ขับทดสอบ Honda Civic Hybrid ใหม่ ความดิบหายไป เน้นความนุ่มนวล นั่งสบาย ความเร็วมาเรื่อยๆแบบไม่หวือหวา Share this

ขับทดสอบ Honda Civic Hybrid ใหม่ ความดิบหายไป เน้นความนุ่มนวล นั่งสบาย ความเร็วมาเรื่อยๆแบบไม่หวือหวา

Admin
โดย Admin
โพสต์เมื่อ 21 March 2556

ในสภาวะที่ราคาน้ำมันแพงเฉกเช่นทุกวันนี้  หลายคนที่ต้องการจะออกรถยนต์ใหม่  คงมองถึงอัตราสิ้นเปลืองเพื่อประกอบการตัดสินใจไม่มากก็น้อย  ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ Eco Car ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็ก  หรือ รถยนต์ที่ใช้พลังงาน Flex Fuel ได้อย่าง E85 และหนึ่งในนั้นที่น่าสนใจซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ยังคงต้องมุ่งหน้าพัฒนากันต่อในอนาคตกับระบบ Hybrid    สำหรับค่ายรถยนต์ Honda   ที่ทำผลงานได้ยอมเยี่ยมในปีที่แล้วจวบจนถึง เดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ ที่ยังรักษาแชมป์ไว้ได้อยู่กับยอดขาย  เนื่องจาก Product ที่เน้นการใช้พลังงานทางเลือกเป็นอย่างมาก    และเมื่อเดือนที่แล้ว ที่เพิ่งเปิดตัว Honda Civic Hybrid ใหม่ไปต่อสายตาสาธารณะชน  เป็นที่เรียบร้อย  มาในวันนี้ 20 มีนาคม 2556 ทาง Autospinn  เราได้รับเชิญให้ไปเข้าร่วมขับทดสอบด้วยในครั้งนี้  เพื่อพิสูจน์สมรรถนะของ Civic ในหัวใจรักษ์โลก

สำหรับเส้นทางในวันนี้  ไปไม่ไกลมากนัก  เริ่มออกจากนิคมอุตสาหกรรมบางชัน  มุ่งหน้าออกไปทางมอเตอร์เวย์ ตัดเข้าวงแหวนกาญจนา ดิ่งเส้นพระราม 2  มุ่งไปยังดอนหอยหลอด  รับประทานอาหาร และกลับทิศทางเดิม    โดยทาง Honda เตรียมรถทดสอบไว้ให้จำนวน  5 คัน  โดยทางผมได้รถคันสีบรอนซ์เงิน  และรับเลือกเป็นไม้สุดท้าย ไม้ที่ 4 ในการขับขากลับจาก ปั๊ม ปตท. กลับเข้าไปยังนิคมฯ บางชัน  ซึ่งได้ระยะทางร่วมๆ  60กม.

ก่อนอื่นขอพูดถึงสเป็กความต่างระหว่างตัว Hybrid กับตัวปกติ กันก่อน

ภายนอก กระจังหน้าที่ตกแต่งด้วยเลนส์สี Clear Blue และโคมไฟหน้าตกแต่งด้วยกรอบสีฟ้า เป็นไฟแบบ HID พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ   ในขณะที่ไฟท้ายก็ตกแต่งด้วยเลนส์สี Clear Blue เช่นกัน แต่หลอดไฟด้านล่างจะเป็น LED ซึ่งเวลาเบรก จะเห็นไฟเรียงกันเป็นเม็ดดูสวยงาม    และมี เพลท hybrid แปะอยู่ด้านฝากระโปรงท้าย  นอกจากนั้นล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ น้ำหนักเบา เพื่อช่วยด้านอากาศพละศาสตร์  ลดขนาดลงเหลือ ขอบ 15”  หุ้มด้วยยาง ขนาด 195/65/15  นอกนั้นก็จะเป็นอุปกรณ์พื้นฐาน ได้แก่ กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวในตัว,  ไฟตัดหมอกหน้า,   มือจับประตูโครเมียม,  สปอยเลอร์ด้านท้ายแบบ Duck Tail

