เมื่อวันที่ 9 - 11 กรกฎาคม ที่ผ่านมาทางทีมงาน Autospinn ได้มีโอกาสเข้าร่วมทดสอบสมรรถนะของเจ้ายานยนต์สปอร์ตคูเป้ 2+1 ที่เดิร์นสุดใน พ.ศ. นี้ อย่างเจ้า Hyundai Veloster บนเส้นทาง กรุงเทพฯ - เสียมเรียบ ราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อสัมผัสกับสิ่งกับดินแดนแห่งประวัติศาสตร์และมหัศจรรย์ของโลกไปพร้อมๆกับรถสปอร์ตดีไซน์น่าทึ่ง ภายใต้คอนเซ็ปการเดินทาง HYUNDAI Veloster WORLD WONDERS 2013 HISTORIC & UNIQUE PRESS CARAVAN TO ANGKOR WAT
งานนี้มีสื่อมวลชนสายยานยนต์ร่วมการเดินทางไปด้วยกันกว่า 100 ชีวิต โดยแบ่งเป็น 2 ทริ๊ป ซึ่งเราได้เดินทางไปในทริ๊ปแรก กับคาราวานใหญ่ของ Hyundai ที่มีเจ้า Veloster ทั้งรุ่น Standard กับ รุ่นเทอร์โบ ทั้งหมด 5 คัน พร้อมกับ Hyundai H-1, Elantra และ Tucson ที่ร่วมขบวนและใช้เป็นรถ Support สื่อมวลชนทั้งหมด ระหว่างทางก่อนจะได้สลับสับเปลี่ยนกันขับเจ้า Veloster กันคนละนิด..แบบพอได้ฟิวส์
บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ได้เปิดตัว “Hyundai Veloster” อย่างเป็นทางการ ที่เมืองไทยไปตั้งแต่เมื่อช่วงต้นปี 2556 บนภาพลักษณ์ที่โดดเด่นไม่ซ้ำใคร ด้วยการดีไซน์ตัวถังแบบ Hatchback Coupe สไตล์ 2+1 ประตู ภายใต้แนวคิด Fluidic Sculpture Design ที่ต้องการรวมความเป็นสปอร์ตเข้ากับความสะดวกสบายและความปลอดภัยที่เพิ่มมากขึ้น และเป็นที่มาของชื่อ Veloster ซึ่งมาจากคำว่า Velocity + Roadster ที่เน้นกลุ่มลูกค้าพรีเมี่ยมที่ต้องการความแตกต่างอย่างชัดเจน ชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน
Veloster มีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่น คือตัวท๊อป Veloster Sport Turbo ราคาค่าตัวอยู่ที่ 1,739,000 และ กับ รุ่นพื้นฐาน (ไม่มีเทอร์โบ) ราคา 1,299,000 บาท ซึ่งนอกจากความแรงที่แตกต่างแล้ว ทั้ง 2 รุ่นนี้ยังมีออฟชั่นและดีไซน์การตกแต่งที่ต่างกันออกไปอยู่พอสมควร ตั้งแต่ภายนอก ซึ่งในรุ่น Turbo จะดูหล่อกว่าเล็กน้อยด้วย กันชนหน้าและข้างที่มีการเสริมชายร่างด้วยวัสดุเมทัลลิก และเพิ่มอารมณ์สปอร์ตมาให้ด้วยหลังคา Sunroof รวมถึงล้อแม็ก 18 นิ้วลาย 5 ก้าน โครเมี่ยม ส่วนรุ่น NA จะเป็นขนาด 17 นิ้ว เช่นเดียวกับไฟหน้า รุ่น Turbo จะเป็นโคม Projector พร้อมไฟวงแหวนที่ตกแต่งด้วยไฟ LED แต่ รุ่น NA จะเป็นหลอดแบบธรรมดาซึ่ง ก่อนจะปิดท้ายความดุดันในรุ่น Turbo ชุด Diffuser และปลายท่อคู่ออกตรงกลางกันชนหลังทรงกลม ส่วนตัว NA นั้นปลายท่อจะเป็นทรงเหลี่ยม
ส่วนภายในที่เห็นเด่นชัดเจน คือ วัสดุเบาะแบบผ้าในตัว NA แบบปรับมือกับเบาะหนังสีดำแบบปรับไฟฟ้า 4 ทิศทางในตัว Turbo และในตัว Turbo จะมีพวงมาลัย Multi-Fuction ที่ใช้ควบคุมได้แบบครบ ซึ่ง รุ่น NA จะตัด Cruise Control, Paddle Shift และ Bluetooth ออกไป ส่วนในเรื่องสมรถนะจะเป็นอย่างไรนั้นเดี๋ยวคิวขับก่อน..ได้รู้กัน
โดยการเดินในครั้งนี้ได้เริ่มต้นออกสตาร์ทกันตั้งแต่เช้าราว 8:00 น. จากศูนย์บัญชาการใหญ่แห่งใหม่ ของ ฮุนได มอเตอร์ ไทยแลนด์ บนถนนวิภาวดีขาเข้าย่านหลักสี่ โดยก่อนจะออกเดินทางได้มีการบรี๊ฟเส้นทางการเล็กน้อย ก่อนออกเดินทาง ซึ่งในช่วงแรกเราได้รับเกีรยติให้เป็นแขก VIP ที่เดินทางโดย H-1 ที่นั่งสบายจนหลับตลอดเส้นทางตั้งแต่ล้อหมุนผ่านเส้นฉะเชิงเทรา ก่อนมุ่งหน้าสู่อรัญประเทศ ตื่นมาอีกทีก็ตอนข้ามด่านที่ปอยเปต ซึ่งเป็นเวลาที่เราจะต้องพักทานอาหารกลางวันกัน ก่อนออกเดินทางในช่วงบ่ายสู่เมืองเสียมราฐเพื่อไปล่องเรือชม โตนเลสาบ แหล่งน้ำจืดสำคัญของกัมพูชา กันแบบ ชิล ชิล และจบการเดินทางในวันแรกบนเส้นทางกว่า 410 กม. ด้วยการพักผ่อนที่โรงแรม Somadevi Angkor Hotel&Spa โรงแรมหรูใจกลางเมืองเสียมเรียบ
