ในช่วงนี้เราคงจะได้ ยินเสียงเพลง “Without You” ของ David Guetta ร้องโดย Usher กันบ่อยมากขึ้น ซึ่งที่จริงแล้วเพลงนี้ก็ไม่ใช่เพลงใหม่อะไรเลย เกือบจะ 2 ปีมาแล้ว แต่ที่เราต้องกลับมาได้ยินติดหูกันอีกครั้งนี้ ก็เนื่องจากเพลงนี้ถูกดึงมาใช้เป็น เพลงประกอบโฆษณา ให้กับ Toyota Vios World Premiere in Thailand โฉมใหม่หมดจดคันนี้เอง สำหรับ Toyota Vios โฉมใหม่นี้ มัน ถือเป็น Generation ที่ 3 แล้ว จากการที่เป็นรถยอดฮิตขายดีในบ้านเรา มายาวนานถึง 10 กว่าปี โดยเริ่มตั้งแต่ Soluna Vios ในปี 1997 กลายมาเป็น Toyota Vios โฉมแรก และถูกจับแปลงโฉมเป็น Generation ที่ 2 ในปี 2007 และล่าสุดปี 2013 นี้ Toyota Vios Generation 3 นี้ถูกเปิดเผยตัวเป็นที่แรกของโลกในงาน Bangkok International Motor Show ที่ผ่านมาเมื่อ 2 เดือนก่อนนี้ มันจะเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนฝาครอบกระดอง อย่างที่หลายๆ คนว่ากันจริง หรือไม่นั้น และที่สำคัญ Toyota จะกลับมาดึงส่วนแบ่งกลุ่ม B-Segment คืนมาได้หรือไม่ จากที่โดนหลากหลายค่ายแย่งชิงส่วนแบ่งในกลุ่ม City Car ไป ต้องมาติดตามชมกับสมรรถนะ New Vios ใหม่คันนี้
สำหรับการทดสอบในคราวนี้ ต้องขอขอบคุณ Toyota Motor ประเทศไทย ที่ได้เชิญทาง Autospinn เราไปร่วมทดสอบเป็นกลุ่มสื่อมวชลกลุ่มแรก โดยรถที่นำมาทำการทดสอบนั้น ประกอบด้วย รุ่น G และ รุ่น S ทั้งสิ้น 16 คัน ซึ่งทางผมได้คันหมายเลข 13 เป็นรถรุ่น G สีน้ำตาล Quartz Brown Metallic ภายในเป็นเบาะผ้าสีเบจ ในวันแรกที่ขับไป ขากลับได้สลับขับ รุ่น S หมายเลข 6 สีทอง Silky Beige Metallic ภายในเป็นสีดำ ราคาในรุ่น 1.5 G เกียร์ AT 699,000 บาท และ 1.5 S เกียร์ AT 734,000 บาท
ภายนอกสปอร์ตเต็มพิกัดในคราบ City Car Toyota ได้ทำการออกแบบดีไซน์ภายนอกใหม่ทั้งหมด ถือว่าสวยงามโดนใจ ใครหลายๆ คน ถ้าเมื่อเทียบกับตัวเก่า จะเพิ่มความยาวขึ้นอีก 110 มม. และความสูงขึ้นอีก 15 มม. ซึ่งจุดเด่นภายนอก หลักๆ น่าจะเป็นในเรื่องของ การเน้นด้านอากาศพลศาสตร์ของตัวรถ ( Aerodynamics ) ซึ่งการดีไซน์หลังคา แบบ Catamaran (มีแนวเส้นสันโหนกหลังคา 2 เส้น) อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ New Vios คันนี้ ช่วยลดแรงปะทะของลม จึงช่วยทั้งในส่วนอากาศพลศาสตร์อีกทั้ง ในเรื่องเสียงลมปะทะกดลดลงด้วย ซึ่งขับที่ความเร็วประมาณ 100 กม./ชม. ยังทำได้เงียบดี ไม่แพ้รถในระดับ C-Segment หลายรุ่น พร้อมการติดตั้ง ครีบเรียงอากาศ ที่กระจกมองข้างและไฟท้าย โดย ครีบ นี้จะเป็นเหมือนการเสริมแรงกดทางอากาศ ส่งผลให้รถมีแรงกดที่ความเร็วสูง รถจะมีแรงยึดเกาะถนนเพิ่มมากขึ้น กระจังหน้าขนาดเล็กลงเพื่อลดแรงต้านอากาศ รวมถึงบริเวณใต้ท้องรถก็ปรับการดีไซน์ลดแรงต้านด้วยเช่นกัน โดยรวมแล้วการดีไซน์แบบใหม่ที่เน้น Aerodynamics นี้เสริมทั้งความหล่อและลู่ลมแล้ว ยังช่วย ทำให้อัตราสิ้นเปลืองดีขึ้นอีกนิด และตัวเลขค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน (cd) ของ Vios ใหม่นี้อยู่ที่ 0.286 เท่านั้น ซึ่งใกล้เคียงกับรถ Hybrid Hatchback หรู อย่าง Lexus CT200h
รถคันที่ทาง Toyota ได้นำมาให้สื่อทดลองขับกันนั้น มี 2 รุ่น คือ S และ G ซึ่ง ไฟหน้าจะเป็นแบบโปรเจ็คเตอร์ เพิ่มความดูดีมีระดับ โดย รุ่น S จะเป็นแบบรมดำ แต่ G จะเป็นโคมใส สำหรับไฟตัดหมอกจะมีให้ในรุ่น S Top line เท่านั้น และมือจับประตู ของรุ่น S จะเป็นแบบโครเมียม ในขณะที่ G เป็นสีเดียวกับตัวรถ กระจกมองข้างแบบมีไฟเลี้ยวในตัวมีให้ในรุ่น S และ G เท่านั้น กระจกบังลมด้านหน้าเป็นแบบกันเสียงรบกวน (Acoustic Glass) ซึ่งมีให้เฉพาะรุ่น S และ G อีกเช่นกัน และสุดท้ายล้ออัลลอย ขอบ 16” รมดำ ในรุ่น S หุ้มยาง Bridgestone Turanza 195/50/16 และล้ออัลลอยขอบ 15” รัดด้วยยาง Yokohama db 185/60/15 ในรุ่น G
เข้ามามองกันที่ภายในห้องโดยสาร ในรุ่น S ภายในตกแต่งเป็นสีดำเท่านั้น ลายเบาะผ้าก็จะแตกต่างจากรุ่นอื่นๆ ในขณะที่รุ่นอื่นที่เหลือ จะมีโทนสีเบจ และ ดำ ให้เลือกสรรกัน เมื่อเข้ามาในห้องโดยสารแล้วอันดับแรกเราจะเห็นว่าได้ย้ายแผงมาตรวัด จากตรงกลางกลับมายังตำแหน่งผู้ขับ ทำให้มองเห็นได้อย่างชัดเจน และเสริมความสปอร์ตยิ่งขึ้น โดยมาตรวัดเฉพาะรุ่น S จะเป็นสีแดงแบบสปอร์ต นอกนั้นจะเป็นสีน้ำเงิน มีลูกเล่นที่ไฟ Eco จะโชว์ขึ้นตลอดหากขับขี่แบบปกติ ไม่ได้เปิดคันเร่ง หันกลับมาที่บริเวณคอนโซลกลาง รู้สึกว่า พื้นที่วางของใช้สอย ดูจะวางลำบากไปหน่อย โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ เวลาเลี้ยวโค้งที ทำเอาหลุดออกจากช่องวางตลอด และที่เก็บของเล็กๆ ที่อยู่ด้านหน้าตำแหน่งคันเกียร์ ก็ดูจะหยิบใช้ลำบากไปอีก จนถึงที่เท้าแขน ซึ่งตำแหน่งล่นไปด้านหลัง อีกทั้งมีขนาดเล็กน่ารัก แล้วก็แข็งมากด้วย ทำให้ไม่สามารถใช้เท้าแขนได้จริง ยิ่งถ้ามีผู้โดยสารนั่งด้วย แย่งกันเท้าศอก ไม่พออย่างแน่นอน แต่สิ่งที่น่าประทับใจ นั่นคือ เครื่องเสียง พร้อมลำโพง 4 ตัว ที่ดูมีมิติเสียงที่ดีขึ้นมาก เสียงเบสมีตึบให้ แน่นอก กันเล่นหากเปิดเสียงดังๆหน่อย กระจกมีสั่น นอกนั้น ก็ เป็นในส่วนพื้นที่ห้องโดยสารที่ยาวขึ้น ทำให้นั่งได้สบายขึ้นอีกหน่อย