รีวิว 2013 Subaru XV ขับทดสอบ Test Drive Crossover สมรรถนะดี เหมาะทั้งทางเรียบและทางฝุ่น
รีวิว 2013 Subaru XV
เมื่อประมาณปีที่แล้ว ขณะที่ผมนั่งปั่นจักรยานบนฟิตเนส ผมได้เห็นโฆษณาของ Subaru XV ซึ่งเป็นช่องต่างประเทศ โดยในเนื้อหา แฟนหนุ่มลืมวันนัดกับแฟนสาวจนต้องขับหนีสภาพการจราจรที่ติดขัดเพื่อที่จะไปหาโดยวิ่งลุยทางโคลนซะเละ ก่อนจะไปถึงบ้านแฟน แล้วพบว่าเป็นวันพรุ่งนี้ ครั้งแรกที่ผมได้เห็น TVC ชุดนี้ ทำให้ผมรู้สึกชอบรถสไตล์ SUV จาก Subaru ขึ้นมาทันที โดยก่อนหน้านี้ ไม่เคยมองว่า Outback หรือ Forester มันมีดีไซน์โดนใจแต่อย่างไร แต่ขอโทษจริงๆ เพรา XV มันสวยดูลุยสมบุกสมบันโดนใจผมอย่างจัง จนอยากจะขับทันทีตั้งแต่เห็นโฆษณานี้ และคิดอยู่ว่าบ้านเราคงจะได้เห็นตัวจริงกันในเร็วๆนี้นะ
เพราะกระแสของสังคมบ้านเรา ต่างเริ่มเรียกร้องรถใช้งานแบบอเนกประสงค์มากขึ้น ซึ่งบางคน ไม่ต้องการรถที่ใหญ่เทอะทะนักแบบ SUV ทั่วไปเป็นกัน หรือบางคนอาจอยากได้รถสไตล์กึ่งๆ Offroad ที่ดูจะใช้งานลุยได้จริงมากกว่า SUV แต่ไม่ใช่รถที่ Based ตัวถังมาจากกระบะแบบ PPV ซึ่งนั่นทำให้ตัวเลือกแคบลงอีก นั่นทำให้หลายคนอยากมองหารถ Crossover สักคันที่ราคาไม่สูงนัก
และแล้ว Subaru รู้ใจเลือกที่จะตอบโจทย์ตลาดกลุ่มนี้ ด้วยการนำเจ้า 2013 Subaru XV มาเปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อปลายปีที่แล้ว ในงาน Motor Expo 2012 ที่เมืองทองธานี และได้ทำยอดจองได้อย่างถล่มทลายเป็นประวัติการณ์ให้กับ Motorimage ประเทศไทยเลย โดยมียอดจองปาไปกว่า 600 คันภายในงาน ชนิดที่ว่าแย่งซีน รถค่ายอื่นกันเลย
ทั้งดีไซน์สุดเท่ห์ ร่วมกับสมรรถนะอันเลื่องชื่อของ Subaru และราคาที่ดูดี เมื่อเทียบกับออปชั่นที่ได้ (ตัวโชว์ในงาน) ซึ่งโดนใจผมอย่างมากกับจอฝังพนักศรีษะ ซึ่งรวมแล้วในรถมีจอถึง 3 จอด้วยกัน แต่น่าเสียดายที่ตัวจริงไม่มีออปชั่นตรงนี้ให้ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะว่ายอดจำหน่ายเจ้า XV นี้ ปัจจุบันการันตีมากถึงราว 1,600 คันแล้ว
Subaru XV จะกอบกู้หน้าแบรนด์ Subaru เมืองไทยให้กลับมาได้หรือไม่ มันจะเป็นรถที่ดีแค่ไหน ลองมาตามอ่านกันเลยดีกว่า
สำหรับการทดสอบรถ Crossover ตัวล่าสุดคันนี้ ต้องขอขอบคุณ Motorimage ประเทศไทย สำหรับรถทดสอบ Subaru XV สีขาว 2.0 I Premium ราคา 1.35 ล้านบาท ซึ่งตลาดบ้านเรามีเพียงรุ่นเดียวให้เลือก
รูปกายภายนอก
Subaru XV ถือเป็นรถสไตล์ Crossover ที่ไม่ได้เน้นขนาดตัวที่ใหญ่โตแบบคับเลนถนน เหมือนอย่าง SUV ทั่วๆไป ถึงแม้ไซส์รูปร่างจะไม่ใหญ่โตนัก แต่มันก็ดูสวยงาม ดูบึกบึน และน้ำหนักตัวที่ไม่ได้เบาอย่างที่เห็นจากรูปร่าง ตัวรถนั้นมีมิติ ความยาว 4,450 มม. กว้าง 1,780 มม. สูง 1,570 มม. (1,615 มม. เมื่อรวมกับ Rack หลังคา)
ระยะฐานล้อ ยาว 2,635 มม. น้ำหนัก 1,430 กก.
