ช่วง Motor Drive ในสัปดาห์นี้เราขอนำเสนอบททดสอบสุดมันบนแทร็กทดสอบ ที่รวมเอายนตรกรรมใหม่ล่าสุดมากมายไว้ให้ทีมงาน Autospinn ของเราได้ทดสอบและนำมาฝากกันเพื่อเรียกน้ำย่อยก่อนจะได้พบกับรถแต่ละคันในการทดสอบแบบ Full Test ในช่วง Motor Drive ครั้งต่อไปของเรา
ซึ่งจากค่ายรถทั้งหมดที่ส่งรถทดสอบมาให้ได้ลองสมรรถนะกันบนสนามทดสอบเฉพาะกิจของงานมอเตอร์โชว์ในปีนี้กว่า 10 ค่ายดังมากมายหลายต่อหลายรุ่น ซึ่งเราได้คัดเอาคันที่ถือว่า Hot ที่สุดและได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าที่มาทดลองขับกันเป็นจำนวนมาก มาทดสอบกันให้ได้เห็นสมรรถนะแบบคร่าวบนสถานีทดสอบทั้งหมด 4 Station ที่มีให้ลองทั้งอัตราเร่งแบบสั้นๆ และสัมผัสกับแฮนลิ่งของพวงมาลัยรวมถึงช่วงล่างและเบรก
โดยรถคันที่เป็น Highlight ในครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มซึ่งที่เรทติ้งสูงสุดนั้นจะเป็นรถแบบอเนกประสงค์โดยเฉพาะ Mini MPV น้องใหม่จาก 2 ค่ายอย่าง Chevrolet Spinn และ Suzuki Ertiga รวมถึงรถ SUV และ PPV ที่มี Captiva เป็นพระเอกและมีรถหรูอย่าง Benz ML-Class กับ Lexus ตระกูล RX มาช่วยสร้างบรรยากาศ
ส่วนในกลุ่มคอมแพ็คซีดานนั้นก็การแข่งขันกันหลายรุ่นไม่ว่าจะเป็น Cruze1.8 ใหม่ Ford Focus และ Nissan Pulsar ใหม่ และปิดท้ายด้วยรถในกลุ่มสปอร์ตทั้ง 2 ประตู 4 ประตู อย่าง VW Scircco , Golf GTi ,เบนซ์ A250 , Lexus GS350 รวมถึงสปอร์ต 2+1 ที่ได้รับความสนใจไม่น้อยอย่าง Hyundai Veloster ที่เราได้ทำทดลองขับและเก็บภาพมาฝากกันด้วย
แต่ก่อนอื่นขอเริ่มต้นแบบเบากับรถครอบครัวที่ได้รับความสนใจมากที่สุดอย่าง Suzuki Ertiga และ Chevrolet Spinn กันก่อนเลย
"Suzuki Ertiga"
Ertiga รถยนต์ในกลุ่ม Mini MPV น้องใหม่จาก Suzuki ที่แชร์แพลทฟอร์มร่วมกับ Suzuki Swift โดยการขยายฐานล้อและเพิ่มขนาดของตัวถังให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 7 ที่นั่ง ที่ดูโดดเด่นด้วยดีไซน์ที่รับการถ่ายทอด DNA มาจาก Swift บนเส้นสายที่โค้งมนสลับรูปทรงเหลี่ยมของตัวถัง พร้อมล้ออัลลอยขนาด 15 บวกกับห้องโดยสารที่ดูเรียบง่ายสบายตา พร้อมเบาะนั่งสูงๆนั่งสบาย ตามสไตล์รถครอบครัวและมีช่องแอร์ตอนสองมากถึง 4 ช่อง สามารถปรับแบ่งไปให้ผู้โดยสารตอน 3 ได้อย่างเพียงพอ พร้อมความสะดวกสบายในแบบ One touch walk-in เพียงครั้งเดียวเพื่อปรับเบาะเลื่อนได้อย่างสะดวก
