เรื่องโดย ณัฐยศ ชูบรรจง
ราคาน้ำมันที่รังแต่จะแพงขึ้นทุกวี่วัน เคยสงสัยไหมครับว่าเราจะมีทางออกอย่างไรบ้าง ในเรื่องนี้ หลายคนอาจจะมองว่าน จะหันหาพลังงานทางเลือก แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้เราหลุดวงจรน้ำมัน แต่ถ้าเราผ่าเหล่าด้วยการหันไปคบรถพลังงานไฟฟ้า ..นี่วิคอเรื่องที่กำลังจะเปลี่ยนโลกใบนี้
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วงการานยนต์มีการพลิกโฉมอย่างมากไปพอสมควร เช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงปี2010 ที่งาน Paris Motor Show ถือเป็นเวลาที่ค่ายรถยนต์ชั้นนำต่างพร้อมใจ ในการที่จะแนะนำเทคโนโลยีใหม่สู่ตลาด ซึ่งคือรถไฟฟ้า ที่กลับคืนชีพอีกครั้ง หลังช่วงยุค ปี 80
รถยนต์ไฟฟ้า ไม่ใช่เรื่องใหม่ของวงการอุตสาหกรรมรถยนต์เลย ตั้งแต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ที่กล่าวถึงเรื่องราคาน้ำมันแพงหูฉี่ ไม่แปลกที่ค่ายรถยนต์บางเจ้า จะปลุกปั้นมันกลับมาอีกครั้งด้วยการให้นิยามใหม่การขับเคลื่อน โดยเฉพาะเมื่อเรื่องลดโลกร้อนมาถูกจังหวะเหมาะ รถไฟฟ้ายุคใหม่ จึงเกิดขึ้นมา ...
แม้จะมีมากมายหลายเจ้าที่ทำรถไฟฟ้าออกมาแข่งกันอย่างสนุกสนานในต่างประเทศ แต่ค่ายหนึ่งที่คนไทยคุ้นหน้าตามาก โดยเฉพาะเมื่อปีที่แล้วในงาน BOI Fair 2012 ก็เป็นงานที่ทำให้เรารู้จักมันมากขึ้น แม้ตามงานมอเตอร์โชว์ต่างๆ มันจะดูน่าสงสาร จอดแอบเอาไว้หลังบูธ พร้อมคำอธิบายไม่มากนัก คนผ่านไปมาอาจจะคิดวัสดุน่ารักน่าสนใจดี ทั้งๆที่จริงๆ มันเป็นอะไรมากกว่านั้น และ รถที่เรากำลังพูดถึง Mitsubishi I-Miev
อาจจะเข้ามาทำตลาดในแง่ของการวิจัยพัฒนาหลายปีแล้ว แต่ต้องยอมรับว่ามีคนพียงไม่กี่คนที่ได้มีโอกาสที่จะลองขับ Mitsubishi I-Miev จริงจัง ด้วยมันมีราคาแพงลิบลิ่ว คุณอาจจะไม่เชื่อว่า เรือล่าเล็กดุจลูกหมาน่ารักไปไหนคล่องในเมืองนี้ สามารถ จะมีราคาสูงถึง 2.7 ล้านบาทเลยทีเดียว
ปัจจัยที่ทำให้ราคาจำหน่ายรถยนต์ Mitsubishi I Miev แพง ขนาดนั้น ก็มาจากกำแพงภาษีบ้านเรา ที่มีค่าใช้จ่ายสูงถึง 300 % จากอัตราปกติ ซึ่งมากจากความต้องการส่งเสริมของภาครัฐต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ภายในประเทศ
ก่อนจะไปไกลเราอยากให้รู้จักเจ้าเปี้ยก Mitsubishi I- Miev สักหน่อย เพราะแม้จะเล็กจิ๋วแบบนี้ แต่มันเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงที่สำคัญในตลอดช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา เลยทีเดียว
