สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ก่อนที่จะเริ่มเข้างานมอเตอร์โชว์ ในสัปดาห์หน้า แต่ทว่าค่ายรถต่างๆ ก็ยังคงมีการเปิดตัวรถ กันอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย และในวันที่ 18 มีค. นี้ ก็ได้มีการเปิดตัวรถสปอร์ตพรีเมี่ยม ใหม่หมดจด ในบ้านเรา ซึ่งคันนี้มีความเป็นเอกลักษณ์ในการเปิดประตูแบบ 2+1 นั่นคือ Hyundai Veloster และ Veloster Turbo ซึ่งทางฮุนได ประเทศไทย ได้ลงทุนงานสร้าง ด้วยการจับเจ้าสปอร์ตตัวใหม่นี้มาวิ่งบนรันเวย์โชว์แข่งกับเครื่องบิน และได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้เข้าร่วมทดลองขับรอบรันเวย์กันแบบ พอเอาฟีลลิ่งนิดๆ ให้ผมมาพอเขียนข่าวกันได้
โดยในวันนี้ สถานที่เปิดตัวคือลานบิน Best Ocean Air Park ซึ่งอยู่ไกลถึงสมุทรสาคร ถนนพระราม 2 ซึ่งเล่นเอาผมหลงทางกับการไปลานบินแห่งนี้นานเลยทีเดียว เอาล่ะเข้าเรื่องกันดีกว่า โดยในช่วงเช้า เมื่อมาถึงหลังจากที่ได้ลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อยก็มีการเปิด VDO ให้ชมพูดถึงรายละเอียดคร่าวๆ ของ เจ้า Veloster กับ Veloster Turbo ใหม่นี้ หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้มี Veloster ทั้งตัวธรรมดาและ เทอร์โบ มาทั้งสิ้น 5 คัน โดยคันที่ได้นำมาวิ่งโชว์บนรันเวย์เล่นกับเครื่องบิน ก็มี 2 คัน Veloster NA คันสีส้ม และ ตัว Turbo คันสีแดง หลังจากที่ได้ขับโชว์สมรรถนะกันให้สื่อมวลชนได้ชม และเก็บภาพแบบพอหอมปากหอมคอกันไปแล้ว ก็ได้ให้ลงชื่อเพื่อทำการขับทดสอบในช่วงบ่าย หลังรับประทานอาหารเสร็จ ซึ่งให้ขับได้โดยมี Instructor แนะนำเส้นทางในการขับแก่เรา โดยจะให้ขับได้คนละ 1 รอบ สั้นๆ โดยเริ่มวิ่งตรงออกไป เข้า Slalom ซิกแซ็กหลบ Pylon ก่อนที่จะซัดตรงยาวๆ ไปกลับรถ และซัดตรงทดสอบอัตราเร่งกลับมาก่อนจะเลี้ยวกลับเข้ามาเพื่อเปลี่ยนคนขับ โดยผมได้เริ่มขับคันแรกเป็นคันสีแดง ตัว Turbo ขนาด 186 แรงม้า ตามที่ระบุไว้ในโบรชัวร์
มาเข้าเรื่องรายละเอียดของรถทั้งสองคันนี้ กันก่อนเลย ทั้งคันสีแดง Turbo และ คันสีส้ม NA
สำหรับภายนอก ได้รับแรงบรรดาลใจ จากรถ Superbike ที่มีความดุดันและแนวคิด Fluidic Sculpture Design ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ Hyundai และการออกแบบประตูที่สุดแปลกแหวกแนวสร้าง Identity ให้แก่ตัวมันเอง 2+1 ประตูตอนหลังเปิดได้ฝั่งซ้ายด้านเดียว และที่เปิดประตูคล้ายกับ Chevrolet Sonic 5 ประตู ดูเท่เก๋ไปอีกแบบ สำหรับความต่างของ ตัว NA และเทอร์โบ มีอยู่พอสมควร ทั้งกันชนหน้า ,ชายสเกิร์ตด้านหน้าและด้านข้าง , Sunroof ที่มีให้ในตัว Turbo ล้อ 17”x7” ลาย 5 ก้านสำหรับ NA หุ้มยาง 215/45/17 และ 18”x7.5” ลาย 5 ก้านโครมที่ ตรงก้านแม็กดูคล้ายใบมีด หุ้มยาง 215/40/18 Hankook ทั้งคู่ ในส่วนไฟหน้า ถึงแม้ทั้งสองจะมีทรงคล้ายกับ Hyundai Elantra แต่สำหรับตัว Turbo นี้จะเป็นโคม Projector พร้อมไฟวงแหวน แถมด้วยแถบไฟ LED อยู่ด้านล่าง แต่ NA เป็นหลอดธรรมดาซึ่งดูเหมือน Elantra มาก และในตัว Turbo นี้จะเน้นความดุดัน และทรงกลม ไม่ว่าจะมีชาย Diffuser ที่ด้านล่างของ Rear Bumper และ ในส่วนไฟตัดหมอกหน้า-หลังเป็นทรงกลม และปลายท่อคู่ออกตรงกลาง Rear Bumper เป็นท่อทรงกลม แต่ NA จะเป็นทรงเหลี่ยม ทั้งตัดหมอกหน้า-หลัง รวมถึงปลายท่อทรงเหลี่ยม
สำหรับภายใน ที่เห็นเด่นชัดคือ วัสดุเบาะ ที่เป็นผ้าในตัว NA และหนังสีดำในตัว Turbo แต่ก็ยังคงมีปักคำว่า Veloster ไว้ที่เบาะ ของทั้งสองรุ่น ในส่วนตัว Turbo ปุ่มบนพวงมาลัยที่ใช้ควบคุมมีมาให้ครบ แต่ NA จะตัด Cruise Control และ Paddle Shift และ Bluetooth ออก ในส่วนเบาะนั่งจะปรับมือทั้งหมด แต่ Turbo จะปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง นอกนั้นเท่าที่เห็นจะยังเป็นเครื่องเสียงแบบจอ LCD 7” ให้ทั้งคู่ และเบาะหลังสามารถพับได้แบบ 60:40 แต่พื้นที่เก็บของด้านท้าย ตัว NA จะเก็บได้มากถึง 440 ลิตร แต่ตัว Turbo ได้เพียง 320 ลิตร ในส่วนของภายในบริเวณตอนหลัง ต้องบอกเลยว่าเป็นรถสปอร์ตที่นั่งได้สบายๆ มากๆ คันหนึ่ง พื้นที่ Leg Room กว้างขวาง นั่งสบาย ทั้งผู้โดยสารตอนหน้าและตอนหลัง ในส่วน Head Room ด้วยความที่เป็นรถสปอร์ตทรงไม่ค่อยสูง Head Room จึงมีไม่มาก แต่ว่าก็ไม่ได้อึดอัด แต่ประการใด แถมเบาะตอนหลังก็นั่งได้แบบสบายๆ ด้วยไม่ชันตั้งจนเกินไป แต่การวางเท้าหัวเข่าอาจจะชันมากหน่อย เนื่องจากตัวเบาะค่อนข้างต่ำ
มาว่ากันที่หัวใจสำคัญของทั้งสองคันนี้ ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมวาล์วแปรผัน D-CVVT ทั้งคู่ แต่อีกคันเป็นเป็นเครื่องยนต์หัวฉีดตรง GDI พ่วงเทอร์โบ แบบ Twin Scroll ปั่นแรงม้าได้ 186 ตัวที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 265 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500 – 4,500 รอบต่อนาที ผ่านมาตรฐานไอเสียยูโร5 และอีกคันเป็นเครื่องยนต์ หัวฉีด Multipoint ไม่พ่วงเทอร์โบ ให้กำลัง 130 แรงม้าที่ 6,300 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 157 นิวตัน-เมตร ที่ 4,850 รอบต่อนาที ซึ่งผ่านมาตรฐานไอเสียยูโร4
ในส่วนของเกียร์ เป็น AT 6 Speed ทั้งคู่ ต่างกันที่อัตราทดเกียร์ เพื่อให้การขับขี่ได้อรรถรส ที่แตกต่างกันไป ด้านพวงมาลัยเป็นเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งคู่ รัศมีวงเลี้ยว 5.2 เมตร สำหรับระบบเบรกดิสก์ 4 ล้อ จานคู่หน้าแบบครีบระบายความร้อนขนาด 300mm สำหรับ Turbo และ 280mm สำหรับ NA นอกนั้นคู่หลัง เท่ากันที่ 262mm ระบบช่วงล่างหน้า –หลัง แบบแมคเฟอร์สันสตรัท และ ทอร์ชั่นบีม CTBA
ระบบความปลอดภัย Turbo ให้เต็มกว่าด้วย ระบบควบคุมเสถียรภาพ (ESP) /ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TCS) /
ระบบจัดการเสถียรภาพรวม (VSM) รวมถึงม่านถุงลมนิรภัย