สำหรับอุปกรณ์พื้นฐาน ไฟหน้าเป็น Halogen ซึ่งปรับระดับได้ ได้รับอิทธิพลมาจากรุ่นพี่ Legacy กระจกมองข้าง พร้อมไฟเลี้ยว LED ในตัวไซส์เล็กกระทัดรัด แต่ดูจะมองใช้งานยากไปหน่อย ที่บริเวณซุ้มล้อทั้งสี่ มีคิ้วซุ้มล้อพลาสติกสีดำติดมาให้ เสริมความโดดเด่นให้กับรถสีขาวเช่นคันนี้ และทำให้ตัวรถดูมีมิติกว้างขึ้นอีกเล็กน้อย (เหมือนมีโป่งเสริม) สปอยเลอร์ท้ายแนบเล็กๆ ที่ด้านบนฝากระโปรงหลัง มาพร้อมไฟเบรกหลังในตัว
หลังคามี Rack ติดให้สำหรับแบกของไปลุยได้ เสริมความบึกบึนให้ตัวรถ ด้านฝากระโปรงท้าย มีใบปัดน้ำฝนหลังให้ช่วยให้เวลาวิ่งลุยทางฝุ่น หรือเวลาฝนตกยังสามารถมองวิสัยทัศน์ด้านหลังได้ อย่างไม่มีอุปสรรค
ล้ออัลลอย 5 ก้าน ดีไซน์แปลกตา สีดำตัดขอบเงิน ขนาด 17”x7” รัดยาง Continental รุ่น Conti Max Contact MC5 ลายยางแบบใช้งานได้ครอบคลุมอเนกประสงค์ทั้งทางเรียบและทางฝุ่น (ไม่ถึงกับลูกรังจนเกินไป) ไซส์ยาง 225/55/17
ห้องโดยสารภายใน
เริ่มตั้งแต่ได้รับกุญแจรถมา แอบรู้สึกว่ากุญแจเจ้า Subaru XV มันดู Look Simple บ้านๆ ยังกับเป็นกุญแจรถกระบะ จนรู้สึกว่ากุญแจรถ Eco Car บางรุ่นยังจะดูดีเสียกว่าอีก มีปุ่มล๊อก, ปลดล๊อก และปลดล๊อกฝากระโปรงหลัง
ต่อมาที่ภายในห้องโดยสารเป็นโทนสีด ซึ่งทาง Subaru ได้จัดการดีไซน์ให้ได้ตามหลัก Ergonomic ดูเรียบง่ายต่อการใช้งาน แผงคอนโซลกลางด้านบนเป็นจอ MID ซึ่งมีปุ่ม Info ใช้กดดูข้อมูล ซึ่งติดตั้งอยู่บนเรือนไมล์ ดูจะจิ้มยากเสียเหลือเกินเพราะติดกับก้านพวงมาลัย
ถัดลงมา เป็นเครื่องเสียง Kenwood ที่มาพร้อมระบบ Navi จาก Garmin หน้าจอ Touch Screen ซึ่งดูจะใช้งานยาก ไปหน่อย แถมคันที่ได้รับมานี้ไม่ได้อัพเดท Software ด้วย จึงไม่มีแผนที่ให้เราได้ลองใช้งานกันดู
ถัดลงมาอีกเป็นปุ่มเครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติ วงกลม 3 ปุ่มใช้งานง่าย ด้านพวงมาลัย 3 ก้านเป็นแบบยูรีเทน หุ้มหนัง มีปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและ Cruise Control รวมถึงปุ่มรับและวางสายโทรศัพท์ พร้อมก้าน Paddle Shift ด้านหลังพวงมาลัย แต่พวงมาลัยไม่สามารถปรับระดับ ยืด- หด ได้ ทางด้านขวามีปุ่มปิด Traction Control และปุ่มปรับระดับไฟหน้า
ชุดมาตรวัดดูหน้าตาพื้นบ้านสุดๆ บริเวณตรงกลางจะเป็นกรอบสี่เหลี่ยม นั่นคือ จอ MID ที่แสดงตำแหน่งเกียร์ , ทริป, Odo และขีดน้ำมันในถัง