Ertiga มาพร้อมกับเครื่องยนต์บล๊อกใหม่ขนาด 1.4 ลิตร รหัส K14B ที่ต่อยอดมาจากขุมพลังรหัส K12B จาก Swift และนำมาขยายความจุเพิ่มพร้อมกับระบบวาล์วแปรผันทางฝั่งไอดีเพียงด้านเดียวหรือ VVT ที่ให้กำลัง 95 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 130 นิวตันเมตรที่ 3,000 รอบ และใช้ระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดเพื่อถ่ายทอดกำลังลงสู่ล้อคู่หน้า
ซึ่งจากที่ได้ลองขับในช่วงทางตรงสั้นๆบนสนามทดสอบนั้น Ertiga ดูจะตอบสนองที่คันเร่งค่อนข้างช้า เนื่องจากแรงม้าที่ต้องแบกน้ำหนักที่ค่อนข้างมากบวกกับเกียร์ 4 สปีดที่ต้องใช้รอบที่สูงจนต้องลากรอบให้สุดเกียร์ 2 ที่ 6,000 รอบ ก่อนจะต้องชะลอเพื่อเข้าโค้ง U-Turn เพื่อเข้าสู่ Station Slalom ที่จะต้องขับซิกแซกผ่านไพล่อนเพื่อลอง Handling ไฟฟ้าแบบ EPS ที่ให้น้ำหนักค่อนข้างดีที่ความเร็วกลางๆในช่วงทางตรงและเลี้ยวซิกแซกแบบไม่แรงมาก พร้อมช่วงล่างสไตล์รถจ่ายกับข้าวที่เน้นความนุ่มนวลที่ด้านหน้าเป็นแม็คเฟอร์สัน สตรัท และด้านหลังทอร์ชั่นบีม แบบเดียวกับ Suzuki Swift ที่มีการยุบตัวที่ค่อนข้างมากทั้งในช่วงสาดโค้งและช่วง Slalom
ก่อนจะเข้าสู่สถานี Lane Change ที่พวงมาลัยกลับให้ความรู้สึกที่ไวไป นิด กับช่วงล่างตอนหักเลี้ยวกระทันหันที่แสดงอาการถ้ายปัดเล็กน้อยก่อนจะขับผ่านโค้ง Hi Speed พร้อมอาการหน้าดื้อและบานออกถ้าเข้าแรงเกินไป ก่อนจะปิดท้ายด้วยสถานีทดสอบเบรก ซึ่ง Ertiga จัดมาให้แบบดิสก์และดรัมหลังพร้อมระบบ ABS และ EBD ที่ให้น้ำหนักเบรกในระดับกลางๆก็พอเอาอยู่ในระยะทางทดสอบที่สามารถทำความเร็วได้ไม่เกิน 60 กม./ชม. ซึ่งให้ความหนึบได้อย่างมั่นใจ กว่ารถ B-Car หลายค่าย เบรกไม่แข็งและไม่ตื้นเกินไป
สรุปแล้ว Suzuki Ertiga นั้นถูกออกแบบมาเพื่อเอาใจคนนั่งมากกว่าคนขับด้วยความอเนกประสงค์และความสะดวกสบายที่สมราคา เมื่อเทียบกับคู่แข่ง ส่วนเรื่องของสมรรถนะนั้นยังอยู่ในระดับกลางเหมาะที่จะขับรับส่งคุณหนูได้อย่างสบายๆ
"Chevrolet Spinn"
ส่วนคู่แข่งของ Ertiga อย่าง Chevrolet Spinn รถเอนกประสงค์น้องใหม่จากค่าย Chevy ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นานนี้ ซึ่ง Spinn นั้นมาพร้อมกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูบึกบึนสไตล์ Chevy ที่มาพร้อมกับขุมพลัง Eco-Tec ความจุ 1.5 ลิตร ที่ให้แรงม้าสูงสุดที่ 107 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที พร้อมแรงบิดสูงสุดที่ 148 นิวตันเมตร ที่ 3,800 รอบ/นาที พร้อมระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมสวิทซ์เปลี่ยนเกียร์แบบเกียร์ธรรมดาและมีให้เลือกเพียงรุ่นท็อป LTZ เพียงรุ่นเดียวที่ราคา 762,000 บาท