จุดเริ่มต้นของโครงการรถไฟฟ้า Mitsubishi I- Miev ตั้งต้นเมื่อช่วงปี 2007 ยุคที่น้ำมันยังไม่แพงมาก แต่ก็มีแนวโน้มเริ่มที่จะพุ่งสูงขึ้นบ้าง ค่ายรถยนต์ Mitsubishi ขณะนั้น ได้นำรถยนต์ต้นแบบคันหนึ่ง ที่พัฒนาขึ้นมาจากรถยนต์ Mitsubishi i รถยนต์นั่งขนาดเล็กสำหรับตลาดญี่ปุ่นมาต่อยอดความคิดในการวิศวกรรมมากขึ้น
จากเดิมที่รถยนต์ Mitsubishi i ใช้เครื่องยนต์ 659 ซีซี จากเครื่องยนต์รหัส 3B20 ให้กำลัง 52 แรงม้า ตอบโจทย์พลังจุ๋มจิ๋ม วิ่งขำๆในเมือง ก็ถูกพัฒนาให้เกรี้ยวกาดด้วยเวอร์ชั่นเทอร์โบ ปั่นฝีเท้าเป็น 65 แรงม้า แต่ทำแรงบิดสูงในตอบต่ำที่ราวๆ 3000 รอบต่อนาที
จะว่าไปมันก็พอแล้วกับรถยนต์ซิตี้คาร์ขนาดเล็ก แต่เรือนร่างทรงไข่ที่ถูกพูดถึงตั้งแต่เปิดตัวในปี 2003 ภายในงานที่ Frankfurt ก็เป็นการต่อยอดที่ทำให้มันมาถึง ณ จุดเปลี่ยนจนกลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตจำหน่ายจริงและประสบความสำเร็จไปทั่วโลก โดยเวอร์ชั่นไฟฟ้า Mitsubishi I- Miev เผยตัวครั้งแรกในงาน 22nd International Battery, Hybrid and Fuel Cell Electric Vehicle Symposium & Exposition ในเมืองโยโกฮามา
ความแตกต่างที่ทำให้ Mitsubishi I- Miev มีความโดดเด่นกว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นอื่นๆ อยู่ที่ระบบขับเคลื่อนใหม่ที่เรียกว่า MIEV (Mitsubishi In-wheel motor Electric Vehicle) ซึ่งเป็นระบบใหม่ที่ออกแบบชุดมอเตอร์ไฟฟ้าใส่ไว้ในดุมล้อ มีขนาดเล็กกะทัดรัดและสามารถขับเคลื่อนได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากกว่าระบบแบบอื่นๆ
โดยภายหลังจากออกมาเปิดตัว Mitsubishi Motor ได้ร่วมกับบรรดาผู้ผลิตไฟฟ้า 5 บริษัท ในญี่ปุ่นเริ่มทดลงอย่างเป็นทางการ เมื่อ ช่วงปี 2007 และท้ายที่สุดก็เริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในญี่ปุ่น รวมถึงขายแพลทฟอร์มเดียวกันค่ายรถยนต์ เมืองน้ำหอม อย่าง Peugeot ที่นำไปผลิต Peugeot iOn เช่นเดียวกับ Citreon ที่คลอดออกมาเป็น Citreon C-Zero
เรือนร่างภายนอกของรถยนต์ Mitsubishi I- Miev ถูกนำเสนอด้วยการแนะนำออกมาในรูปแบบรถยนต์คนเมือง ที่ซึ่งระบบรถไฟฟ้าจะทำให้อากาศสะอาดขึ้นจากการไร้มลภาวะทั้งทางอากาศ และทางเสียง ด้วยขนาดตัวถังที่เล็กกว่า อีโค่คาร์ที่วางจำหน่ายบ้านเราเล็กน้อย ด้วยความ 3,395 ม.ม. กว้าง 1,475 ม.ม. และสูง 1,600 ม.ม. ซึ่งขนาดทั้งหมดอยู่ในมิติเดียวกับรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่วางจำหน่ายในญี่ปุ่นในนาม Kei Car ส่วนฐานล้อยาวเพียง 2,550 ม.ม. ออกแบบจัดวางระยะยืนที่ความสั้นทางด้านหน้าและทางด้านหลัง และด้วยความเล็กของมันทำให้มีน้ำหนักรวมเพียง 1,080 ก.ก.