สำหรับเบาะนั่ง ถือว่านั่งได้ค่อนข้างสบายปีกไม่สูง ไม่โอบช่วงไหล่จนแน่นเกินไป แต่ดูจากไซส์ของตัวเบาะแล้ว ถ้าคนตัวใหญ่มานั่งดูอาจจะรู้สึกว่าเล็กไปหน่อย เมื่อปรับเบาะลงต่ำสุดพบว่าต่ำจนเกินไป ไม่สะดวกต่อการมองเห็นในการขับขี่ จึงต้องปรับสูงขึ้นมาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม วิสัยทัศน์ในการมอง ถือว่าค่อนข้างดี เสา A ไม่กว้างจนเกินไป และติดอยู่กับช่องสำหรับมองลอด ด้านเสา C ที่บางมาก ติดอยู่กับช่อง มองระหว่างเสา C และ D ทำให้การกลับรถไม่เป็นอุปสรรคแต่ด้วยความที่ท้ายนั้นดูจะลาดลงทำให้พื้นที่กระจกมองหลังจะเล็กไปสักนิด แต่ก็ยังไม่ถือเป็นอุปสรรคในการมองมากนัก แต่จุดที่พบเป็นปัญหาเลย คือ กระจกมองข้างทรงเล็กกระทัดรัด ซึ่งดูสั้น พบมุมอับ เมื่อมีรถ อยู่ด้านข้างซ้าย ประมาณ 1 ช่วงคันรถ ซึ่งหากกำลังจะแซงขึ้น ถือเป็นมุมอับที่มองไม่เห็น ซึ่งต้องคอยระวังให้ดีก่อนเปลี่ยนเลน
พนักศรีษะปรับระดับได้ 3 ตำแหน่ง บางทีดูจะน่ารำคาญ เมื่อเอามือไปไขว้ที่พนักพิงศรีษะ จะทำให้พนักพิง พับปรับระดับลงมาทุกครั้ง ที่วางเท้าด้านซ้ายค่อนข้างติดกับแป้นเบรกไป
ด้านพื้นที่ห้องโดยสารตอนหลัง จะมีพื้นที่ในระดับใกล้เคียงกับรถ Compact ไม่ได้มีพื้นที่กว้างใหญ่เหมือนอย่างคู่แข่งนัก เบาะตอนหลังมีที่เท้าแขนซึ่งพับลงมาจะเป็นที่วางแก้วน้ำ เบาะนั่งตอนหลัง ได้มาตรฐาน ISOFIX มีจุดยึดเบาะสำหรับเด็กเล็ก และเบาะยังพับได้ 60:40 สามารถพับระนาบลง ทำให้พื้นที่ใช้สอยกว้างขวางยิ่งขึ้น พอที่จะสอดจักรยานเข้าไปได้ บริเวณช่องสัมภาระท้าย มีม่านปิดสัมภาระซึ่งสามารถถอดเข้าออกได้และมีน้ำหนักเบาจากวัสดุอลูมีเนียม เมื่อเปิดแผ่นด้านใต้ จะพบ ล้ออะไหล่ หุ้มยาง Bridgestone ขนาด 185/65/17
ขุมพลังเครื่องยนต์
ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของ Subaru นั้นคือ เครื่องยนต์ BOXER 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว รหัส FB20 ความจุ 1,995 cc มาพร้อมระบบแปรผันวาล์ว AVCS (Active Valve Control System) ซึ่งช่วยให้แรงบิดมีมาตั้งแต่รอบต่ำ และที่สำคัญลดแรงสั่นสะเทือนที่เป็นข้อด้อยของสูบเรียง เครื่องยนต์บล๊อกนี้ ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า @6,200pm แรงบิดสูงสุด 196 Nm@ 4,200rpm การตอบสนองของแป้นคันเร่ง