ซึ่งจุดเด่นของ Spinn นอกดีไซน์ภายนอกที่ดูล่ำสันพร้อมลุยมากกว่ารถ Mini MPV คู่แข่งแล้ว ในส่วนของขุมพลังยังถือว่าจัดจ้านและให้การตอบสนองที่ดีเกินตัวพร้อมด้วยไฮไลท์เด็ดที่ถือว่าแตกต่างจาก Ertiga ชัดเจน นั่นคือระบบกันสะเทือนที่ให้ฟิลลิ่งในการขับที่เหนือกว่ารถครอบครัวจ่ายกับข่าวทั่วไป ด้วยช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระแแม็กเฟอร์สันสตรัทและด้านหลังแบบ......ซึ่งให้การยึดเกาะถนนที่มั่นใจได้ทั้งในช่วงสาดโค้งสั้นๆตรงก่อนเข้า Slalom ที่ให้การบังคับควบคุมผ่านพวงมาลัยที่หน่วงน้ำหนักมาค่อนข้างตึงมือไม่เบาหวิวทำให้รู้สึกมั่นใจ ก่อนจะจบสวยๆที่สถานี Lane Change ซี่งทำให้เห็นถึงสเถียรของช่วงล่างที่มั่นคงถึงแม้จะไม่มีระบบใดๆมาช่วยนอกจาก ABS กับ EBD ในตอนที่ลองเบรกซึ่งรู้สึกหนักเท้ากว่าคู่แข่งอย่าง Ertiga แต่ให้ระยะเบรกที่ไม่แตกต่างกันมากนัก
สรุปแล้วถึงแม้ว่า Spin จะตอบโจทย์ในเรื่องความสะดวกสบายด้วยออฟชั่นและอุปกรณ์ต่างๆได้ไม่โดดเด่นเท่าคู่แข่งก็ตาม แต่ถ้าพูดถึงในแง่ของสมรรถนะแล้ว Spin คือพระเอกในรถกลุ่ม Mini MPV ในตอนนี้ได้ไม่ยากด้วยภาพรวมที่กำหนดมาเพื่อเอาใจผู้ขับมากกว่าผู้โดยสารได้แตกต่างจากคู่แข่งค่ายอื่นๆอย่างชัดเจน
"Hyundai Veloster"
สำหรับเจ้า Hyundai Veloster นั้นถือเป็นรถสปอร์ตที่ Hot ที่สุดในลานทดสอบครั้งนี้เลยก็ว่าได้ ซึ่งนอกจากดีไซน์ภายนอกที่เข้าตากรรมการแล้วมันยังร้อนแรงด้วยขุมพลังที่มีให้เลือกทั้งในรุ่นธรรมดาและรุ่นที่พ่วงเทอร์โบมาให้เพื่อช่วยเพิ่มความแรงซึ่งทำให้เราเลือกเอารุ่นเทอร์โบมาทดสอบในครั้งนี้
Veloster มาพร้อมกับภาพลักษณ์ที่ได้รับแรงบรรดาลใจมาจากรถ Superbike ที่มีความดุดันและแนวคิด Fluidic Sculpture Design ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ Hyundai รวมถึงการออกแบบประตูที่สุดแปลกแหวกแนวในสไตล์ใหม่แบบ 2+1 ประตู ด้วยประตูบานหลังที่เปิดได้เพียงฝั่งซ้ายเท่านั้นสำหรับความต่างของ ตัว NA และเทอร์โบ ก็จะมีตั้งแต่กันชนหน้า ,ชายสเกิร์ตด้านหน้าและด้านข้าง , Sunroof ที่มีให้ในตัว Turbo รวมถึงล้อแม็ก 18 นิ้วลาย 5 ก้านโครเมี่ยมซึ่งอยู่ในรุ่นเทอร์โบ ส่วนรุ่น NA จะเป็นขนาด 17 นิ้วส่วนไฟหน้าสำหรับตัว Turbo นั้นจะเป็นโคม Projector พร้อมไฟวงแหวน ที่ตกแต่งด้วยไฟ LED ด้านล่าง แต่ NA เป็นหลอดธรรมดาซึ่งดูเหมือน และปิดท้ายความดุดันในรุ่น Turbo ชุด Diffuser และปลายท่อคู่ออกตรงกลาง Rear Bumper ทรงกลมที่แตกต่างจากตัว NA ซึ่งเป็นทรงเหลี่ยม