ณัฐยศ ชูบรรจง ผู้ขับทดสอบ
ด้านการออกแบบ Mitsubishi I- Miev ยังความเป็นเอกลักษณ์รถที่ล้ำสมัยใส่มาในสไตล์ไข่ที่ยังไม่ทิ้งจากรุ่นเดิมมากนัก ซึ่งทรงไข่ที่ว่านี้ทำให้มันดูแปลกตาล้ำสมัยไปพอสมควร จากรถรุ่นอื่นๆ ของบริษัท ทั้งหมด ขลับด้วยความทันสมัยที่เรียบง่ายไม่เน้นรายละเอียดอะไรมากนัก
เปิดประตูเตรียมก้าวเขาสู่ในห้องโดยสาร Mitsubishi I- Miev ให้ความชัดเจนมากในเรื่องการออกแบบที่ทันสมัย ที่จริง บางอย่างมีความคล้ายคลึงกับที่เรารู้จักกันดีใน Mitsubishi Mirage ใหม่ โดยเฉพาะการตบแต่ง แต่จะมีหน้าตาที่เปลี่ยนไป คือ ส่วนของหน้า ปัด ที่เปลี่ยนเป็นระบบสำหรับควบคุมมอเตอร์ไฟฟ้า แทนที่ ระบบเครื่องยนต์ ชุดวัดรอบหายไป แล้วเป็นตัวแสดงผล ที่บอกว่ารถไฟฟ้ากำลังทำอะไร มีส่วนที่เขียนว่า Charge, Eco และ Power ซึ่งแสดงถึงพละกำลังในการขับเคลื่อนที่ได้มาจากมอเตอร์ไฟฟ้า ส่วนฝั่งขวา บนชุดหน้าปัดเป็นระยะทางที่เหลือ ซึ่งจะสามารถมองประกอบกับพลังไฟฟ้าที่เหลือในแบตเตอร์รี่ ทางฝั่งซ้าย
ด้านตัวคันเกียร์เอง ก็มีความต่างออกไป โดยขุมพลังฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ขนาด 47 กิโลวัตต์ หรือเทียบเท่าเครื่องยนต์ ที่ ให้กำลัง 63 แรงม้า สามารถตอบโจทย์เร่งแรงบิดได้สูงถึง 180 นิวตันเมตร มีความสามารถในการผลิตแรงบิดเทียบเท่ากับรถคอมแพ็คคาร์ และด้วยระบบส่งกำลังแบบจังหวะเดียว ทำให้ การวางตำแหน่งต่างที่เราคุ้นเคยจะต่างออกไป
ที่จริง ใครที่เคยขับรถยนต์ไฮบริดค่าย Toyota อาจจะคุ้นบ้าง ด้วยตำแหน่งเกียร์ใหม่ ที่เสริมเข้ามา คือ B และ C ที่ใช้ในการให้ระบบทำงานในสภาวะที่ต่างกันออกไป โดยในโหมด D เป็นโหมดที่เหมาะต่อการขับขี่ในเมืองส่วน B นั้นหลายคนน่าจะเดาได้ว่าใช้ในการลงเขา หรือทางชันต่าง ซึ่งเพิ่มการชาร์จไฟจากเบรก อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น ส่วน C เป็นโหมดใช้ในการวิ่งทางยาว
อาจจะต้องพูดว่านี่เป็นโอกาสพิเศษจริงๆ เพราะ การที่บอล ได้มาทดสอบรถยนต์พลังไฟฟ้า Mitsubishi I-miev นั้นก็เพราะการไฟฟ้านครหลวง ได้ตระหนักแล้วว่าการเผยแพร่ให้ประชาชนเข้าใจในเรื่องรถไฟฟ้า อาจจะทำให้มีความตระหนักมากขึ้น โดยเฉพาะตัวภาครัฐเอง ที่ควรยืนยงส่งเสริมเรื่องนี้มากขึ้น ด้วยการปรับลดกำแพงภาษีเพื่อสนับสนุนรถไฟฟ้า
ตื่นเต้น..ๆ จนหัวใจเต้นแรง ..คงไม่แปลก ที่เราจะเป็นเช่นนั้น กับครั้งแรกในชีวิตที่จะได้สัมผัสรถไฟฟ้า ความจริง แล้วก็ไม่น่าจะใช่ถ้านับว่ารถกอล์ฟก็ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าเช่นกัน เพียงแต่นี่คือรถที่ขายจริงๆ ซึ่งเมื่อปลายปี 2012 ที่ผ่านมา มีการสรุปยอดขายว่า Mitsubishi I- Miev ขายไปแล้วทั่วโลกกว่า 22,000 คัน โดยตลาดยุโรปมานำโด่งจากยอดขายของค่าพันธมิตร Peugeot และ Citreon ส่วนในบ้านเกิดญี่ปุ่นเองก็ขายไปแล้วกว่า 7,233 คัน