ในส่วนตัวเบาะมีปีกโอบกระชับดีเลย นั่งแล้วโอบลำตัวดีมาก (ไซส์ตัวขนาดไม่หนามากเช่นผม) แต่ถ้าคนตัวใหญ่มานั่ง เบาะนี้จะดูเล็กเกินไปทัน และที่ถือเป็นจุดที่ประทับใจเกินคาด เสียงในห้องโดยสารเก็บได้ยอดเยี่ยมมาก ตามที่ได้กล่าวไป จากการเพิ่ม Acoustic Glass โดยส่วนนี้ เสริมเฉพาะรุ่น S และ G เท่านั้น (ทางเราไม่ได้ทดลองขับรุ่น E ลงไป ไม่รู้ว่าเสียงจะเงียบได้เยี่ยมเท่านี้หรือไม่) จุดอื่นที่น่าสนใจเพิ่ม คือ ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ ที่ปรับอุณหภูมิ และความแรงโดยใช้มือหมุนที่กรอบ (เฉพาะ S และ G), พวงมาลัยสามก้านหุ้มหนังที่ดูดีขึ้นมาก เดินด้ายสีน้ำเงิน เสริมความสปอร์ต และ ยังมีปุ่มควบคุมเครื่องเสียงให้อีก (เฉพาะ S และ G) และสำหรับรุ่น S ที่เป็น กุญแจแบบ Keyless จะมีปุ่ม Push Start ฝังมาให้ อยู่ข้างๆ กับปุ่มปรับกระจกมองข้าง ที่ฝังอยู่บริเวณ Trim ด้านขวามือ
ด้านสมรรถนะในการขับขี่ของเครื่องยนต์ 1NZ-FE 4 สูบ DOHC พ่วงวาล์วแปรผันVVT-I ความจุ 1,497cc ให้แรงม้า 109 ตัว @6,000rpm ให้แรงบิด 141Nm@4,200pm ผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro 4 จากเดิม Euro 3 และได้มีการเสริมยางแท่นเครื่องเพื่อช่วยลดแรงสั่นสะเทือนลงจากเดิม สำหรับเครื่องยนต์ตัวนี้เป็นบล๊อกเดิมใช้มาตั้งแต่ Toyota Vios โฉมแรก อึดถึกทน! มันได้มีการปรับจูนใหม่ เน้นนุ่มนวล คันเร่ง ไม่หวือหวา จนรู้สึกว่าคันเร่งแข็งมาก (พอๆกับ น้ำหนักของแป้นคันเร่ง Chevrolet Sonic) ซึ่งถ้าต้องการเร่งแซง คันเร่งยังถือว่าตอบสนองช้าไป จังหวะจะแซงมีให้ลุ้นเสียวกันเล่นบ้าง คือจะว่าไปไม่ใช่ว่ารถไม่มีกำลังเครื่องนะ มันมีแต่ การตอบสนองนั้นช้าไปในจะหวะออกตัว และเร่งแซง แต่เมื่อรอบเครื่องค่อยๆ มาแล้ว การความเร็วก็ไต่ขึ้นแบบไม่ขี้เหล่ ตัวคันเร่งไฟฟ้านั้นถูกปรับจูนเหมือน ให้รู้สึกเหมือนขับอยู่ใน Eco Mode ตลอดเวลา ถ้าขับแบบเลี้ยงคันเร่ง เรื่อยๆ ไม่ได้กระแทก คันเร่ง ไฟ Eco จะขึ้นโชว์อยู่ตลอด ก็ช่วย Monitor นิสัยคนขับให้ขับแบบประหยัดต่อไปได้ แต่นะนำถ้าต้องการแก้ปัญหานี้ สงสัยคงต้องไปซื้อ กล่องหลอกคันเร่งไฟฟ้า E-Drive มาติดกันแก้ขัดกันไป แต่ที่ผมแปลกใจ คือ การปรับจูนเครื่องกลับขัดกันเองกับบุคลิกของตัวรถที่เน้นความเป็นสปอร์ต ที่มากขึ้น แต่ทำให้ขับได้นุ่มนวล ลดความดิบลงไปเยอะ ประมาณว่า อยากสวยหล่อ แต่ขับประหยัด ไม่เน้นแรงเชิญทางนี้เลย