ภายใน ที่เห็นเด่นชัดคือ วัสดุเบาะ ที่เป็นผ้าในตัว NA และหนังสีดำในตัว Turbo แต่ก็ยังคงมีปักคำว่า Veloster ไว้ที่เบาะ ของทั้งสองรุ่น ในส่วนตัว Turbo ปุ่มบนพวงมาลัยที่ใช้ควบคุมมีมาให้ครบ แต่ NA จะตัด Cruise Control และ Paddle Shift และ Bluetooth ออก ในส่วนเบาะนั่งจะปรับมือทั้งหมด แต่ Turbo จะปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง พร้อมพื้นที่สำหรับผู้โดยสารตอนหลังที่สบายเกินกว่ารถสปอร์ตทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด
Veloster ตัวแรงรุ่นเทอร์โบมาพร้อมกับขุมพลัง1.6 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมวาล์วแปรผัน D-CVVT พร้อมหัวฉีดแบบ GDI ที่ฉีดตรงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ และพ่วงเทอร์โบแบบ Twin Scroll ที่ช่วยปั่นแรงม้าได้ 186 ตัวที่ 5,500 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุด 265 นิวตันเมตร ที่ 1,500 – 4,500 รอบ/นาที ส่วนในรุ่น NA นั้นจะเป็นเครื่องยนต์ความจุเท่ากันซึ่งต่างกันที่เทคโนโลยีของระบบหัวฉีดที่ยังเป็นแบบ Multipoint และไม่มีการพ่วงระบบอัดกาศมาให้ทำให้มีพละกำลังด้อยกว่าที่ 130 แรงม้าที่ 6,300 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 157 นิวตัน-เมตร ที่ 4,850 รอบต่อนาที พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 Speed
สำหรับฟีลลิ่งในการขับขี่ระยะสั้นนั้นทันทีที่เข้าเกียร์ และกระแทกคันเร่งออกไป รู้สึกว่าคันเร่งติดเท้าดี มีแรงดึงให้สัมผัสได้แบบขับเอามัน การเปลี่ยนเกียร์ตัดขึ้นที่ Red Line ราว 6500 รอบ/นาทีและได้ลองโยนพวงมาลัย เข้าหลบ pylon แบบ Slalom พบว่ารถมีอาการโยนตัวออกด้านข้างมากกว่าที่คิด เช่นเดียวกับจังหวะที่หักพวงมาลัยกระทันหันในด่าน Lane Change จนรู้สึกได้ว่าระบบ ESP และ VSM เหมือนจะช่วยพยายามดึงรถกลับเข้ามาในแนวตรงเพื่อรักษาเสถียรภาพของตัวรถให้กลับมาดีที่สุด
สรุปแล้ว Veloster ถือว่าเป็นรถที่โดดเด่นที่สุดโดยเฉพาะหน้าตาที่ทำให้มันเข้าไปเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ผู้ขับต้องตัดสินใจระหว่างความแรงและแฮนลิ่งเทพๆกับความเท่ที่ขับได้สนุกเร้าใจไม่แพ้กันมากนัก แต่รับรองว่าขับไปไหนใครๆก็มองสำหรับ Hyundai Veloster คันนี้
"Mercedes-Benz A250"