ความตื่นเต้น เริ่มตั้งแต่ตอนบิดสตาร์ทครั้งแรก ซึ่งยังใช้ระบบเดียวกับเครื่องยนต์ คือกุญแจบิดหมุน ซึ่ง คุณต้องค้างไว้ในจังหวะหนึ่ง เพื่อให้ระบบเริ่มทำงาน เปรียบดั่งตอนที่มอเตอร์สตาร์ททำงานเพื่อทำให้เครื่องยนต์เดินรอบเบาพร้อมขับเครื่องนั่นเอง
ตึ้ง !!! สียงสั้นพร้อมหน้าปัดที่เรือรองขึ้นมาหมายความว่ามันพร้อมแล้วในการออกเดินทาง และสัมผัสแรกคือ ความเงียบกริป และไร้แรงสันสะเทือนจากเครื่องยนต์ ทุกสิ่งทุกอย่างหายไปอย่างชัดเจน ถ้าวัยรุ่นก็น่าจะบอกไม่เร้าใจ แต่ถ้าคนแก่ก็บอกว่าชอบ เพราะมันเงียบสงัดจน คุณจะแทบไม่เชื่อ
เมื่อกดคันเร่งลงไป แล้วหักพวงมาลัยออกเดินทาง Mitsubishi I- Miev ให้ประสบการณที่ไม่ต่างจากรถยนต์ที่เราใช้กันในปัจจุบัน ถ้าคุณไม่รู้มาก่อนว่านี่คือรถไฟฟ้า ก็คงจะคิดว่าขับรถซิตี้คาร์ทั่วๆไป ซึ่งไม่ว่าใครก็คงจะสามารถขับได้ ด้วยความคล่องตัวมาก รวมถึง อัตราเร่งที่เรียกว่าดีกว่าอยากออกหน้าออกตอย่างชัดเจน
ที่ว่าอัตราเร่งดีกว่านี้ไม่ต้องเอาตัวเลข 0-100 ก.ม./ช.ม. มานั่งคำนวณให้เปลืองเวลาเล่น เพราะ มอเตอร์ไฟฟ้ามีธรรมชาติข้อหนึ่งที่มีแรงบิดสูงในรอบต่ำผิดกับเครื่องยนต์สันดาบภายใน ที่ต้องมีการเร่งรอบอย่างต่อเนื่อง แต่ในมอเตอร์ไฟฟ้า แรงบิดสูงสุด 180 นิวตันเมตร ทำงานตั้งแต่ออกตัวหยุดนิ่งและให้ใช้ยาวถึง 2000 รอบต่อนาที
การให้แรงบิดสูงในรอบต่อมีข้อดีที่เห็นได้ชัดเจน ยิ่งเมื่อนำความเล็กมาเปรียบเปรยด้วยกัน กับรถส่วนตัวของผม Mitsubishi Mirage อีโค่คาร์ที่ให้คุณได้มากกว่า มันมีความแตกต่างอย่างชัดเจน การออกตัว Mitsubishi I- Miev จะไม่มีความอืดอาด ที่จริงมันแทบจะกระโจนออกไปตามทางเสียด้วยซ้ำ ยิ่งคุณ ขยี้คันเร่งจนดันไปถึง ตัว Power มันแทบจะให้ฟีลลิ่งที่เราคุ้นเคยในรถสปอร์ตเลยทีเดียว
ในช่วงระหว่างทดสอบ หลังลานโหลดดิ้ง ที่อิมแพ็ค ชาลเลนเจอร์ แล้ววนไปวนมาแถวๆ นั้น การขับเจ้า Mitsubishi I- Miev ใหม่ เป็นการให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปจากรถในปัจจุบัน โดยสิ้นเชิง จนเรียกว่านี่ไม่ใช่รถอีกต่อไป แต่มันคือความก้าวหน้าที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ ความเงียบ การไร้เสียงสั่นสะเทือน ที่ทำให้มันรู้สึกไม่เหมือนรถยนต์ทั่วไป
แน่นนอว่า เมื่อเทียบกับ รถไฮบริดแล้ว มันแตกต่างออกไป โดยสิ้นเชิง เพราะ ไฮบริดใช้การทำงานที่ผสานกัน เอาข้อดีของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้ามารวมกัน แต่รถไฟฟ้า ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียว ซึ่งทำให้มันไม่มีรอบเครื่อง ไม่มีเสียงที่เร้าใจ แต่ถ้านับว่า ใช้ในการขับในเมืองเพียงอย่างเดียว มันโอเคเกินตัว
มาถึงขั้นนี้หลายคนคงอยากจะถามว่าแล้ว มันประหยัดเท่าไร แน่นอน การขับเผินๆ ใน สนามจำลอง อาจจะไม่ช่วยให้เรารู้อะไรเกี่ยวกับมันมากมาย นัก แต่จากข้อมูลที่มีในการทดสอบของ EPA (Environmental Protection Agency) ในอเมริกา Mitsubishi I- Miev สามารถทำตัวเลขเฉลี่ยรวมได้ 112 MPGe ซึ่งเป็นค่าเทียบเท่าความประหยัดระกับ 2.1 ลิตร/100 กิโลเมตร หรือ 47.61 กิโลเมตร /ลิตร เลยทีเดียว