สำหรับฟีลลิ่งในการขับขี่ระยะสั้นมากๆ เพียง 1 รอบรันเวย์ ซึ่งใช้เวลาต่อรอบราว 1 นาทีได้ ด้วยความที่ได้ขับตัว Turbo ก่อน ทันทีที่เข้าเกียร์ และกระแทกคันเร่งออกไป รู้สึกคันเร่งติดเท้าดี มีแรงดึงให้สัมผัสได้แบบขับเอามัน การเปลี่ยนเกียร์ตัดขึ้นที่ Red Line ราว 6500rpm และได้ลองโยนพวงมาลัย เข้าหลบ pylon แบบ Slalom พบว่ารถมีอาการโยนตัวออกด้านข้างมากกว่าที่คิด โดยพอรู้สึกได้ว่าระบบ ESP และ VSM เหมือนจะช่วยพยายามดึงรถที่เซเอน กลับเข้ามาในแนวตรงเพื่อรักษาเสถียรภาพของตัวรถให้กลับมาดีที่สุด แต่ก็ยังโดนแรงเหวี่ยงกลับไปซ้าย-ขวา จึงยังทำให้รถมีอาการโยนตัวออกด้านข้าง Track มากเกินไปหน่อย อาจเป็นผลมาจากเข้าที่ความเร็วสูงเกินไปด้วย เนื่องจาก Instructor แนะนำให้เข้าที่ความเร็วประมาณ 60 กม./ชม. แต่ขณะที่ผมเข้าไปน่าจะราว 70+ ซึ่งอาจจะเร็วเกินไปหน่อย ในขากลับกระแทกคันเร่งจม ลองจับนาฬิกาดูได้ 10 วินาที เศษ เวลานี้ทำได้ดีกว่า Honda Civic 2.0 และ Hyundai Elantra อยู่เล็กน้อย
และอีกรอบกับคันสีส้ม ตัว NA เริ่มเหมือนเดิม กระแทกคันเร่งออกจากจุดสตาร์ท คันเร่งยังตอบสนองไวเหมือนเดิม แต่กลับไม่รู้สึกถึงเรี่ยวแรงที่มีอยู่เลย ความเร็วขึ้นช้าๆ ไม่สัมผัสถึงแรงดึง และโยนพวงมาลัยเข้าหลบ pylon ซ้าย-ขวา รู้สึกพวงมาลัย ดูคุมง่ายกว่า ไม่ไวเท่าตัว Turbo ซี่งจะออกอารมณ์สปอร์ต มากกว่า และช่วงล่างดูจะเอาอยู่มากกว่า อาจเนื่องมาจากความเร็วในขณะที่เข้า น่าจะไม่เกิน 60กม./ชม. ซึ่งไม่เร็วจนเกินไป ทำให้หักหลบ ซ้าย-ขวา รถไม่เหวี่ยงไม่โยนมาก และเมื่อกลับรถ ด้วยความเร็วและกระแทกคันเร่งออกเต็ม ท้ายออกนิดๆ ให้รู้สึกอาการแบบรถสปอร์ตบ้าง แต่ไม่ได้ดุดัน เหมือนตัว Turbo
สรุป กับการขับ 1 รอบอันแสนสั้นบนรันเวย์ ตัว Turbo ขับได้สนุกคันเร่งติดเท้า ตอบสนองได้ไว มีแรงดึงให้สัมผัส อัตราเร่งทำได้ดีกว่า Elantra เล็กน้อย กำลังเครื่องเพียงพอกับการขับขี่แบบใช้งานเอาสนุก ถ้าไม่ไปเล่นขับไล่ แข่งกับใคร ถือว่าแรงพอตัว พวงมาลัย น้ำหนักเบาหวิวที่ความเร็วต่ำ และหนืดหนักขึ้นที่ความเร็วสูง ค่อนข้างไวพอตัว ช่วงล่าง น่าจะทำได้ดีกว่านี้อีกสักหน่อย เบรกหนึบแน่นสมราคา ในขณะที่ตัว NA เหยียบจมหายความเร็วไม่มาดังคิด เหมือน Turbo แต่การควบคุมในส่วนพวงมาลัย และ ช่วงล่างดูดีกว่าคุมง่ายกว่า กับสมรรถนะ 130 แรงม้า ดูจะเอาอยู่ได้ไม่ยาก ในขณะตัว Turbo คงต้องใช้ทักษะเพิ่มสักเล็กน้อยในการคุมให้ดี แบบเนียนๆ กับราคาที่ไม่ถูกไม่แพง 1.299 ล้านบาทแลก กับความหล่อ รถสปอร์ตขับหน้า รูปแบบ 2+1 ประตู ไม่เน้นสมรรถนะ หรือเพิ่มเงินอีก เอารถที่ขับมัน Sport Turbo 186 ม้า ในราคา 1.739 ล้าน เกือบจับถึง A180 แต่ได้ความแรงที่ไม่น้อยหน้าใครบนถนน ต้องลองตัดสินใจดูกันว่า รถสปอร์ตพรีเมี่ยมรูปแบบใหม่นี้ จะตอบโจทย์ตลาดได้ดีมากเพียงใด
ภณ เพียรทนงกิจ (พล autospinn) ผู้เขียน
ภาพเพิ่มเติมคลิก http://photos.autospinn.com/2013-Hyundai-Veloster-on-Runway/
ความคิดเห็น