สำหรับภายใน  ถ้าเป็นรุ่น Navi จะมีระบบนำทางพร้อมเครื่องเล่น DVD ให้ และวัสดุหุ้มเบาะจะเป็นเบาะหนังสีเบจ  ถ้าเป็นรุ่นธรรมดา จะเป็นเบาะผ้าสีเทา   นอกนั้นเหมือนกันหมด  พวงมาลัยหนัง  Multifunction พร้อม Cruise Control  และปุ่มควบคุมจอ i-MID  และปุ่มเชื่อมต่อโทรศัพท์ Bluetooth   ปุ่ม Push Start พร้อมระบบ Smart Key  ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ   และอีกจุดหนึ่งที่ถือเป็นลูกเล่นสำคัญ คือ Eco Coaching , Eco Score  ซึ่งจะแสดงผลจากพฤติกรรมการขับขี่  และจะมีการให้เป็นคะแนนสะสมเป็น Eco Score เหมือนเล่นเกม โดยเป็นรูปต้นไม่ขึ้น    ในส่วนของเบาะหลังไม่สามารถพับได้แบบ 60:40 เนื่องจากด้านหลังเอาไว้เก็บแบตเตอรี่ขนาดบาง  ทำให้ไม่เสียพื้นที่สัมภาระด้านท้ายมากนัก

ขุมพลังหัวใจ  1.5 ลิตร แบบ SOHC  i-VTEC  พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้า IMA   ให้กำลังสูงสุดร่วม 110 แรงม้า โดยแรงจากเครื่องยนต์  91 PS  และจากมอเตอร์ไฟฟ้า 23 PS  รองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E20  จุดเด่นของขุมพลังชุดนี้ อยู่ที่แบตเตอรี่ชุดใหม่ ที่เป็น Li-ion ซึ่งเมื่อเทียบกับ Ni-Mh มีขนาดบางลง , เบาลง  แต่เก็บประจุได้มากขึ้น   โดยในส่วนระบบเครื่องยนต์ Honda รับประกันทั้งระบบ 5 ปี  แต่เพิ่มในส่วนของแบตเตอรี่เป็น 10 ปี  เอาใจลูกค้าดีไม่ใช่น้อย

เมื่อพูดถึงระบบ Hybrid แบบ IMA แล้วต้องขอยกระบบการทำงานกลับมาพูดกันใหม่อีกที  เพราะมันแตกต่างกับ Toyota Hybrid System  ที่เป็นแบบ Series/Parallel    เนื่องจากมีคนเคยถามผม รวมถึงโพสต์ถามความต่างของสองค่าย   ระบบ IMA ของ Honda ถือเป็นระบบคู่ขนาน (Parallel Hybrid) คือ เครื่องยนต์จะทำงานเป็นหลักและให้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวเสริมเอา เหมือนดั่งชื่อ IMA (Integrated Motor Assist) นั่นเอง  โดยจะแบ่งช่วงการทำงานออกเป็นดังนี้

• ช่วงออกตัว จะใช้เครื่องยนต์ทำงานเป็นหลัก และให้มอเตอร์ไฟฟ้าช่วยเสริม

• ช่วงที่ใช้ความเร็วต่ำคงที่ จะเข้าสู่ EV Mode ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนอย่างเดียว

จากการได้ลองขับที่ความเร็วต่ำคงที่ เดินคันเร่งเนียนๆ ใช้ความเร็วราวๆ 50กม./ชม. +- สามารถเข้าโหมด EV ได้สักครู่ไม่นาน ประมาณ 10 วินาทีเศษ ซึ่งกรณี Jazz Hybrid ผมไม่สามารถที่จะทำให้เข้า EV Mode ได้เลย และจากที่ลองถามทางวิศวะกร โหมดนี้ สามารถวิ่งได้มากกว่า 1กม./ชม. ถ้ารักษากฏเกณฑ์ต่างๆ ตามที่ ECU คำนวนเอาไว้ แต่เราไม่สามารถขับควบคุมให้มันเข้า EV Mode ได้เสมอ

• ช่วงเร่งแซง มอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงานผสานกับเครื่องยนต์ ช่วงเพิ่มประสิทธิภาพในการเร่งแซง

• ช่วงเบรก เครื่องยนต์จะหยุดทำงานและดึงพลังงานที่สูญเสียไปมาเก็บเป็นพลังงานไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่ไฮบริด

• ช่วงรถจอดหยุดนิ่ง เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะหยุดทำงาน เข้าสู่ Idling Stop ทำให้ประหยัดน้ำมันและลดมลพิษอีกด้วย

