป ช่วงระยะฟรีของพวงมาลัย อาจจะดูเบา ไวไปสักนิดแต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการควบคุมมาก เมื่อเดินทางไกลขับใช้ความเร็วปานกลาง เกิน 100 ไปหน่อย ยังพอที่จะคุมด้วยมือเดียวได้อยู่ ไม่ได้ต้องเกร็งกันมากเกินไป

ในส่วนของเบรกบ้าง ความนุ่มนวลของเบรกนั้นอยู่ระหว่าง Sylphy กับ Civic แต่ก็ยังไม่รู้สึกถึงความหนึบแน่นของเบรกนัก แต่ Feeling นั้นไม่แข็งทื่อ เหมือนทางค่าย Honda มากเท่าไร เอาเป็นว่าขับใช้งานทั่วๆไป เบรกแบบขับขี่ปกติ ก็สามารถเบรกอย่างนุ่มนวลได้อยู่

ช่วงล่างคานแข็งดูจะทำให้ Toyota ล้าหลัง เพื่อนๆ ไปมากทีเดียว เพราะหลายค่ายในกลุ่ม Compact หันไปช่วงล่างหลังอิสระกันเยอะแล้ว ทำให้รู้สึกรับรู้ได้เลยว่า รถมีอาการกระเด้งกระดอน ลอยๆ ดูจะไม่เกาะถนนนัก เมื่อใช้ความเร็วที่ค่อนข้างสูง และยังไม่นุ่มนวลเท่าที่ควร แต่ก็ยังรู้สึกแข็งน้อยกว่า Civic อยู่หน่อย แต่ความหนึบและความโคลงตัวรถนั้น ด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งทำให้ผู้ขับอย่างผม และคนขับรถเน้น Performance ในรถบ้านอยู่หน่อย คงไม่ชอบกับช่วงล่างของ Altis นัก เพราะ คานแข็งในกลุ่ม Sub-Compact Car บางค่ายดีกว่า Altis อย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องการดูดซับแรงกระแทก และความมั่นคงของตัวรถ ซึ่งทำให้คนที่อยากได้ช่วงล่างที่ดีขึ้น คงอาจต้องหันไปพึ่ง After Market ไม่ว่าจะใส่ค้ำโช้คหน้า รวมถึง เปลี่ยนสปริง หรือ Shock Up

สรุป เหล้าเก่าในขวดใหม่อีกคันหนึ่ง กลับมาพร้อมกับการเพิ่มความคุ้มค่าและประหยัดยิ่งขึ้น ทั้งการปรับจูน ECU ให้รองรับน้ำมัน E85 จับคู่กับ 7 Wonder Speed และนำกลับมาขายใหม่ กดราคาให้ต่ำลง เพื่อส่งท้ายก่อนปิด Line การผลิตในโฉมนี้ รอการขึ้น Model Change กันปีหน้า หวังแย่ง Market Share กลุ่ม Compact Car กลับคืนมาสักหน่อยก่อนหมดสิ้นปี ซึ่งจุดเด่นก็ คือ เครื่องยนต์ และเกียร์ ที่ออกแบบมาให้เคียงคู่กันกับความประหยัดที่ดูจะยอดเยี่ยมติดหัวแถว สำหรับเครื่องยนต์ถึงแม้รอบจะไม่จัดจ้าน แต่ก็พอมีม้าให้เรียกใช้อยู่บ้าง และเกียร์ที่ไม่ได้เน้นแค่ความประหยัด แต่พอมีความฉลาดรู้ใจผู้ขับด้วย และตอบสนองได้ไวพอตัว แต่จุดด้อยก็ยังเช่นเดิม ช่วงล่างนั่นเอง ยังไงก็คงต้องมาลองดูกันยาวๆ กันต่อไปอีกสักหน่อย กับรถที่มียอดขายดีเยี่ยมตลอดกาล อย่าง Corolla นี้

Toyota Altis มีสีให้เลือกทั้งหมด 7 สี สีขาวมุก White Pearl เฉพาะรุ่น 2.0 , สีขาว Super White เฉพาะรุ่น 1.8 และ 1.6, สีทอง Beige Metallic, สีเทา Medium Silver Metallic, สีฟ้า Greyish Blue Metallic, สีดำ Black Mica, สีบรอนซ์เงิน Silver Metallic