วันที่ 2 เริ่มต้นกันตั้งแต่เช้าตรู่กับมื้อเช้าตั้งแต่ 7 โมง เพื่อเริ่มต้นเส้นทางแห่งตำนาน กับการย้อนรอยเพื่อชมโบราณสถานที่สำคัญๆ ไปพร้อมกับ Hyundai Veloster และคารวานสื่อมวลชน โดยเริ่มต้นจุดแรกที่ปราสาทบายน และปราสาทบันทายศรี หรือปราสาทหินสีชทพู ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลกัน ก่อนจะต่อด้วย 2 ปราสาทที่เก่าแก่ไม่แพ้กันคือ ปราสาทนครธม และปราสาทตาพรมที่เราคุ้นตาจากภาพยนต์เรื่อง "ทูมไรเดอร์" นั่นเอง จากนั้นเมื่อทานมื้เที่ยงกันเรียบร้อย เราก็ออกเดินทางกันต่อ มุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางของทริ๊ปนี้ เพื่อสัมผัสกับมหาปิรามิดแห่งเอเชีย 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก คือ อังกอร์วัด หรือ นครวัด - นครธม ซึ่งอดีตเคยเป็นราชธานีสุดท้ายของอาณาจักรเขมร ซึ่งเมื่อกว่า 1,000 ปี เคยรุ่งเรืองมากครอบคลุมพื้นที่แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนปัจจุบันเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นกัมพูชา และเป็นสิ่งปลูกสร้างในอดีตที่สวยงามมากๆ ถึงแม้ว่าช่วงที่ไปจะมาการบูรณะซ่อมแซมบางจุดซึ่งอาจบดบังทัศนีภาพไปบ้างก็ตาม
วันสุดท้ายกับการเดินทางกลับสูมาตุภูมิ และเป็นวันแรกที่ได้สัมผัสสมรรถนะของเจ้า Veloster ซึ่งเรามีโอกาสได้ขับใน รุ่น Turbo บนระยะทางกว่า 100 กม. จากโรงแรงที่พักถึงตลาดซาแจ๊ะเพื่อแวะช็อปกันก่อนจะเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยที่ด่านปอยเปตเหมือนเดิม
ซึ่งจากที่ได้ทดลองขับในช่วงสั้นๆ ขุมพลังรหัส G4FC 1.6 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมวาล์วแปรผัน D-CVVT พร้อมหัวฉีดแบบ GDI ที่ฉีดตรงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ และพ่วงเทอร์โบแบบ Twin Scroll ที่ช่วยปั่นแรงม้าได้ 186 ตัวที่ 5,500 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุด 265 นิวตันเมตร ที่ 1,500 – 4,500 รอบ/นาที ซึ่งให้อัดตราเร่งที่จัดจ้าน เหยียบติดเท้า เรียกว่ามันสุดๆ กระแทกคันเร่งเต็มๆเข็มวัดรอบตวัดขึ้นเร็วและลากสุดเกือบๆ Red-Line ที่ 6,500 รอบ/นาที ที่ถ่ายทอดพละกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด แบบ Torque Convertor พร้อมระบบ Sequential Shift ที่ให้จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวลและต่อเนื่อง ขับสบายแบบไม่จำเป็นต้องดุดันตลอดเวลาเหมือนสปอร์ตพันธุ์ดุทั่วๆไป
ส่วนในด้านของ Handling นั้น Veloster ในการบังคับควบคุมทิศทางที่ค่อนข้างแม่นยำประกอบกับระบบกันสะเทือนที่เซ็ทมาให้แบบหนึบพอตัวและแฝงด้วยความนุ่มนวลนั่งสบายไปพร้อมๆกัน เรียกว่าขับแล้วไม่เหนื่อยและสามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว สำหรับ Hyundai Veloster
สรุปแล้ว Hyundai Veloster นอกจากจะเป็นรถสปอร์ตที่แผงไปด้วยความสะดวกสบายจนตอบโจทย์ได้ตาม Concept ที่วางไว้แล้ว Veloster ยังเป็นหนึ่งในยานสปอร์ตเพียงไม่กี่คัน ที่ถ้าขับผ่านฝูงชนเมื่อไหร่รับรองว่าต้องมองกันเหลียวหลัง ยิ่งถ้าได้จอดรับรองว่าต้องมีคนเดินมาดูพร้อมเครื่องหมายคำถามว่า "ประตูหลังหายไปหนาย" พร้อมกับเสียงชมตามมาว่า "หล่อมว๊ากๆ" เท่านั้นไม่พอนอกจากจะหน้าตาดีแล้ว Veloster ยังมีสมรรถนะที่จัดจ้านและแฮนลิ่งเจ๋งๆแบบครบเครื่อง เรียกว่าถ้าใครมาแหยมอาจโดนสวนเอาง่ายๆ เลยทีเดียว
>>เตรียมพบกับทริ๊ปทดสอบ Hyundai Veloster ในรูปแบบ VDO ได้ที่นี่ทาง..Autospinn Channel เร็วๆนี้
เรื่อง : อาณัติ สุทธิบุตร
ภาพ : Hyndai Motor (Thailand)
ความคิดเห็น