และสำหรับระบบ Idling Stop นี้ได้เคยพูดกันไป แล้วทั้ง Jazz Hybrid และ CR-Z   ซึ่งต้องขอพูดอีกครั้ง  เพราะใน Civic Hybrid  จะทำได้ดีกว่าทั้งสองตัวที่ผ่านมา  เนื่องจาก ทางวิศวะกรแจ้งเราว่า  มี Compressor แอร์ เป็นแบบ Hybrid  คือมี 2 ตัว  ตัวหนึ่งต่อเข้าสายพาน และอีกตัวต่อเข้าไฟฟ้า  ซึ่งตัวที่ต่อเข้ากับไฟฟ้า จะทำงานในขณะ Idling Stop  จึงทำให้แอร์ยังเย็นอยู่  และจากการใช้งานจริง ติดไฟแดง เหยียบเบรกค้างไม่ต่ำกว่า 90 วินาที ยังสามารถทำได้  ถ้าเป็น 2 โมเดลก่อนหน้า  อาจจะทำได้เพียง 20 วินาที เต็มที่  และสามารถโยกคันเกียร์ไปยังตำแหน่ง N โดยที่เหยียบเบรกค้าง Idling Stop ก็ยังคงทำงานอยู่เช่นกัน  ยกเว้นเลื่อนไปถึงตำแหน่ง P  เครื่องยนต์จะติดทันที

ระบบเกียร์ 5AT ถูกถอดทิ้งไป ใส่ CVT  เน้นความนุ่มนวล และประหยัดเข้าแทนที่   ความสัมพันธ์ความเร็วต่อรอบเครื่องยนต์ จึงลดลงกว่าตัวปกติที่ใช้เกียร์ AT ที่ 100 กม./ชม. ใช้รอบเครื่องเพียง 1750rpm , 120 กม./ชม. ใช้ 2200rpm

   พวงมาลัยยังเป็นผ่อนแรงไฟฟ้า EPS เช่นเดิม   ระบบเบรก ด้านหน้าดิสก์แบบมีช่องระบายความร้อน  แต่ด้านหลังใช้เป็นดรัม     ช่วงล่าง ด้านหน้า  แม็คเฟอร์สัน สตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง    ด้านหลัง มัลติลิค์  พร้อมเหล็กกันโคลงเช่นเดิม   แต่มีการปรับเซ็ตอัพใหม่ในส่วนของสปริง  โดยด้านหน้าให้เหมาะกับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร   ในส่วนด้านหลังให้เหมาะกับน้ำหนักท้ายที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากแบตเตอรี่ถูกวางอยู่บริเวณด้านหลัง

ขับทดสอบ Honda Civic Hybrid ระยะทางไม่ไกล  ไป-กลับ   นิคมฯบางชัน – ดอนหอยหลอด

ในช่วงขาแรก ที่เดินทางไปยังดอนหอยหลอด ผมได้นั่งที่โดยสารด้านหลัง  สัมผัสของ Civic  Hybrid ใหม่นี้  มันทำให้ผมนั่งสบายมาก จนแทบอยากจะหลับ  นิสัยแย่ๆ ที่ชอบกระเด้งกระดอน  เล่นเอาท้องไส้ปั่นป่วน ใน Civic 1.8 และ 2.0  มันกลับหายไปเหลือเพียงความนุ่มนวลนั่งได้สบาย  แต่ไม่ได้นุ่มนิ่มยุบยวบ   และมันไม่กระด้างจากแรงสั่นสะเทือนจากพื้นถนนเข้าถึงห้องโดยสารมากนัก   ทำไม Civic ตัวปกติไม่เซ็ตออกมาแบบนี้มั่งนะ!    ก็คาดว่าเป็นผลมาจากการเซ็ตอัพในส่วนสปริงใหม่ ทั้งด้านหน้า และหลัง เพื่อ รองรับน้ำหนักที่ด้านท้ายมากขึ้น  และด้านหน้าที่เปลี่ยนไปจากเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร IMA ลงแทน  1.8 หรือ 2.0 ลิตร

หลังจากที่ได้รับกุญแจส่งมอบไม้สุดท้าย   ก็ขึ้นตำแหน่งผู้ขับ ต้องปรับเบาะด้วยระบบโยกมือ และปรับพวงมาลัยพร้อมกระจกเสียใหม่   ก่อนล้อหมุนเคลื่อนตัวออก    เริ่มฟีลลิ่งแรก เลย คือ พวงมาลัยไฟฟ้าที่อาการเหมือน Civic ตัวปกติ  คือน้ำหนักจะออกเบาหว๋อง ไร้น้ำหนักไปหน่อย ซึ่งอาจจะถูกใจสาวๆ หลายๆคน กับการขับขี่ใน กทม. หรือ การหมุนพวงมาลัยเพื่อจอด    แต่เมื่อความเร็วสูงขึ้น พวงมาลัยน้ำหนักยังคงดูเบาเกินไปอยู่  ซึ่งเข้าใจว่าพวงมาลัยคงไม่ได้เซ็ตแตกต่างไปจากตัวปกติ แต่อาจมีผลจากล้ออัลลอยที่มีขนาดเล็กส่งผลให้แรงเสียดทานต่ำกว่า  ตัว 1.8 และ 2.0 จึงส่งผลให้มีน้ำหนักเบา       และฟีลลิ่งที่สองที่ จับได้และเล่นเอาไม่ชินเลย นั่นก็คือ เบรกที่สุดยอดจะทื่อด้าน เท้าแบบสุดๆ  โดยปกติ ฟีลลิ่งเบรกของ Honda Civic ก็มักจะออกทื่อแข็งๆ แล้ว แต่สำหรับตัว Hybrid นี้ แปลกมาก  คือ ในช่วง 5ซม. แรกที่กดลงไป มันจะเหมือนกับเราดับเครื่องเหยียบเบรกอย่างไงอย่างงั้น ไม่มีน้ำหนักเลย แต่พอพ้น 5ซม. ลงไป มันกลับแข็งทื่อ ด้านเอามากๆ   รู้สึกราวกับรถไม่มีหม้อลมเบรก  เล่นเสียวเหมือนเบรกไม่อยู่  (แต่ที่จริงมันก็อยู่นะกดลึกๆ แรงหน่อย)  ซึ่งเราได้ถามทางวิศวะกรเค้าแจ้งว่า  การดีไซน์ แบบนี้เพื่อที่จะให้การเก็บประจุกลับมาชาร์จแบตเตอรี่ใหม่ ทำได้ดียิ่งขึ้น    ซึ่งอันนี้ยังแอบคาใจ  เพราะ Jazz Hybrid และ CR-Z ไม่มีอาการถึงขนาดนี้      สำหรับช่วงล่างที่เซ็ตมาให้นิ่มนั่งสบาย ขึ้นเมื่อได้มาเป็นผู้ขับ ลองมุดซิกแซก  รูดเปลี่ยนเลนกับการจราจรคับคั่ง  มันยังทำได้ดี หนึบไม่ต่างจาก เดิม  ด้านหน้าโยนบ้างนิดหน่อย เมื่อตัดเลนไปมา  ถือว่าช่วงล่างทำได้ดีเช่นเดิม ไม่ผิดหวัง  แต่ดีขึ้น  ในเรื่องความสบายสำหรับการโดยสาร