Toyota Altis มีทั้งหมด 9 รุ่นย่อย ได้แก่

1.6J MT ราคา 751,000บาท

• ไฟหน้าแบบฮาโลเจน

• กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวปรับด้วยไฟฟ้า

• กระจังหน้าแนวนอนสีเทา

• ที่ปัดน้ำฝนแบบหน่วงเวลา

• พวงมาลัย EPS ยูรีเทน 4 ก้าน

• แผงคอนโซลหน้าเมทัลลิก

• เบาะนั่งแบบผ้า สีเทา

• กระจกบังลมหน้าอัดซ้อนนิรภัย

1.6E AT CNG ราคา 859,000 บาท

• ไฟหน้าแบบฮาโลเจน

• กระจังหน้าแนวนอน สีเดียวกับตัวรถ พร้อมแถบโครเมี่ยม

• ที่ปัดน้ำฝนแบบหน่วงเวลา และตั้งเวลาได้

• พวงมาลัย EPS ยูรีเทน 4 ก้าน

• แผงคอนโซลหน้าเมทัลลิก

• เบาะนั่งแบบผ้า สีเบจ

• ระบบ AUX

• ระบบเบรก ABS+EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA

• กระจกบังลมหน้าอัดซ้อนนิรภัย

• ระบบเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ CNG

1.6G AT ราคา 819,000 บาท

• ไฟหน้าแบบฮาโลเจน

• กระจังหน้าแนวนอน สีเดียวกับตัวรถ พร้อมแถบโครเมี่ยม

• ที่ปัดน้ำฝนแบบหน่วงเวลา และตั้งเวลาได้

• พวงมาลัย EPS ยูรีเทน 4 ก้าน

• แผงคอนโซลหน้าเมทัลลิก

• เบาะหนัง และหนังสังเคราะห์ สีเบจ

• ระบบ AUX

• ระบบเบรก ABS+EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA

• กระจกบังลมหน้าอัดซ้อนนิรภัย

1.8E AT ราคา 829,000 บาท

ไฟหน้าแบบฮาโลเจน

ที่ปัดน้ำฝนแบบหน่วงเวลา และตั้งเวลาได้

พวงมาลัย EPS ยูรีเทน 4 ก้าน

แผงคอนโซลหน้าเมทัลลิก

เบาะนั่งแบบผ้าสีเบจ

ระบบ AUX

ระบบเบรก ABS+EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA

กระจกบังลมหน้าอัดซ้อนนิรภัย

1.8G AT ราคา 899,000 บาท

ไฟหน้าแบบฮาโลเจน

ที่ปัดน้ำฝนแบบหน่วงเวลา และตั้งเวลาได้

พวงมาลัย EPS หนัง 4 ก้าน พร้อมปุ่มควบคุมวิทยุ และ MID

แผงคอนโซลหน้าเมทัลลิก

เบาะหลังแยกพับได้แบบ 60:40

ระบบเบรก ABS+EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA

1.8G Navi ราคา 949,000 บาท

ไฟหน้าแบบฮาโลเจน

สเกิร์ตข้าง

ที่ปัดน้ำฝนแบบหน่วงเวลา และตั้งเวลาได้

พวงมาลัย EPS หนัง 4 ก้าน พร้อมปุ่มความคุมวิทยุ และ MID

แผงคอนโซลหน้าเมทัลลิก

เบาะหลังแยกพับได้แบบ 60:40

เครื่องเสียงวิทยุ เครื่องเล่น DVD CD 1 แผ่น USB/SD card 6 ลำโพง

In-car Navigator / Bluetooth

กล้องมองหลัง

ระบบเบรก ABS+EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA

2.0G AT ราคา 979,000 บาท

ไฟหน้าแบบฮาโลเจน

สเกิร์ตหน้า/หลัง และสปอยเลอร์หลัง

ที่ปัดน้ำฝนแบบหน่วงเวลาและตั้งเวลาได้

พวงมาลัย EPS หนัง 3 ก้าน พร้อมปุ่มควบคุมวิทยุ และ MID

ระบบการควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย

แผงคอนโซลหน้าลายไม้/เมทัลลิก

เบาะหลังแยกพับได้แบบ 60:40

กล้องมองหลัง

กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ พร้อมแสดงภาพจากกล้องมองหลัง

ระบบเบรก ABS+EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA

ไฟตัดหมอกหน้า

2.0V AT ราคา 1,064,000 บาท

ไฟหน้า HID แบบ Smoked Chrome ปรับระดับแบบอัตโนมัติ

ระบบเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติ

สเกิร์ตหน้า/หลัง และสปอยเลอร์หลัง

ที่ปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติื

พวงมาลัย EPS หนัง 3 ก้าน พร้อมปุ่มควบคุมวิทยุ MID

ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย

ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ

แผงคอนโซลหน้าลายไม้/เมทัลลิก

เบาะนั่งปรับไฟฟ้าด้านคนขับ

กล้องมองหลัง / ม่านบังแดด

กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ พร้อมแสดงภาพจากกล้องมองหลัง

ระบบควบคุมการทรงตัว VSC + TRC

ไฟตัดหมอกหน้า

ระบบเปิดประตูอัจฉริยะ / ระบบสตาร์ทอัจฉริยะ

2.0V Navi AT ราคา 1,199,000 บาท

ไฟหน้า HID แบบ Smoked Chrome ปรับระดับอัตโนมัติ

ระบบเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติ

สเกิร์ตหน้า/หลัง และสปอยเลอร์หลัง

ที่ปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติื

พวงมาลัย EPS หนัง 3 ก้าน พร้อมปุ่มควบคุมวิทยุ MID และ รับ-วางสายโทรศัพท์

ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย

ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ

แผงคอนโซลหน้าลายไม้/เมทัลลิก

เบาะนั่งปรับไฟฟ้าด้านคนขับ

In-Car Navigator/Bluetooth

กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ

ระบบควบคุมการทรงตัว VSC+TRC

กล้องมองหลัง/ไฟตัดหมอกหน้า

ระบบเปิดประตูอัจฉริยะ/ระบบสตาร์ทอัจฉริยะ

ภณ เพียรทนงกิจ (พล autospinn) ผู้เขียน


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