หลังการขับขี่ Mitsubishi I- Miev เราได้มีโอกาส คุยกับพี่เจ้าหน้าที่การไฟฟ้านครหลวง จากฝ่ายวิจัยของการไฟฟ้าเอง ที่คลุกคลีกับรถ Mitsubishi I- Miev มายาวนานแล้วกว่า 2 ปี โดยประมาณ ทำให้ได้ทราบราคาที่แท้จริงของ Mitsubishi I- Miev ว่า เจ้าเปี้ยกพลังไฟฟ้านี้ มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 2.7 ล้านบาท ซึ่งมาจากราคาที่โดนอัตราภาษีนำเข้าจวกไปอีก 300% ทั้งที่ราคาจำหน่ายใน ญี่ปุ่นเองมีค่าตัวที่ 4 ล้านเยน หรือ ราวๆ 1.5 ล้านบาท สำหรับความล้ำหน้า
ในแง่หนึ่งต่อคำถามสั้นๆว่า ที่ผู้ผลิตไม่นำเข้ามาขายในไทยเพราะกลัวคนไม่สนใจหรือเปล่า.. เราได้คำตอบกลับมาว่าไม่น่าจะใช่ แต่น่าจะเพราะ ราคาจำหน่ายซึ่ง 2.7 ล้านกับรถขนาดนี้ ไม่มีใครสามารถทำตลาดได้ ทว่าเมื่อไม่นานมานี้ ภายในองค์กรการไฟฟ้าเอง ก็มีการให้พนักงานได้ลองสัมผัสรถไฟฟ้า Mitsubishi I- Miev และทุกคนต่างมองไปในทิศทางเดียวกันว่า ถ้ามันมีราคาจำหน่ายราวๆ 1 ล้านบาท ก็จะดูน่าสนใจมากขึ้น ซึ่งในส่วนของการไฟฟ้าเองยังมีการนำรถพลังไฟฟ้าจากจีน BYD E6 เข้ามาทดสอบด้วย และมันวิ่งได้ไกลถึง 300 ก.ม. ต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง
ที่จริง...รถไฟฟ้าไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไป เพราะขณะที่เรากำลังจะก้าวไปสู่ประชาคมอาเซียนที่ต้องแข่งขันไปพร้อมกับร่วมมือประเทศเพื่อนบ้านนั้น รอบๆ ตัวเรา ในมาเลเซียมีการส่งเสริมรถยนต์ไฮบริดไฟฟ้า อย่างจริงจัง มีการให้สิทธิพิเศษทางภาษีที่ดีกว่ารถยนต์ประหยัดพลังงานขนาดเล็ก อย่างเช่นอีโค่คาร์ในบ้านเรา ส่วนในไทยเอง บางค่ายรถยนต์อย่าง Mitsubishi เองก็เคยออกมาร่ำในการที่จะผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศ...ซึ่งอาจจะใช้พื้นฐานจากรถยนต์ Mitsubishi Mirage แล้วพัฒนาเป็นรุ่นเสียบปลั๊กชาร์จ น่ารักๆ .... ก็ได้...เพียงแต่ที่ยังไม่จริงจัง เพราะ ภาครัฐไม่พร้อมที่จะสนับสนุน แม้กับในดครงสร้างภาษีสรรพสามิตรใหม่ ที่กำลังจะบังคับใช้ในอีกไม่ช้า
แม้บ้านเราอาจจะคิดช้าไปนิด แต่ด้วยศักดิ์ศรีในความเป็นผู้นำในภูมิภาคเรื่องการผลิตรถยนต์ อยากจะฝากให้ ทางภาครัฐบาลกลับไปพัฒนาททวนบทบาทที่มีต่อรถไฟฟ้า ซึ่งแม้ในข้อดีจะย่อมีข้อเสีย เช่นเราอาจจะต้องมีโรงงานไฟฟ้าขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นในอนาคต แต่การมีรถไฟฟ้า ก็มีข้อดีเรื่องการลดการขาดดุลทางการ ที่มีน้ำมันเป็นปัจจัยสำคัญต่อโครงสร้างเศรษฐกิจ รวมถึงการสร้างสภาวะแวดล้อมที่ดีขึ้น โดยเฉพาะ คนเมือง ไม่จำเป็นต้องทนต่อมลพิษ และมลภาวะทางเสียอีกต่อไป .. สวัสดี
เรื่องและขับทดสอบโดย ณัฐยศ ชูบรรจง
ขอบคุณรถทดสอบ Mitsubishi I- Miev จาก การไฟฟ้านครหลวง
ข้อมูลและภาพบางส่วน เป็นลิขสิทธ์ของ Mitsubishi Motor Japan
ข้อมูลทั่วไปบางส่วนจาก Wikipedia
ความคิดเห็น