มาพูดกันถึงสมรรถนะกำลังเครื่อง IMA + เกียร์ CVT    เมื่อกระแทกคันเร่ง ด้วยความที่เป็นเครื่องบล๊อกเดียวกับ CR-Z ที่เคยขับมาและประทับใจกับสมรรถนะอัตราเร่ง  พอมาอยู่ใน Civic ใหม่นี้  ด้วยการปรับจูนใหม่  และน้ำหนักตัวที่มีมากขึ้น  กลับทำให้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะอัตราเร่งเหยียบแล้วยังมาไม่โดนใจนัก  ร่วมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ให้พละกำลังมาซึ่งน่าจะสัมผัสได้ตั้งแต่รอบต่ำ   แต่ความรู้สึกที่ได้ยังไม่เป็นเช่นนั้น    เรี่ยวแรงรู้สึกได้ว่าน้อยกว่า ตัว 1.8   อีกทั้งเกียร์ AT ยกทิ้ง ใช้ CVT แทน จึงส่งผลให้ความดิบ แรงกระตุก ดึงๆ ตอนลากรอบ ได้หายไปเป็นปลิดทิ้ง   มีเพียงเสียงเครื่องยนต์พร้อมแรงปั่นมอเตอร์ไฟฟ้าที่ช่วยหมุนเพลาขับ ดังขึ้น พร้อมกับรอบเครื่องยนต์ที่ไล่ขึ้นสูง เมื่อยังแช่เท้าไว้อยู่  รอบเครื่องยังคาอยู่ที่ราว 5500rpm และไม่ค่อยจะกระดิกไปต่อ ซึ่งต้องใช้วิธียกคันเร่งออกครึ่งนึง ก่อนเติมต่ออีกเล็กน้อย  เพื่อให้ความเร็วยังขึ้นแบบเรื่อยๆ Smooth ต่อเนื่องไป  เมื่อความเร็วไล่มาแล้ว ถือว่าทำได้ไม่เลว  ความเร็วไต่ขึ้นต่อเนื่อง ที่ความเร็วตั้งแต่ 120 ไปถึง 150 กม./ชม.  ถือว่าทำได้ดีพอใช้   ซึ่งถ้าจะขับขี่ให้ได้สมรรถนะเต็มที่  ต้องเรียนรู้การทำงานของเครื่องยนต์ IMA  ในจังหวะที่มอเตอร์ไฟฟ้าผสานแรงเข้าช่วยเครื่องยนต์ ซึ่งดูได้จาก จอ i-MID ที่แสดงผลอยู่ ว่าแบตเตอรี่ได้จ่ายพลังงานเข้าช่วยพร้อมกับเครื่องยนต์หรือไม่   แต่ถ้าหาก  ไม่เน้นสมรรถนะมากนัก ก็ขับได้เลยแบบบ้านๆ ทั่วๆไป  กล่องจะคำนวนความเหมาะสมของระบบเอง ว่าจังหวะใด ควรทำงานอย่างไร  เพื่อให้ใช้พลังงานได้อย่างคุ้มค่าที่สุด    และมาลองกด Econ Mode ดูบ้าง  คันเร่งตอบสนองช้าลงแบบชัดเจน  ขับแบบเรื่อยๆ ค่อยๆไป ถ้าไม่แช่เลนขวา ก็ ok อยู่  และเมื่อมาถึง Honda บางชัน เรียบร้อย ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองที่ผมทำได้ อยู่  14.8กม./ลิตร  กับการขับแบบไม่ได้เน้นประหยัด และการจราจรที่คับคั่งเอาเรื่อง  ถือว่าพอทน  เพราะ ทาง Honda เคลมอัตราสิ้นเปลืองตาม Euro Mode จะประหยัดกว่า 1.8 อยู่ 49%  ซึ่งจะได้ตัวเลขที่ 22.7 กม./ลิตร    ซึ่งถ้า Autospinn เรามีโอกาสจะยืมมาขับ วัดอัตราสิ้นเปลืองจากการใช้งานจริงกันอีกครั้งอย่างแน่นอน

สรุป  ตามที่ได้กล่าวไป  ความดิบหาย  เหลือให้แต่ความนุ่มนวล สบาย  ในการขับขี่และโดยสาร   ความเร็วมาแบบเรื่อยๆ ไม่หวือหวา เน้นขับขี่แบบประหยัด   ซึ่งมี Eco Coaching และ Eco Score ที่จะมอนิเตอร์พฤติกรรมการขับขี่ของตัวท่านเองได้     อย่าลืมถ้าคาดหวังความสปอร์ต หรือ อัตราเร่งแบบ CR-Z  ผิดหวังแน่นอน  เชิญไปออกตัว 1.8 หรือ 2.0 จะดีเสียกว่า    อัตราสิ้นเปลืองจริง ถ้ามีโอกาสผมจะลองนำมาพิสูจน์ใช้งานจริง  แต่คาดว่าทำได้ดี ไม่แพ้ Eco Car เป็นแน่

ภณ เพียรทนงกิจ (พล autospinn) ผู้เขียน

ราคา มีให้เลือกจับจ่าย 2 รุ่น ดังนี้    Honda Civic Hybrid ราคา 1,035,000 บาท และ Honda Civic Hybrid Navi ราคา 1,095,000 บาท

สีมีมาให้เลือกทั้งหมด 3 สี คือ ขาวออร์คิด (มุก), ขาวฟรอสตี้ (เมทัลลิก) และ เงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก)

ภาพเพิ่มเติมคลิก http://photos.autospinn.com/2013-Honda-Civic-Hybrid-Grouptest/


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