ในจังหวะเหยียบคันเร่งเพื่อเคลื่อนตัว จะรู้สึกหนืดๆ ออกตัวช้ากว่าชาวบ้านหน่อย ซึ่งการขับในตัวเมือง จังหวะออกตัวอาจโดนรถแทรกได้บ่อย ลักษณะเหมือนมีระบบ Hill Holder (ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน) คอยหน่วงเอาไว้อยู่ หรือ เปิด Eco Mode สำหรับรถที่มี โหมดนี้ แต่เมื่อเครื่องยนต์ทำงานถึงรอบที่มีแรงบิด มาแล้ว (ราว 4,000rpm) รถมันไม่ได้ดู อืดอย่างที่คิดเลย มันทำได้น่าประทับใจ ผิดแปลกไปจาก จังหวะออกตัวตอนแรกกันแบบคนละเรื่อง แต่ไม่ค่อยสัมผัสได้ถึงแรงดึงนัก ซึ่งเป็นนิสัยของเกียร์ CVT สมรรถนะ ถือว่าทำได้ดีในระดับรถยนต์เก๋งไซส์ Compact Sedan ระดับเครื่องยนต์ 2.0 ทั่วๆไปเลย การเร่งแซง ถือว่าทำได้ไม่ยากเย็น แต่อย่างใด ซึ่งไม่ว่าจะใช้ในตัวเมือง แรงบิด ก็มีมาให้ใช้ ถึงแม้จะไม่ได้มาให้สัมผัสตั้งแต่รอบต่ำ แต่การขับขี่ เพื่อแหวกมุดการจราจรอันแสนติดขัด ก็สามารถทำได้ ไม่ยาก หรือการเดินทางไกล พละกำลังของเครื่องยนต์ นั้นมีให้ใช้อย่างเพียงพอ หายห่วง
วัดทดสอบ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ 11.2 วินาที ¼ ไมล์ ใน 18.1 วินาที ที่ 130 กม./ชม. Top Speed ตามมาตรวัดได้ราว 192 กม./ชม. รอบเครื่องแช่ค้างอยู่ที่ 6,000rpm ซึ่งค่าที่ได้จริงจาก OBD อยู่ที่ 182 กม./ชม.
ซึ่งจะว่ากันไป เวลาที่ทำได้นี้ใกล้ เคียงกับ New Vios เกียร์ 5MT ที่เราเพิ่งได้เทส ไปก่อนหน้านี้ เลย ซึ่ง Subaru XV คันนี้ เร็วกว่า 0.1 วินาที ทั้ง อัตราเร่ง และ ¼ ไมล์ และ Top Speed ก็ใกล้เคียงกันมาก ต่างกันแค่ 1 กม./ชม. เท่านั้น
สำหรับอัตราสิ้นเปลือง การที่ได้ขับขี่ยาวๆ ใช้งานแบบความเร็วไม่คงที่ ซัดบ้าง มุดบ้าง มีจังหวะรถติดบ้าง โดยเฉลี่ยใช้ความเร็วที่ 100 กม./ชม. Fuel Consumption ขึ้นที่ 7.6 ลิตร/100 กม. (13.15กม./ลิตร) ซึ่งถือว่า ทำได้ไม่ขี้เหล่นัก ซึ่งเราเชื่อว่าน่าจะทำได้ ใกล้เคียงจริง เนื่องจากก่อนหน้านี้ เราเคยได้วัดอัตราสิ้นเปลือง ในตัว Subaru Outback 2.5i กันไปแล้ว สามารถทำได้ราว 14 กม./ลิตร โดยวิ่งยาวๆ โล่งๆ ใช้ความเร็วเฉลี่ย 100 กม./ชม. ซึ่งเราคาดว่า ถ้าเป็นเงื่อนไขเดียวกัน น่าจะทำได้ ดีไม่แพ้ Outback แน่
ระบบส่งกำลัง