มาเปิดเผยตัวเลขต่างๆ กันได้แล้ว จากที่ตอนแรกขออุบเอาไว้ อันนี้เป็นข้อมูลจากทีมวิศวะกร Toyota ใช้การวิ่งเทสบน Dyno ในรุ่นเกียร์ AT อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 11.4 วินาที ความเร็วสูงสุดที่ทำได้ 179km/h อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ย 16.1 กม./ลิตร มาพูดเสริมในส่วนอัตราสิ้นเปลืองเพิ่มเติมกัน ทางผมได้เห็นตัวเลขข้อมูลเพิ่ม จากทีมวิศวะกร ที่นำรถออกมาวิ่งทดสอบจริง ในตัวเมือง เกียร์ MT จะทำได้ราว 12 กม./ลิตร และ 11 กม./ลิตร สำหรับเกียร์ AT หากวิ่งทางไกล เกียร์ MT ทำได้ราว 17 กม./ลิตร 16 กม./ลิตร สำหรับตัวผม ที่ขับในวันแรก ช่วงเล่นโค้งไปมา นั้นทำได้ ที่ 12.7 กม./ลิตร (ตามหน้าจอ MID โดยที่ขับไม่ได้เน้นประหยัดนัก เพราะเน้นทดสอบสมรรถนะ)
ด้านระบบส่งกำลัง ยังใช้เกียร์อัตโนมัติ 4 Speed สำหรับรุ่น เกียร์ AT และ 5 Speed ในรุ่นเกียร์ MT จากที่ยกเครื่องมาแล้ว เกียร์ก็ตามๆกันมาด้วยเหมือนเดิม แต่จากที่กล่าวไปการปรับจูนให้ ตอบสนองได้นุ่มนวลขึ้น เกียร์ขึ้นได้รวดเร็วขึ้น ที่รอบต่ำ เน้นขับแบบ Eco และ มอบสุนทรีย์การขับ แต่เมื่อ Kickdown ลงเต็มเท้ารอแปปนึง รอบเครื่องตวัดลากรอบเครื่องยนต์ได้ราว 6200rpm ก่อนที่เกียร์จะ Shift ขึ้น การตอบสนองรอจังหวะเพื่อ ทำให้สมูทกว่าเดิม และมันสมูทกว่า Corolla Altis ที่เป็นเกียร์ 4AT แต่จากที่บอกไป ขับเรื่อยๆ มันทำได้ค่อนข้างดี นุ่มนวล ถึงแม้จะไม่มากเท่า CVT แต่ก็ไม่ได้กระตุกในจังหวะเปลี่ยนเกียร์ให้รำคาญกัน แต่ความกระฉับกระเฉงนั้นลดลง นั่นทำให้ถ้าคุณต้องการเน้นสมรรถนะของกำลังเครื่องจะต้องพยายามลากรอบสูงไว้ตลอด ซึ่งอาจจะใช้วิธี ตบคันเกียร์มาด้านขวาเพื่อเข้าตำแหน่ง 3 เหมือนเป็นการเล่นกับปุ่ม Overdrive นั้นเอง อย่างน้อยมันจะทำให้ Vios คันนี้ พอดึงฟีลลิ่งดิบๆ กลับคืนมาได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
แฮนด์ลิ่งพวงมาลัย เป็นแบบผ่อนแรงไฟฟ้า มีขนาดวงเลี้ยวที่เพิ่มขึ้น จาก 4.9 ม. เป็น 5.1 ม. เนื่องจากความยาวตัวถังที่เพิ่มขึ้น และ เป็น 5.7 ม. ในรุ่น S จากยางขอบ 16” ที่มีความกว้างเพิ่มขึ้นอีกหน่อย ฟีลลิ่งยังคงให้ความรู้สึกแบบหลอกไม่เป็นธรรมชาติ เหมือนที่พบกันทั่วไป แต่พวงมาลัยเจ้า Vios นี้ ถือว่ามีน้ำหนักที่แน่น มั่นคงทีเดียว ในทุกย่านความเร็ว เท่าที่ผมได้ลองขับ ตั้งแต่ที่ความเร็วต่ำและปานกลาง ไปยันความเร็วสูง สามารถขับแบบปล่อยมือได้ อย่างสบายๆ แต่จากการที่ได้ลองขับ 2 คัน พบว่าคันแรกพวงมาลัยกินขวา และคันที่สอง พวงมาลัยกินออกทางซ้าย และน้ำหนักแตกต่างกันเล็กน้อย ในรุ่น S รู้สึกมั่นคงกว่าที่ช่วงความเร็วสูง (คาดว่าเป็นผลมาจากความกว้างของยางที่มากขึ้น) ในช่วงความเร็วต่ำ การสาวเพื่อจอดรถ หรือ เคลื่อนตัว ดูออกจะหนักไปหน่อย อาจเมื่อยไปนิดจากอัตราทดพวงมาลัยที่มากกว่าเดิม (ตัวเก่าอัตราทด 14.2:1 หมุนครบวงเลี้ยว 3.02 รอบ แต่ตัวใหม่เพิ่มอัตราทดเป็น 16.5:1 หมุนครบวงเลี้ยว 3.28 รอบ) ทำให้การสาวเพื่อให้ได้วงเลี้ยวที่เท่าเดิม จะต้องสาวมากขึ้น พวงมาลัยจึงลดความคม ความฉับไวลง ซึ่งสอดคล้องไปในทางเดียวกับ การปรับจูน เครื่องยนต์และเกียร์ ที่ให้ความนุ่มนวล และการตอบสนองอย่างค่อยเป็นค่อยไป และแลกมากับความมั่นคงในการขับขี่ด้วย
เบรก ระบบเบรกแบบดิสก์ 4 ล้อ ที่มีให้ในรุ่น S และ G เป็นจุดที่สร้างความประทับใจที่สุดแล้วในสมรรถนะรถคันนี้ กับระบบเบรกดิสก์ 4 ล้อ อาการเบรกทื่อๆ เหมือนรถหลากหลาย รุ่นของ Toyota นั้นหายไปหมด การตอบสนองแป้นเบรก รวดเร็ว หนึบแน่นไว้ใจได้เลย การขับช่วงแรก ยังไม่ชินน้ำหนักเท้า เล่นเบรกจึกหน้าทิ่มเอาเหมือนกัน เมื่อกะน้ำหนักเท้าในการลงแป้นเบรกได้ที่แล้ว การเบรกจึงนุ่มนวลขึ้นหน่อย และที่สำคัญมันหนึบขึ้นมากกกกก! ซึ่งทำได้ดีเกินรถในระดับ Sub-Compact ด้วยกัน จนต้องเทียบว่าทำได้ดีไม่แพ้ C-Segment หลายรุ่น
ซึ่งสาเหตุของเบรกที่ดีนั้น มีผลจากการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมในส่วน Brake Booster Vaccuum Ejector Control โดยมีสายต่อออกจากหม้อลมเบรก เพิ่มขึ้นสองเส้น ซึ่งจะมีวาล์วเปิดที่รอบเครื่องสูง เมื่อ รอบเครื่องสูง จะดูด แรงอัดสูญญากาศออก ทำให้หม้อลมเบรก สามารถกดลงน้ำหนักได้ จึงทำงานได้อย่างดี แม้ช่วงรอบเครื่องที่สูง เพราะมันสั่งการโดย ECU ประสานการทำงานกับ VVT-I
ช่วงล่าง ด้านหน้า แมคเฟอร์สัน สตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลงซึ่ง ดูตามสเป็กก็แบบเดิมเป๊ะ แต่การขับขี่ฟิลลิ่งนั้นต่างไปในทางดีขึ้นพอสมควรเลย เพราะมีการเสริมเหล็กกันโคลงตัวถัง และทอร์ชั่นบาร์ใหม่ รวมถึงเสริมบาร์ในด้านห้องสัมภาระท้ายเข้าไปอีกเป็นเหมือนค้ำตัวถังด้านหลัง และการเสริมบริเวณค้ำตัวถังด้านล่าง นอกจากนั้นมีการปรับจูนโช้คอัพใหม่ให้มีช่วง Rebound ที่ดียิ่งขึ้น ทำให้การซับแรงกระแทก และการตอบสนองต่อสภาพถนนสุดแย่ในบ้านเรา ทำได้ออกมาดีแนวนุ่มนวล รองรับกับการใช้งานบ้านเราได้อย่างเหมาะสม จากรุ่นที่ได้ขับในวันแรกเป็น รุ่น G ซึ่งใช้ล้ออัลลอย ขอบ 15” ที่มีแก้มยาง และตัวดูดซับแรง บริเวณใต้ท้องรถที่เสริมเพิ่มเข้าไป ทำให้สมรรถนะการขับขี่ที่ได้นุ่มนวลมากขึ้น และมีความกระชับของช่วงล่างที่ดีขึ้น เมื่อขับขี่ในถนนปกติทางตรง ถือว่าเกาะถนนได้ไม่แย่เลย จากการปรับเซ็ตค่า Rebound