สำหรับคันสุดท้ายที่เราได้ทำการทดสอบนั้นคือเจ้า Mercedes-Benz A250 ใหม่ที่มาพร้อมกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ปรับโฉมให้ดูสปอร์ตเร้าใจมากกว่าในโมเดลก่อนได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในรุ่น A250 ซึ่งมาพร้อมกับหนัาตาที่ดุดันและขุมพลังที่จัดจ้านจนเราอดใจไม่ไหวที่จะนำมาให้ได้ชมกันในวันนี้
A250 มาพร้อมกับขุมพลังแบบ 4 สูบเรียง ความจุ 1,991ซีซี พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จ ที่ให้กำลังสูงสุด 211 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ตั้งแต่รอบต่ำที่ 1,200 - 4,000 รอบ/นาที ส่วนระบบส่งกำลังเป็นแบบเกียร์เป็นอัตโนมัติ 7-Speed Dual Clutch (7G-DCT) ซึ่งเคลมอัตราเร่งจากโรงงาน 0-100 กม./ชม. ไว้ที่ 6.6 วินาที พร้อม Top Speed ที่ 240กม./ชม. ซึ่งมันก็สามารถตอบสนองได้ดีตั้งแต่ออกตัวซึ่งมีช่วงหน่วงเวลาเล็กน้อยก่อนจะกระโจนไปข้างหน้าในระยะสั้นในการทดสอบอัตราเร่งช่วงทางตรงที่ทำได้แค่ประมาณ 70 กม./ชม.เท่านั้น
พร้อม Handling ที่เบาขับง่ายตามนิสัยพวงมาลัยไฟฟ้าและค่อนข้างไวในจังหวะหักเลี้ยวและคืนพวงมาลัยในช่วงโค้ง และ Station Slalom แต่จะหนักขึ้นเมื่อใช้ความเร็วช่วงทางตรง ซึ่งค่อนข้างสัมพันธ์กับความเร็วดี
ส่วนช่วงล่างนั้นด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัทและด้านหลังแบบมัลติลิงค์ ซึ่งเท่าที่ได้ลองขับบนพื้น track ที่ไม่ค่อยเรียบและมีรอยต่อของพื้นถนนนั้นจะรู้สึกได้ถึงการยึดเกาะถนนที่ค่อนข้างมั่นใจได้ จากที่ได้ลองซัดเต็มๆ เข้าในสถานี Lane Change แล้วหักพวงมาลัยทันทีที่ความเร็วประมาณ 60 กม./ชม. ซึ่งมีอาการโยนตัวเล็กน้อยแต่เมื่อหักสวนกลับมามันกลับตอบสนองและเกมส์ได้ดีจนไม่รู้สึกถึงอาการโคลง ส่วนระบบเบรกนั้นจัดมาให้แบบดิสก์ 4 ล้อ ซึ่งดูจะเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป และสามารถหยุดม้าที่มีอยู่ทั้งหมดอยู่แน่นิ่งเท้าได้ ด้วยน้ำหนักเบรกที่ค่อนข้างหนักแน่นสไตล์ Mercedes
สรุปแล้ว Mercedes-Benz A250 คันนี้เป็นรถที่เหมาะกับวัยรุ่นที่เน้นความดูดีมีระดับ ขับสบายๆ ชิลๆ ก็ได้หรือถ้าอยากซิ่งก็ไม่มีปัญหา สำหรับเจ้า Sport Compact น้องใหม่คันนี้สามารถตอบโจทย์ได้อย่างลงตัวกับราคาค่าตัวแค่ 2.49 ล้านบาท แลกกับสมรรถนะและความหล่อเท่ในระดับถือว่าไม่แพงเลยทีเดียว
เป็นไงกันบ้างสำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ที่เราได้นำมาทดสอบให้ได้เห็นมรรถนะและลีลากันก่อนใครในสนามทดสอบเฉพาะกิจแห่งนี้ ซึ่งถ้ามีโอกาสเราจะนำแต่ละคันมาทดสอบแบบเต็มๆให้ดูกันอีกครั้งแน่นอนรับรองว่าสนุกแน่..โปรดติดตาม
เรื่อง : อาณัติ สิทธิบุตร
ความคิดเห็น