เกียร์ CVT 6 Speed เอกสิทธิ์เฉพาะ ค่ายดาวลูกไก่ ที่เรียก Lineartronic CVT เอาไว้ประสานการส่งถ่ายกำลังผ่านระบบขับเคลื่อน Symmetrical AWD โดยเฉพาะ ซึ่งนั่นทำให้ Subaru เป็นเจ้าแรก เลยที่นำมาใช้กับรถขับสี่ เยี่ยมไปเลย! นอกจากนั้นเกียร์ CVT ลูกนี้ ทำหน้าที่ได้อย่างดี นุ่มนวลตามธรรมชาติ ของมัน แต่การตอบสนองกลับทำได้ดี รวดเร็วกว่า CVT ลูกอื่นๆ ที่พบใน Eco Car ลักษณะนิสัย ของเกียร์ลูกนี้เหมือนกับที่เราพบใน Subaru Outback ฟีลลิ่ง เหมือนกัน คือ ถึงแม้จะเป็น CVT ที่เรารู้สึกว่ามันต้องขับได้อย่างน่าเบื่อ ไม่มีความสนุกเลย แต่ไม่ใช่ กับ Lineartronic อย่างแน่นอน เพราะมันดูค่อนข้างฉลาดกว่า และการตอบสนองรวดเร็วกว่า ถึงแม้จะไม่กระชาก ให้ได้สะใจแบบ AT ก็ตาม
เมื่อโยกคันเกียร์มาโหมด M พบมีอัตราทดเกียร์เท่าเดิม แต่เราสามารถลากรอบได้เอง โดยบังคับเปลี่ยนเกียร์ได้ ที่ Paddle Shift หลังพวงมาลัยเท่านั้น และจะไม่สามารถ Shift Up เกียร์ ขึ้นได้ ก่อนที่จะถึงรอบเครื่องที่เหมาะสม โดยจะมีลูกศรชี้ ขึ้น หรือ ลง เพื่อบอกว่าสามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ในทิศทางไหน เมื่อกระแทกคันเร่งลากรอบไปจนสุดขีด Redline เกียร์จะ Shift Up ขึ้นเองอัตโนมัติ ป้องกันเกียร์เสียหาย และที่สำคัญไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลากให้มันชนตึ้ง ถึงขีด Redline ซึ่งผมมองว่าขับแบบง่ายๆ ทั่วๆ ก็เพียงเข้า D พอและเหยียบกระแทกคันเร่งเอา ก็เพียงพอ ใช้งานง่ายสุดแล้ว และเมื่ออยากสนุกก็โยกก้าน Paddle Shift เองเพื่อปรับเข้ามาโหมด M ได้เช่นกัน แต่เมื่อขับที่ความเร็วนิ่งไปสักพัก ก็จะกลับมาสู่โหมด D โดยอัตโนมัติ สำหรับการ Shift เกียร์เองทำได้ค่อนข้างรวดเร็ว ทันใจดี อยู่เช่นเดิม
ลองวัดความสัมพันธ์ความเร็วต่อรอบเครื่องยนต์ 3 ค่า ได้ดังนี้
80 กม./ชม. = 1,350rpm 100 กม./ชม. =1,650rpm 120 กม./ชม. =2,150rpm
ระบบบังคับเลี้ยว
เป็นแบบพวงมาลัยพาวเวอร์สายพานแร็คแอนด์พีเนียน มีรัศมีวงเลี้ยวที่ 5.3 เมตร พวงมาลัย ดูหนืดๆ น้ำหนักเยอะไปหน่อยในช่วงสาวออกตัว ซึ่งลักษณะนิสัย ดูจะคล้ายกับพวงมาลัยไฟฟ้า น้ำหนักค่อยเริ่มดูดี ในช่วงความเร็วกลางไป จนถึงความเร็วประมาณ 120 กม./ชม. แต่เมื่อวิ่งที่ความเร็วสูง ถึงแม้พวงมาลัยยังพอมีน้ำหนัก แต่ระยะฟรีพวงมาลัยที่มีเล็กน้อยไม่มาก บวกกับพวงมาลัยมีความคมไว พอสมควร การขับขี่ที่ความเร็วสูงควรประคอง 2 มือ อย่าเผลอหักพวงมาลัยอย่างรวดเร็ว แบบกระตุก เพราะพวงมาลัยจะไปได้ไว มากกว่าที่คิดไว้ ซึ่งสำหรับผมพบว่า พวงมาลัยวงนี้ค่อนข้างแม่นยำ พอตัว หักเลี้ยวเข้าได้ง่าย การเข้าโค้งที่ความเร็วสูง สามารถคุมแฮนด์ลิ่ง ได้ดี พวงมาลัยมีน้ำหนักในโค้ง ดูหนักแน่น แต่ไม่ถึงกับต้องออกแรงเยอะนัก และมีความแม่นยำ การขับให้อยู่ในเลนของตัวเองไม่ไปเบียดเลนชาวบ้านทำได้ไม่ยากเย็น ยิ่งการทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำให้การควบคุมรถในโค้งเป็นเรื่องสนุกไปเลย
ระบบห้ามล้อ
เบรกเป็นแบบดิสก์ 4 ล้อ โดยคู่หน้า พร้อมครีบระบายความร้อน ลักษณะของแป้นเบรก จะออกแนวหนืดๆ อีกเช่นกัน ซึ่ง ต้องกดแป้นลงลึกถึงจะเบรกได้อยู่เท้าดี หรือที่เรียกว่า “เบรกมาตามน้ำหนักเท้า” ซึ่งเข้าใจว่าเน้นออกมาให้ตอบสนองได้อย่าง นุ่มนวล นิ่มในแบบที่จะสามารถ ซึ่งถ้าเทียบกับการใช้งานแบบทั่วๆ ไป ก็ถือว่า ใช้งานได้ค่อนข้างดี กับผู้ที่เท้าไม่หนักนัก สำหรับการขับขี่ที่ความเร็วสูงอาจต้องเพิ่มเติมความระมัดระวังกันสักหน่อย จะให้เบรกจึกเดียว หยุดเลยก็คงไม่ใช่
ระบบกันสะเทือน
ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบ แม็กเฟอร์สัน สตรัท ด้านหลังเป็นแบบอิสระ ปีกนก 2 ชั้น (Double Wishbone) ช่วงล่างลักษณะนิสัย จะออกแนวแข็งสักเล็กน้อย ตามสไตล์สปอร์ต ที่ยังให้กลิ่นอาย เจ้า Imp อยู่บ้าง ช่วงล่างออกแนวสปอร์ต คือไม่ค่อยมีระยะยืดหยุ่นนัก คือ ช่วงยุบตัว และคืนตัว มีไม่มาก และเด้งคืนในทันที ที่มีการดูดซับแรง จึงทำให้รู้สึกว่าไม่สบายนัก แต่ถามว่ากระด้างไหม ที่จริงก็ไม่ได้กระด้าง ส่วนหนึ่งมาจาก ยางที่มีแก้ม ขนาด 55 ช่วยอยู่ด้วย แต่กับการวิ่งในทางที่ออกลุยๆ Offroad เล็กๆ จะพบว่ามันสามารถขับผ่านเส้นทางเหล่านั้นไปได้ดี ไม่ได้รู้สึกกระโดกกระเดกให้เห็น แต่ด้วยลายดอกยางที่ออกแบบมาเน้นไปทางเรียบมากกว่าซะหน่อย จึงทำให้ศักยภาพในการตะกุย ทางฝุ่น อาจจะ ยังสู้ยาง พวกที่ทำดอกมาเน้นวิบาก ไม่ได้นัก
ด้วยสไตล์ของช่วงล่าง ร่วมกับระบบขับเคลื่อน Symmetrical AWD ขับสี่แบบสมมาตร ใกล้เคียงกับอุดมคติ ของดาวลูกไก่อันลือชื่อ ซึ่งมีมาตั้งแต่ปี 1972 มันทำให้การเข้าขับขี่บนทางโค้งนั้นทำได้เนียนมาก ถึงแม้รถจะดูสูงสักเล็กน้อย ตามสไตล์ Crossover แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการเทวาด โค้งยาวๆ ตามทางโค้งสะพานกลับรถ ที่ความเร็ว ระดับ 80 กม./ชม. สามารถผ่านไปได้แบบสบายๆ ด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำให้ อาการ Under Steer ที่มักพบ ไม่โผล่หัวออกมาให้เห็น และด้วยหน้ายาง ที่มีพื้นที่สัมผัสค่อนข้างสูง ทำให้รู้สึกว่า Grip ในการยึดเกาะสูงตามไปด้วย ซึ่ง ยาง Continental ตัวนี้ ถือว่าให้การยึดเกาะที่ดีกว่าที่ผมคิดเอาไว้เสียอีก แต่เมื่อขับขี่ที่ความเร็วสูงเรายังพบว่า ช่วงล่างดูโยกเยกไปสักเล็กน้อย ตั้งแต่ความเร็วเริ่มเคลื่อนตัวเหนือ 120 กม./ชม. ขึ้นไป
สรุป
2013 Subaru XV ถือเป็น รถ Crossover SUV ไซส์ Compact ขนาดกำลังดีคล่องตัวไม่เทอะทะ และที่สำคัญคคือ ความโดดเด่นในด้านสมรรถนะการขับขี่ สมรรถนะของเครื่องยนต์ Boxer ที่มีความเสถียรมากกว่าเครื่องสูบเรียง ร่วมกับช่วงล่าง และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Full Time แบบสมมาตร และที่สำคัญอัตราสิ้นเปลืองมันทำได้ดี ไม่ขี่เหล่อีกด้วย นั่นยังถือเป็นจุดขาย ที่ดึงดูดผู้รักค่ายดาวลูกไก่นี้ได้เป็นอย่างดี สำหรับด้านห้องโดยสารภายใน รวมถึงออปชั่น ไม่ได้ดูโดดเด่น กว่า ค่าย H ที่เพิ่ง Model Changed ไปเมื่อปีก่อน ขณะที่ค่าย C อัดแน่นออปชั่นเทคโนโลยี และมีให้ถึง 7 ที่นั่ง เอาเป็นว่ามันเป็นรถที่สมรรถนะดี เหมาะกับผู้ที่รักในการขับขี่ มากกว่าความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร ซึ่งเมื่อเทียบราคา 1.35 ล้านบาท กับสมรรถนะของตัวรถ ระดับนี้ บอกได้เลยว่าคุ้มค่า ไม่แพงเกินไปแน่นอน เพราะฉะนั้น ถ้าคุณคิดจะซื้อรถคันนี้ หรือรถสไตล์แบบนี้ อยากให้มองที่สมรรถนะมากกว่า ความหรูหรา หรือ ออปชั่นภายในห้องโดยสาร สำหรับปัจจัยอื่นที่เหลือที่อาจเป็นอุปสรรค ให้ผู้คนไม่อาจเลือกซื้อ ค่ายดาวลูกไก่ ศูนย์บริการอันน้อยนิด ร่วมกับราคาของ และการสั่งอะไหล่ ที่สาวก Impreza หลายคนเลือกที่จะวิ่งหาอู่นอก นั่นจะทำให้ผู้บริโภคกลุ่มใหม่ ที่ไม่ได้เป็นผู้คลั่งในแบรนด์ดาวลูกไก่นี้ แต่แรก จะหันมามองจับจองรถ Subaru สักคันได้หรือไม่?
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ติดตามข่าวรถยนต์ ราคารถยนต์ รีวิวรถยนต์ และจักรยานยนต์ทุกยี่ห้อ กับเรา Autospinn
แชร์ความคิดเห็นบนเว็บบอร์ด Autospinn คลิกเลย webboard.autospinn.com
เช็คโปรโมชั่นรถใหม่ เช็คราคารถใหม่ ได้ที่นี่
ราคารถมือสอง ซื้อรถมือสอง ขายรถมือสอง เชิญได้เลยที่ one2car
LINE
ความคิดเห็น