และ Compression ของโช้คอัพมาใหม่ ทำให้ช่วงล่างถึงแม้จะนุ่มนวลพอตัว แต่ไม่ได้ออกมาย้วยกระชับพอตัว แต่ทว่า! ลองเล่นในจังหวะเข้าโค้ง พบว่าช่วงล่าง ออกอาการดื้อโค้ง (Understeer) ค่อนข้างมาก ยิ่งรวมกับพวงมาลัยที่มีอัตราทดมาก ไม่มีความไว เฉียบคมด้วยแล้ว การเข้าโค้งนั้นทำได้ยากขึ้น ซึ่งหากคิดจะเล่นโค้งนั้น ต้องระมัดระวังให้ดี อย่าประมาท และการใช้วิธีลดเกียร์ ควบคุมความเร็วก่อนเข้าโค้งนั้นจะช่วยได้มาก ยิ่งการเดินคันเร่งในโค้งหวังให้เกาะจิกช่วงโค้งนั้น กลับไม่เป็นไปอย่างใจต้องการ ตัวรถพยายามแสดงอาการแถออกจากไลน์ที่จะเข้าโค้งตลอด ยิ่งรุ่น G ที่ใช้ยางขอบ 15” Yokohama db ช่างดูจะไม่จิกเกาะถนนนัก แต่เมื่อได้มาลองในตัว S ที่เป็นยางขอบ 16” Bridgestone Turanza ต้องยอมรับว่าเสียงยางเข้าห้องโดยสารเพิ่มขึ้น แต่ การเกาะถนนมันทำได้ดีกว่าอยู่หน่อย ถึงแม้อาการดื้อโค้งจะเหมือนเดิม แต่จังหวะเดินคันเร่งในช่วงออกโค้งนี้ ยางจะไม่ไถลออกมากเท่าตัว G สำหรับความกระด้างนั้น ก็แทบจะไม่ได้แตกต่างกันมาก กับแก้ม 50 ในขอบ 16” และ แก้ม 60 ในขอบ 15”
สรุป All New Toyota Vios Have It All ถือเป็นรถ City Car ที่ทำออกมาได้ค่อนข้างลงตัวกับการขับขี่แบบ เน้นความนุ่มนวล และขับขี่บ้านๆ ในแบบคนทั่วไป ถึงแม้ เครื่อง, เกียร์, ช่วงล่าง จะยกชุดจากตัวเดิมมา ดูๆ เหมือนจะเปลี่ยนเพียงแค่ กระดองฝาครอบ แต่จัดเสริมของเล่นออปชั่นภายใน แต่มันไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่ตาเรามองเห็นเท่านั้น เพราะสมรรถนะ นั้นถูกปรับปรุงไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งมาตรฐานไอเสีย เครื่องยนต์ที่เน้นความนุ่มนวล ออกแนวเน้นประหยัด และที่สำคัญ เบรกมันทำได้ดีมาก ! ยอดเยี่ยมน่าประทับใจที่สุด ส่วนออปชั่น ก็มีให้แบบดีเกินตัว ไม่น้อยหน้ารถยนต์ Compact หลากหลายรุ่น แต่สิ่งที่รู้สึกว่ามันขัดแย้งกัน คือ รูปลักษณ์ออกสปอร์ตเต็มตัว แต่ทว่า สไตล์การขับขี่ที่ได้ กลับเน้นนุ่มนวล ขัดแย้งกับรูปลักษณ์ไปหน่อย ซึ่งถ้าคิดอยากจะออก Toyota Vios ใหม่นี้ แล้วชอบขับแบบซิ่งๆ คงต้องหันมาจับเกียร์ MT กันดีกว่า สำหรับราคา กับออปชั่นที่ได้ บวกกับความเป็นแบรนด์ Toyota ก็ถือว่าเป็นรถ Sub-Compact หรือ City Car บ้านๆ ที่เหมาะแก่การใช้งานทั่วไป แบบเน้นคุ้มค่าราคา ดูแล้วคงไม่น่าแปลกใจที่ Toyota น่าจะกลับมาชิงส่วนแบ่งในกลุ่ม B-Segment คืนความเป็นเจ้าตลาดอย่างแน่นอน
ภณ เพียรทนงกิจ ผู้เขียน
ชมภาพเพิ่มเติมคลิ้ก http://photos.autospinn.com/2013-Toyota-Vios-GroupTest/
ความคิดเห็น